“แบบนั้นไม่ได้หรอก!” ซย่านีรีบปฏิเสธทันควัน “ฉันพอมีเงินอยู่บ้าง”
เสี่ยวหลิงหัวเราะ “ได้ๆๆ ฉันเข้าใจแล้ว ตกลงค่ะเก็บเงินก็เก็บเงิน เอาแบบนี้ดีกว่า เศษผ้าพวกนี้ เราจะซื้อขายกันที่หนึ่งชั่ง [1] ต่อหนึ่งเฟิน [2] ก็แล้วกัน”
ถ้าเป็แบบนั้น ไม่เหมือนกับว่าเธอหยิบเอาไปเลยหรือ? ซย่านียังคง้าปฏิเสธ แต่เสี่ยวหลิงกลับหลุดหัวเราะคิกคักออกมา ก่อนเธอจะเอ่ยขึ้น “พี่สาว มีอย่างที่ไหนกัน? ที่คนขายต้องมาต่อรองราคาอย่างหนัก ส่วนคนซื้อกลับพยายามจะขอขึ้นราคาแทน วางใจเถอะ ฉันไม่คิดแพงนักหรอก เพราะถึงพี่จะ้าหรือไม่้าเศษผ้าที่กองอยู่ตรงนี้ สุดท้ายแล้วพวกเราก็จะขายมันเป็ขยะอยู่ดี... เอาล่ะ พี่สาวรีบเลือกเศษผ้าเถอะนะ”
เสี่ยวหลิงบอกว่าเธอยังมีงานในมือที่ต้องไปจัดการ จึงหันหลังแล้วเดินออกไปทันที ทิ้งให้ซย่านีเลือกผ้าอยู่ในโกดังคนเดียว
ซย่านีเพิ่งลองพลิกดูผ่านๆ เธอก็รู้ว่าตนเองพบสมบัติเข้าแล้ว
ในบรรดากองผ้าพวกนี้ มีสินค้าคุณภาพสูงอยู่ด้วย ทั้งพวกผ้าไหมหรือผ้าลูกไม้ที่เก็บไว้ั้แ่่ปี 1940–1950 เลยทีเดียว! พอลองคุ้ยกองผ้าดูอีกครั้ง เธอก็พบว่าในนี้มีผ้านำเข้าจากต่างประเทศเป็จำนวนมากด้วย!
ซย่านีเลือกผ้าพวกนั้นออกมาทั้งหมด เพียงพริบตาเดียวเธอก็เลือกเศษผ้าออกมาได้กองโต!
หากไม่ใช่เพราะซย่านีคิดถึงลูกชายตัวน้อยที่ฝากไว้ที่บ้านของพี่สะใภ้เซี่ยงเหมยแล้วล่ะก็ ซย่านีคงยังเลือกผ้าอยู่อีกสักพักใหญ่เลย
หลังจากเลือกเสร็จ ซย่านีก็เดินไปะโเรียกเสี่ยวหลิง “ฉันเลือกเสร็จแล้ว คุณมาชั่งน้ำหนักเถอะค่ะ”
เสี่ยวหลิงหาเครื่องชั่งในบ้าน จากนั้นก็นำมาชั่งน้ำหนักผ้าให้ซย่านี ผลปรากฏว่าผ้าที่ดูกองเล็กๆ กองนั้น เพียงผ้าหนึ่งกองก็มีน้ำหนักถึงห้าชั่งแล้ว
เสี่ยวหลิงวางตาชั่งลง แล้วกล่าวว่า “ห้าเฟินจ้ะ”
ซย่านีรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย เธอยังอยากมาที่นี่เพื่อขอซื้อผ้าอีกในภายหลัง จึงกล่าวว่า “ฉันเลือกมาแต่พวกผ้าราคาแพงๆ ทั้งนั้นเลย คุณคิดเงินเพิ่มอีกหน่อยดีไหมคะ?”
เสี่ยวหลิงผลักเงินห้าเจี่ยวที่ซย่านียื่นมาให้ใหม่ออกไป “ไม่ต้องหรอก กองผ้าพวกนี้ทิ้งไว้ที่นี่มันก็ไร้ค่า ตอนนี้ขายได้ราคาตั้งห้าเฟินเลยนะ แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ!”
โชคดีที่ซย่านีพกกระเป๋าใบใหญ่มา เธอเลือกซื้อผ้าเป็จำนวนมากจึงต้องใช้ความพยายามอย่างสูงกว่าจะยัดผ้าพวกนั้นลงกระเป๋าจนหมด
พอได้สินค้ามาหนึ่งอย่างแล้ว ซย่านีก็คิดในใจว่า ตอนนี้เธอขาดแค่จักรเย็บผ้าแล้ว!
เพราะผ้าถุงนี้ดูสะดุดตามาก ซย่านีกลัวว่าหวังซิ่วอิงจะเห็นแล้วจะสงสัย เธอจึงแบกถุงผ้าไปที่บ้านของเซี่ยงเหมยก่อน
“พี่สะใภ้เซี่ยงเหมย ฉันมาสายเสียแล้ว” ซย่านีเข้าประตูมาอย่างเร่งรีบ พอเจอหน้าเซี่ยงเหมยก็เอ่ยขอโทษทันที
“ไม่สายหรอกๆ” เซี่ยงเหมยกำลังให้นมซิงซิงอยู่ ่สิบโมงเช้าเป็เวลาทานอาหารของซิงซิงพอดี
เซี่ยงเหมยยิ้มและกล่าวว่า “ซิงซิงเป็เด็กดีมาก พอตื่นแล้วก็ไม่ร้องไห้งอแงเลย แถมยังรู้จักเล่นเองคนเดียวอีก”
เซี่ยงเหมยชื่นชอบเด็กเล็กเป็อย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่เธอไม่มีโชคด้านนี้ เื่นี้ถือเป็ความขัดแย้งที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเธอกับแม่สามี เธอเอ่ยขึ้น “ต่อไปถ้าเธอมีเื่อะไรอีก ก็พาลูกมาฝากไว้ที่นี่ได้นะ ฉันจะดูแลเขาให้เอง!”
“ได้ค่ะ งั้นฉันต้องขอรบกวนพี่สะใภ้แล้ว” ซย่านีเงียบไปชั่วครู่ เธอมองออกว่าเซี่ยงเหมยรักเด็ก จึงกล่าวว่า “พี่สะใภ้เซี่ยงเหมย พี่วางใจเถอะ ต่อไปพี่จะต้องให้กำเนิดเด็กน้อยจ้ำม่ำได้อย่างแน่นอน! ตอนนี้ก็แค่ ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง” ซย่านีไม่ได้พูดไร้สาระ แต่อีกสองปีถัดมาพี่สะใภ้เซี่ยงเหมยได้ให้กำเนิดลูกชายคนหนึ่งจริงๆ
เซี่ยงเหมยคิดว่าซย่านีกำลังปลอบใจเธอ เธอถอนหายใจแล้วฝืนยิ้ม “มันง่ายขนาดนั้นที่ไหนกันเล่า”
เธอนึกอิจฉาซย่านีจริงๆ ซย่านีอายุน้อยกว่าเธอชัดๆ แต่มีลูกตั้งสามคนแล้ว
ซย่านีจับมือเซี่ยงเหมย “พี่สะใภ้เชื่อฉันนะคะ ฉันเป็คนมองอะไรแม่นมากๆ ฉันบอกว่ามีก็ต้องมีแน่ๆ”
เซี่ยงเหมยหัวเราะคิกคักขึ้นมา “ได้ๆๆ ฉันเชื่อเธอ”
ขณะที่คนทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ซ่งซิงเหอก็หลับตาลงและผล็อยหลับในเวลาต่อมา
เซี่ยงเหมยทอดอาลัยขึ้นอีกครั้ง “เห้อ ซิงซิงลูกของเธอช่างเป็เด็กที่รู้ความจริงๆ ไม่ต้องให้คนกล่อมก็หลับเองได้แล้ว แต่ก่อนฉันเคยเลี้ยงพวกน้องๆ มา ตอนที่พวกเขาอายุพอๆ กับซิงซิงนะ ต้องคอยกล่อมตลอดถึงจะยอมนอนได้”
ซย่านีลูบใบหน้าเล็กๆ ของซิงซิงแล้วกล่าวว่า “เด็กแต่ละคนก็มีนิสัยเป็ของตัวเอง ตอนยังเด็ก ลูกคนโตทั้งสองของฉันก็ร้องงอแงทั้งคืนเลย ฉันเองก็เพิ่งเคยเห็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายขนาดนี้.. ใช่แล้ว พี่สะใภ้ ที่บ้านพี่มีจักรเย็บผ้าบ้างไหมคะ?”
ซ่งเหมยกล่าวตอบ “มีสิ นั่นไงล่ะ” ซ่งเหมยชี้มือไปทางจักรเย็บผ้าที่มีหมอนวางอยู่ด้านข้าง “เธอ้าใช้จักรเย็บผ้างั้นหรือ? ถ้าเธออยากใช้ก็มาใช้ที่บ้านฉันได้เลย ฝีมือด้านศิลปะของฉันไม่ค่อยจะดีนัก ปกติแล้วใช้มันอยู่ไม่กี่ครั้ง ของชิ้นนี้เป็ของที่ครอบครัวฉันให้ฉันมาเพื่อเป็สินสมรสน่ะ ตอนนี้พอลองมาคิดดูแล้ว สู้ให้จักรยานฉันเป็สินสมรสยังดีเสียกว่า!”
ซย่านีเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้ฉันรวบรวมพวกเศษผ้าอยู่ค่ะ กำลังคิดจะเอามาทำเป็พวกเครื่องประดับผมขาย...”
เซี่ยงเหมยรู้สึกสนใจขึ้นมา “ทำเครื่องประดับผมงั้นหรือ?”
ซย่านีพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว! พี่ดูนะ เดี๋ยวฉันจะลองทำให้พี่ดูสักชิ้น”
พูดจบซย่านีก็ลุกขึ้นไปเปิดจักรเย็บผ้า แล้วเริ่มร้อยเข็มอย่างชำนาญ
เซี่ยงเหมยเป็กังวลขึ้นมา “ข้อมือของเธอ...”
ซย่านีขยับข้อมือซ้ายที่ได้รับาเ็พลางพูดขึ้นว่า “ไม่เป็ไรๆ มันแค่ดูบวมๆ เท่านั้น ไม่ได้าเ็จนถึงกระดูกอย่างที่คิด ไม่รบกวนการทำงานแน่นอนค่ะ”
หลังจากเตรียมจักรเย็บผ้าเรียบร้อย เธอก็หยิบผ้าลายดอกไม้สีฟ้าออกมาจากกระเป๋า ใช้เศษผ้าม้วนให้เป็วงกลม พันรอบหนังยางรัดผมโดยเหลือช่องเล็กๆ เอาไว้ จากนั้นก็หมุนเพื่อไปเย็บด้านใน ก่อนจะจัดการเย็บปิดผนึก เพียงเท่านี้ก็สร้างยางรัดผมวงใหญ่ได้แล้ว
เซี่ยงเหมยเฝ้าดูวิธีการทำอยู่ด้านข้าง ยิ่งเธอมองก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายพอเห็นของที่เสร็จสมบูรณ์ตรงหน้าแล้ว เธอก็เหมือนถูกหนังยางรัดผมแสนสวยชิ้นนี้ดึงดูดความสนใจเข้าเต็มเปา
“นี่...นี่...นี่มันจะได้ผลหรือ?”
ซย่านีเอ่ยถามขึ้น “พี่คิดว่ายางรัดผมทรงดอกไม้ชิ้นนี้สวยไหม?”
เซี่ยงเหมยพยักหน้ารับ “สวย ก็สวยอยู่หรอกแต่ว่า...”
ซย่านีกล่าวต่อ “งั้นก็ได้ผลแล้ว ขอแค่สวย จะต้องทำเงินได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นฉันก็จะไปตั้งแผงขายของที่หน้าโรงเรียน พวกเด็กสาวที่ชอบของสวยๆ งามๆ จะต้องชอบมันแน่ๆ ”
เซี่ยงเหมยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากเธอเจอเครื่องประดับผมสวยๆ แบบนี้ แล้วมีเงินอยู่ในกระเป๋าล่ะก็ เธอจะต้องเสียเงินซื้อมันอย่างแน่นอน แต่ว่า... เธอเอ่ยขึ้น “ที่บ้านเธอจะยอมให้เธอไปตั้งแผงขายของหรือ?”
ซย่านียิ้มรับแล้วเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะราวกับกำลังเย้ยหยันตนเอง “ไหนเลยจะต้องสนใจว่าคนในบ้านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกันเล่า ฉันกับลูกทั้งสามคนแทบจะหิวตายอยู่รอมร่อ พี่สะใภ้ พี่เองก็คงจะรู้ดีว่าในแต่ละวัน ฉันต้องมีชีวิตแบบไหน ฉันท้องลูกได้เก้าเดือนยัน่หลังคลอดก็ยังต้องมานั่งล้างจานกับซักผ้าให้พวกเขาอยู่เลย และเป็เพราะว่าฉันดันก่อเื่วุ่นวายขึ้นเมื่อคืน วันนี้ตอนเช้าแม่สามีก็เลยไม่ทำอาหารให้พวกเราสี่คนแม่ลูกกิน...” ซย่านีสูดหายใจเข้าลึก “เพราะแบบนี้ฉันก็เลยคิดว่าจะต้องรีบหาเงินให้ได้เร็วๆ จะได้พาเด็กๆ ย้ายออกไปจากที่นี่ เพื่อไปเช่าบ้านอยู่ด้วยกัน เหมือนพี่สะใภ้กับสามีอย่างไรเล่า!”
เพราะซย่านีถูกรังแกอย่างหนัก เซี่ยงเหมยจึงเข้าใจท่าทางฮึดสู้และไม่ยอมแพ้ของซย่านี ทว่าสิ่งที่เธอกังวลมากกว่าก็คือ... จู่ๆ เซี่ยงเหมยก็กล่าวขึ้นในที่สุด “สามีของเธอล่ะ เห็นด้วยกับเื่นี้ไหม?”
ซย่านีพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว “ถ้าเขาไม่เห็นด้วย ฉันก็จะไม่อยู่กับเขาแล้ว”
เซี่ยงเหมยฟาดเธอไปหนึ่งที “อย่าพูดจาไร้สาระสิ!”
ซย่านีหัวเราะแหะๆ สองที แล้วจึงกล่าวต่อ “พี่สะใภ้ ฉันเองก็ไม่คิดจะใช้จักรเย็บผ้าของพี่เปล่าๆ หรอกนะ หากการค้านี้ทำเงินได้จริงๆ ล่ะก็ พี่เองก็มาทำด้วยกันกับฉันสิ! ถึงตอนนั้นพวกเราก็มาร่วมหุ้นกัน แล้วทำเงินก้อนโตด้วยกันเถอะ!”
เซี่ยงเหมยใจสั่นเล็กน้อย “ฉัน...ฉันทำได้ด้วยหรือ? ฉันมือไม้เงอะงะมากเลยนะ”
ซย่านีเอ่ยตอบ “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ทำยางรัดผมวงใหญ่แบบนี้น่ะ ง่ายมากเลยนะ!”
เชิงอรรถ
[1] ชั่ง 斤 คือ หน่วยวัดของจีน 1 ชั่งมีค่าเท่ากับ 500 กรับ
[2] เฟิน 分 คือ หน่วยเงินที่เล็กที่สุดของจีน 10 เฟิน(分) มีค่าเท่ากับ 10 เจี่ยว (角) และ 1 หยวน (元)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้