บทที่ 89 ทำตัวเองจนตาเหล่
“จะมาดูพวกเรานึ่งซาลาเปางั้นเหรอ?” สวี่จือจือหัวเราะเยาะอย่างเ็า “แล้วซาลาเปาเมื่อสองสามวันก่อนล่ะ? หรือว่าเห็นซาลาเปาบ้านฉันมันน่ากินตรงไหนเลยแอบหยิบไปกิน? พวกนั้นมันเป็ทรัพย์สินของหมู่บ้านนะ”
เงินที่พวกเธอขายซาลาเปาได้ในแต่ละวัน ส่วนหนึ่งต้องส่งให้กับหมู่บ้าน
“ฉัน...ฉันไม่ได้เอาไปนะ” โจวเป่าเฉิงพูดตะกุกตะกัก “แค่ซาลาเปาลูกเดียว พวกเธอจะโวยวายอะไรกันนักหนา”
“การหยิบฉวยของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็การขโมย” สวี่จือจือกล่าวเสียงเย็น “ทำไม? เื่ง่ายๆ แค่นี้เด็กสามขวบยังรู้เลย เหอเสวี่ยฉินที่เป็ครูไม่ได้สอนนายเหรอ?”
ใช่สิ แม่ของโจวเป่าเฉิงเป็ครูนี่นา
ถ้า...ถ้าให้คนแบบนี้มาเป็ครู แล้วเด็กๆ จะไม่เสียคนหมดเหรอ?
ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างเริ่มซุบซิบกัน ตอนแรกก็แค่อยากมาดูเื่สนุก แต่พอได้ยินว่ามันเกี่ยวข้องกับพวกเขาด้วยก็เริ่มไม่พอใจ
โจวเป่าเฉิงขโมยไปลูกหนึ่ง แล้วพวกเขาก็จะขายได้น้อยลงลูกหนึ่งน่ะสิ? แล้วส่วนแบ่งที่พวกเขาจะได้มันจะไม่น้อยลงไปอีกเหรอ?
“ขโมย?” ฟางย่วนย่วนพูดด้วยความใ “จุ๊ๆ ถึงจะไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ แต่ก็กินลงเหรอ? ซาลาเปาจากเืเนื้อเลยนะนั่น”
แหวะ...
อันฉินถึงกับอาเจียนออกมาทันที
เื่นี้อย่าโทษสวี่จือจือกับฟางย่วนย่วนเลย อันฉินจินตนาการไปเองล้วนๆ
เธอเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่มีเื่ซาลาเปาเนื้อคน เป็เื่ของผู้หญิงคนหนึ่งทำซาลาเปาให้ลูกค้ากิน ทุกคนต่างก็บอกว่าซาลาเปาอร่อยมาก ใครจะรู้ว่าภายหลังสืบสาวราวเื่แล้ว พบว่าซาลาเปาแสนอร่อยนั้นทำมาจากเนื้อคน รสชาติถึงได้ดีขนาดนั้น
ถึงแม้ว่าซาลาเปาที่เธอกินจะเป็ไส้ผัก แต่ว่าอันฉินก็รู้สึกว่าซาลาเปาไส้ผักมันอร่อยเกินไป มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ
อะไรผิดปกติ? ข้างในใส่เนื้อคนเหรอ?
พอคิดได้อย่างนั้น เธอก็คลื่นไส้อาเจียนขึ้นมาทันที แต่ในสายตาของคนอื่นๆ กลับมองเป็อย่างอื่น
“ตายแล้ว” สวี่จือจือเอามือปิดปาก “นี่มัน...ท่าทางเหมือน...”
“นั่นสิ” ป้าคนหนึ่งตบเข่าฉาดอย่างรังเกียจ “ฉันก็ว่าทำไมแต่งงานกันเร็วจัง ที่แท้มีลูกในท้องแล้วนี่เอง”
ไม่แปลกใจเลยที่ทำให้โจวเป่าเฉิงคนี้เียอมไปตักขี้หมู แถมยังทำให้โจวเป่าเฉิงที่เอาแต่กินๆ นอนๆ คอยหาซาลาเปาให้เธอกินทุกวัน ที่แท้ในท้องก็มีลูกบอลอยู่ลูกหนึ่งนี่เอง
จุ๊ๆ!
นี่หรือสาวชาวเมืองที่มีการศึกษา ช่างไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเสียจริง
“ฉันไม่ได้ท้องนะ” อันฉินอาเจียนไปพลางร้องไห้ไปพลาง “พวก...พวกเราบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ได้มีอะไรกันเลย สวี่จือจืออย่ามาพูดจาเหลวไหลนะ”
ถึงแม้ว่าเธอจะกำลังจะแต่งงานกับโจวเป่าเฉิง แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ใครมาทำลายชื่อเสียงของเธอได้
“อ้อ” สวี่จือจือพูดอย่างเฉยเมย “เธอว่าไม่มีก็ไม่มีแล้วกัน แล้วซาลาเปาบ้านฉันล่ะ เธอกินไปแล้วไม่ใช่เหรอ” เธอกล่าว “อย่ามาบอกว่าไม่ได้กินนะ มีกลุ่มยุวปัญญาชนที่นี่เป็พยาน เธอมักจะหยิบซาลาเปาไปตอนเช้าแล้วบอกว่าโจวเป่าเฉิงเอามาให้”
อันฉินสะอึก ดังนั้นการใช้ชีวิตต้องรู้จักถ่อมตัว อะไรที่อร่อยก็รีบกินเสีย อย่าโอ้อวด เพราะถ้าอวดเมื่อไหร่จะโดนตบหน้าเอา
“ฉันให้เงินเธอซื้อคืนไม่ได้เหรอ?” โจวเป่าเฉิงพูดอย่างไม่พอใจ
“ซื้อเหรอ?” สวี่จือจือหัวเราะเยาะ “เงินนายน่ะต้องให้แน่ๆ แต่พฤติกรรมการขโมยของนายต้องถูกลงโทษอย่างหนัก”
“เธอ้าอะไร?” อันฉินพูดอย่างโกรธเคือง “ฉันให้เงินเธอแล้ว อย่าทำตัวโลภมากไปหน่อยเลย”
“โลภมาก?” สวี่จือจือมองเธอด้วยสายตาแบบมองคนโง่ “ครั้งนี้นายขโมยซาลาเปาบ้านฉัน แล้วใช้เงินมาจบเื่ง่ายๆ แบบนี้ แล้วครั้งหน้าใครจะรู้ว่าเขาจะไปขโมยอะไรอีก? แล้วถ้าเกิดว่าพวกเราจับไม่ได้ล่ะ เขาก็จะขโมยไปเรื่อยๆ อย่างนั้นเหรอ? แล้วหมู่บ้านผานสือของพวกเราจะเป็อะไรไป? เป็โกดังของโจวเป่าเฉิงบ้านเธอเหรอ เขาอยากได้อะไรก็ไปหยิบเอา พอโดนจับได้ก็เอาเงินมาจ่าย?”
เป็แบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด! ทุกคนสูดหายใจเข้าลึกๆ
“สวี่จือจือ อย่ามาพูดจาเหลวไหลแถวนี้นะ” เหอเสวี่ยฉินรีบวิ่งมา ได้ยินประโยคนี้เข้าพอดี
นังเด็กแพศยานี่ อยากจะบีบให้เป่าเฉิงของเธอตายเลยหรือไง?
“เหลวไหลเหรอคะ?” สวี่จือจือหัวเราะเยาะ แล้วหันไปมองเหอเสวี่ยฉิน “ลูกไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน เป็ความผิดของพ่อแม่ น้าก็เป็ครูคนหนึ่ง แต่กลับสั่งสอนลูกชายออกมาเป็ขโมย”
ถูกต้อง วันนี้เธอจะต้องให้โจวเป่าเฉิงแบกรับชื่อว่าขโมยให้ได้ ไม่งั้นหมอนี่มันพวกจำแต่เื่กิน ไม่จำเื่โดนตี วันดีคืนดีอาจจะคิดแผนชั่วๆ ขึ้นมาอีกก็ได้
ใช่ เขาเป็คนขี้ขลาด วันๆ ขโมยแค่ซาลาเปาหนึ่งหรือสองลูก แต่จะปล่อยผ่านไปโดยไม่สั่งสอนไม่ได้ เพราะขโมยน้อย แล้วใครจะรู้ว่าเขาจะไม่กล้ามากขึ้น?
“พวกเราเป็คนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น เธอพูดอะไรถนอมน้ำใจน้าเหอหน่อยสิ” เหอเสวี่ยฉินพูดอย่างเศร้าสร้อย
“ที่แท้การเป็คนในครอบครัวเดียวกันก็สามารถหยิบของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตได้สินะคะ” สวี่จือจือพูดพลางยิ้ม “อย่างนั้นน้าเหอเอาสมุดบัญชีเงินฝากของน้ากับคุณพ่อให้พวกเราเถอะนะคะ พี่หยวนหยวนเพิ่งย้ายมายังไม่มีผ้าห่มเลย อากาศกำลังจะหนาวขึ้นทุกวัน น้าเหอเมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะทำผ้าห่มใหม่สองผืนนี่นา เอาให้พี่หยวนหยวนใช้ก็แล้วกัน”
“เธอ!”
“ทำไมน้าเหอถึงโกรธล่ะคะ?” สวี่จือจือพูดอย่างจนปัญญา “ดูสิ หนูยังใจดีถามคุณน้าก่อนเลยนะ หนูยังไม่ได้บุกเข้าไปหยิบในห้องคุณน้าเลยนะ นั่นเรียกว่าหยิบเหรอ?” เธอว่า
เหอเสวี่ยฉินถึงกับโกรธจนจะเป็ลม
สุดท้าย หวังจะขโมยไก่แต่กลับเสียข้าวเปลือกไป สุดท้ายก็ต้องจ่ายเงินค่าซาลาเปาที่ขโมยไปทั้งหมด แถมยังถูกคณะกรรมการหมู่บ้านสั่งให้ไปตักขี้หมูต่อ
อันฉินยิ่งเงยหน้าขึ้นไม่ได้เลยต่อหน้ายุวปัญญาชนคนอื่นๆ รู้สึกเหมือนว่าคนเ่าั้กำลังมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ แม้แต่พวกผู้หญิงโง่ๆ ในหมู่บ้านก็ยังชี้หน้าด่าทอเธอ ทำให้เธอเกลียดสวี่จือจือเข้าไส้
โจวเป่าเฉิง “...” ตอนนี้แค่ได้กลิ่นขี้หมูก็แทบจะอาเจียนออกมาแล้ว จะให้ทำงานได้ยังไง?
แต่หัวหน้ากองงานมีวิธี ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำมันสะระแหน่ปิดจมูกไว้ แบบนี้ก็จะได้กลิ่นขี้หมูไม่ชัด รออีกหน่อยก็จะชินไปเอง
“ไม่ดมเดี๋ยวแกก็ไม่ชินหรอก” ลู่หรงฟาหัวเราะอย่างร้ายกาจ การรับมือกับคนอย่างโจวเป่าเฉิง เขาชำนาญที่สุดแล้ว
เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนโจวเป่าเฉิงถึงแม้จะเอาแต่เที่ยวเล่น แต่ก็ไม่เคยสร้างเื่ ไม่มีใครร้องเรียนเขาก็เลยมีวิธีมากมายแต่ไม่มีที่ให้ใช้
ตอนนี้ดีแล้วที่ขโมยของ เป็ปัญหาที่ร้ายแรงขนาดนี้ เขาต้องจัดการอย่างจริงจัง
อันฉินไม่ยอม จ่ายเงินไปแล้วไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมากลั่นแกล้งกันอีก
ดีจริงๆ สวี่จือจือไม่เอาเงิน อย่างนั้นก็แจ้งตำรวจไปเลย ตอนนี้ประเทศชาติกำลังปราบปรามการขโมยอย่างหนัก จับไปอบรมสั่งสอนสักหน่อยก็ดี ยังไงซะก็ไม่ใช่เธอที่กำลังจะแต่งงาน เธอมีเวลา
อันฉินโกรธจนแทบคลั่ง จ้องมองสวี่จือจืออย่างขุ่นเคือง แต่สวี่จือจือไม่ได้กลัวเลย กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ยุวปัญญาชนอัน อย่าจ้องจนตาเหล่เลย ตอนแต่งงานจะไม่สวยเอานะ”
“สวี่จือจือ” อันฉินกรีดร้องออกมาอย่างโกรธเคือง จากนั้นก็ออกแรงมากเกินไป ลูกตาก็หลุดเข้าไปในหางตา แล้วออกมาไม่ได้
สวี่จือจือยกมือปิดปาก
นี่มัน...ตลกกว่าตาเหล่อีกนะเนี่ย! ซ้ำร้ายอีกฝ่ายยังไม่รู้ตัว ยังคงจ้องสวี่จือจือเขม็ง
“อย่าโกรธไปเลย” สวี่จือจือกล่าว “รีบกลับไปส่องกระจกฝึกดีๆ นะ ให้ลูกตาออกมาได้” แล้วเตือนอีกฝ่ายด้วยความเป็ห่วง
“ฉันไม่เชื่อเธอหรอก” อันฉินพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “อย่าคิดว่าเธอจะหลอกฉันได้ ฉันอันฉินไม่ได้โตมาด้วยการถูกหลอก”
“อืม เธอเป็ยุวปัญญาชน รู้เยอะนี่นา” สวี่จือจือพยักหน้าแล้วหันไปพูดกับคนอื่นๆ “ทุกคนช่วยเป็พยานให้ฉันด้วยนะ เื่นี้ไม่เกี่ยวกับฉันนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ป้าในหมู่บ้านกล่าว “ก็หล่อนใจแคบเองนี่นา”
“จ้องคนอื่นจนลูกตาเข้าไปข้างใน มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?”
“จือจือไม่ต้องห่วง พวกเราจะเป็พยานให้เธอเอง”
อันฉิน “...” คนพวกนี้ยอมเล่นละครตามสวี่จือจือเหลือเกิน
ฟางย่วนย่วนให้คำตัดสินเื่นี้เพียงสองคำ “โง่เง่า”
“รีบไปส่องกระจกเถอะ” โจวเป่าเฉิงกัดฟันพูด
อันฉินร้อนใจ รีบหันหลังวิ่งร้องไห้เข้าไปในห้อง ไม่นาน เสียงกรีดร้องของอันฉินก็ดังมาจากในห้อง ตามด้วยเสียงกระจกแตก
ซี้ด!
น่าสงสาร
น่าสงสารกระจกที่แตกไปจริงๆ
.............................