โจเซฟส่ายหน้าเบาๆ "ผมเองก็ไม่รู้ แต่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรที่พวกผมกำลังตามหาอยู่"
ชาร์ลส์ที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ เริ่มรู้สึกสงสัย เหตุใดโจเซฟจึงเปิดเผยข้อเกี่ยวกับองค์กรลับให้หญิงสาวผู้นี้ฟัง เขามองเธอด้วยสายตาจับจ้อง พินิจพิเคราะห์ แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไร หญิงสาวก็หันมามองเขาด้วยดวงตาคมกริบ "แล้วคนนี้ล่ะ เขาเป็ใคร?"
โจเซฟยิ้มบางๆ ก่อนแนะนำ "นี่คือชาร์ลส์ เพื่อนร่วมงานของผม เขาเป็นักสืบที่ช่วยผมในภารกิจนี้"
ชาร์ลส์พยักหน้าทักทาย ก่อนจะหันไปถามโจเซฟด้วยความสงสัย "โจเซฟ เธอเป็ใครกัน?"
โจเซฟแนะนำตัวหญิงสาวให้รู้จัก "นี่คือพี่สาวของฉัน มิแรนดา คาเว็นดิช"
ชาร์ลส์รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า เมื่อได้ยินชื่อ มิแรนดา คาเว็นดิช เขาจำได้ทันทีว่าเธอคือลูกสาวคนโตของตระกูลคาเว็นดิช วีรสตรีแห่งหมู่บ้านเวอร์เอจ ผู้มีบทบาทสำคัญในาระหว่างอาณาจักรไฮเดลินและตราอินคลินันท์ประเทศคู่อริ ชื่อเสียงของเธอโด่งดังอย่างมาก เป็แรงบันดาลใจให้สตรีในอาณาจักรไฮเดลิน ทั้งในด้านความงามและความสามารถในการรบ ผลงานอันยอดเยี่ยมในสนามรบทำให้เธอได้รับยศพลตรี เป็ที่เคารพนับถืออย่างสูง
มิแรนดาแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้มากในความคิดของเขา ชาร์ลส์เคยคิดว่าความงดงามของเธออาจเป็แค่ข่าวลือ เพราะเขาจินตนาการว่าผู้หญิงที่ต้องต่อสู้ในสนามรบจะต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจากการฟาดฟันและยิงปืนสู้ศัตรู ผิวที่หยาบกร้านจากการเผชิญแดดฝนและฝุ่นในสนามรบ ดวงตาที่แข็งกร้าวจากประสบการณ์การฆ่า ชาร์ลส์คิดว่าภาพลักษณ์ของเธอน่าจะเป็เช่นนั้น
แต่เมื่อได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ชาร์ลส์ก็เข้าใจว่าข่าวลือเป็ความจริง หญิงที่เขาเห็นตรงหน้านั้นงดงามอย่างแท้จริง ผิวพรรณขาวใสละเอียดเรียบเนียน เส้นผมดูมันเงางามไม่หยาบกร้าน ดวงตาของเธอเ็าแต่คมชัด รูปร่างสมส่วน ราวกับรูปสลักแห่งความสมบูรณ์แบบ
เมื่อสังเกตดีๆ เขาเห็นเส้นเืที่ปูดนูนบนหลังมือของเธอ เป็ร่องรอยแห่งการฝึกฝนและต่อสู้ที่แตกต่างจากสตรีชั้นสูงทั่วไปที่มักมีผิวเรียบเนียนอวบอิ่ม มันเป็สัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้มีเพียงชื่อเสียงในด้านความงาม แต่ยังเป็นักรบที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างแท้จริง
เมื่อแนะนำตัวเสร็จ ชาร์ลส์กล่าวทักทายมิแรนดาด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม เขาเลือกใช้คำพูดที่เป็ทางการและให้เกียรติสตรีตรงหน้า เขารู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง เพราะในใจเขาคิดว่าหากเผลอทำให้มิแรนดาไม่พอใจ วันดีคืนดีเขาอาจถูก 'อุ้มหาย' ไปก็ได้ "นับเป็เกียรติอย่างสูงที่ได้พบท่านพลตรี"
โจเซฟที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มอย่างชอบใจ สายตามองชาร์ลส์ด้วยความสนุกสนาน ชายหนุ่มผู้ที่มักปากกล้าและชอบเสียดสีทุกสิ่งเมื่อมีโอกาส กลับกลายเป็คนสุภาพเรียบร้อยถึงเพียงนี้ เขารู้ดีว่าชาร์ลส์คงกำลังสาปแช่งเขาในใจ แต่ก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้
ขณะที่ชาร์ลส์พยายามรักษาสีหน้าให้เป็ปกติ จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่คืบคลานเข้ามา ภาพตรงหน้าเริ่มเบลอไปชั่วขณะ ราวกับภาพวาดที่ถูกน้ำชะ ร่างของเธอดูยืดยาวและบิดเบี้ยวผิดรูป ชาร์ลส์ขมวดคิ้วแน่น พยายามสูดหายใจลึกๆ อาการหลอนมันกำลังกลับมาอีกครั้ง
แสงแดดที่สาดส่องลงมากระทบใบหน้าเขา พลันเปลี่ยนเป็สีแดงฉาน ราวกับท้องฟ้าถูกย้อมด้วยเืสด เสียงสนทนารอบตัวแปรเปลี่ยนเป็เสียงกระซิบที่ก้องอยู่ในโสตประสาท เสียงหัวใจเต้นระรัวดังขึ้นในหู ชาร์ลส์พยายามกะพริบตาแรงๆ หวังดึงตัวเองกลับสู่ความเป็จริง
แต่ในวินาทีที่เขาลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นกลับทำให้เืในกายเย็นเฉียบ ใบหน้างดงามของมิแรนดาแปรเปลี่ยนเป็ใบหน้าที่ถูกเย็บปิดด้วยด้ายสีเื รอยยิ้มน่าสยดสยองปรากฏขึ้น ริมฝีปากถูกเย็บให้แย้มยิ้มกว้างอย่างผิดธรรมชาติ หยดเืซึมออกมาตามรอยเย็บทีละน้อย
ชาร์ลส์สะดุ้ง ร่างกายสั่นเทาและถอยหลังไปเล็กน้อย โจเซฟที่สังเกตเห็นความผิดปกติในท่าทางของเพื่อน รีบยื่นมือมาแตะไหล่เขาเบาๆ "นายสบายดีไหม?"
ชาร์ลส์พยายามหายใจช้าๆ และรวบรวมสติ เหงื่อเย็นผุดซึมตามขมับ เขาหันไปมองโจเซฟด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวล "ฉัน...ฉันแค่เวียนหัวนิดหน่อย ไม่เป็ไร"
โจเซฟมองเขาด้วยสายตาสงสัย แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติม มิแรนดาก็ก้าวเข้ามาใกล้ เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าอ่อนจับจ้องมองชาร์ลส์อย่างพินิจพิเคราะห์ "นายดูเหมือนจะไม่สบาย"
"ไม่ใช่หรอกครับ แค่เหนื่อยนิดหน่อย" ชาร์ลส์ฝืนยิ้ม พยายามปั้นสีหน้าให้ดูเป็ปกติ แม้ว่าภาพหลอนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เขาเห็นเงาดำเคลื่อนไหวอยู่ตามขอบสายตา และเสียงกระซิบแ่เบาที่ดังอยู่ในโสตประสาทไม่ยอมจางหาย
มิแรนดาพยักหน้ารับ แม้สีหน้าของเธอจะยังแฝงไปด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าชาร์ลส์ยืนยันว่าตนไม่เป็ไร บรรยากาศจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
โจเซฟถือโอกาสนี้เดินเข้าไปหาพี่สาวของตน ถามถึงเื่ที่สงสัยมาั้แ่แรกที่พบเธอ "ว่าแต่พี่กลับมาั้แ่เมื่อไหร่? ปกติระดับพลตรีจะต้องกลับมาพร้อมกับขบวนของกองทัพสิ ประชาชนและขุนนางต้องออกมาต้อนรับ ทำไมผมถึงไม่ได้ข่าวเลย"
มิแรนดาหันมายิ้มให้พลางตอบ "พี่ขอตัวกลับมาก่อนขบวน เพื่อจะมาเยี่ยมครอบครัวก่อนน่ะ"
ชาร์ลส์ที่ยืนฟังอยู่รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่นอกวงสนทนา จึงได้แต่ยืนเงียบๆ เขาไม่กล้าถามเื่ที่พวกเขาคุยกัน เพราะเกรงใจมิแรนดาที่มีตำแหน่งสูงในกองทัพและมีกำลังทหารอยู่ในมือ ชาร์ลส์จึงทำได้แค่พยักหน้าเบาๆ ทักทายคนติดตามของมิแรนดา และคนติดตามก็พยักหน้าตอบกลับเป็มารยาทโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม
"ในเมื่อพบกันแล้ว ก็ไปหาพ่อกับแม่พร้อมกันเลยดีไหม?" มิแรนดาเสนอด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่โจเซฟส่ายหน้าเล็กน้อย
"ผมยังไปไม่ได้ ผมต้องทำธุระของตัวเองให้เสร็จก่อน" โจเซฟตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ธุระอะไร?" มิแรนดาถามอย่างสงสัย
แต่โจเซฟไม่สามารถเล่ารายละเอียดได้เพราะเป็ความลับ เขาจึงได้แต่บอกว่า "เป็ภารกิจสำคัญที่ต้องรีบจัดการน่ะ"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มิแรนดาจึงพยักหน้าเข้าใจและไม่ซักถามอะไรอีก
หลังจากนั้น โจเซฟและชาร์ลส์จึงไปตรวจสอบจุดที่ลูกศรตก พวกเขาพบเศษผ้าบางส่วนและคราบเืที่ติดอยู่บนลูกศรสองอัน โจเซฟใช้สายตาพิจารณาหลักฐานเ่าั้อย่างละเอียด ก่อนจะหันมาบอกชาร์ลส์ "เราอาจคืบหน้าแล้ว นี่อาจเป็เบาะแส กลับไปที่หน่วยทันที พร้อมกับลูกศรสองนัดนี้"
ชาร์ลส์ไม่เข้าใจ เขาสงสัยว่าแค่ลูกศรเปื้อนเืกับเศษผ้าพวกนี้ จะนำมาเป็เบาะแสได้ยังไง แต่ยังไงซะหน่วยพิเศษก็อาจจะมีวิธีการแบบหน่วยพิเศษ เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองจึงเตรียมตัวกลับไปที่หน่วยเพื่อทำการวิเคราะห์เบาะแสเพิ่มเติม ส่วนมิแรนดา เธอยิ้มให้ทั้งสองคนก่อนจะบอก "ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปหาพ่อแม่ก่อน ไว้เจอกันที่บ้าน"
ทั้งสามต่างแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตน โดยชาร์ลส์และโจเซฟเร่งเดินทางกลับไปที่สำนักงาน เพื่อนำหลักฐานที่พวกเขาพบกลับไปวิเคราะห์ต่อไป
เมื่อชาร์ลส์และโจเซฟเดินทางกลับมาถึงกรมปราบปรามและป้องกันภัยเหนือธรรมชาติ พวกเขาลงจากรถม้าแล้วรีบเดินตรงไปยังอาคารหลักของหน่วยทันที โจเซฟถือถุงที่บรรจุลูกศรทั้งสองนัดไว้ในมือแน่น ขณะที่ชาร์ลส์เดินข้างๆ ในมือถือไม้เท้าหัวเงินพยุงตัวเองไว้ ทั้งสองคนเข้าไปในอาคารและตรงไปยังห้องของหน่วยสืบสวนพิเศษทันที
เมื่อพวกเขามาถึง โจเซฟเป็คนพูดก่อน "เราอาจพบเบาะแสแล้ว" เขาบอกเอ็ดเวิร์ด ก่อนที่เอ็ดเวิร์ดจะถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า "ได้อะไรมาบ้าง?"
โจเซฟยื่นถุงที่บรรจุลูกศรสองนัดให้ "ในนี้มีลูกศรสองนัดที่มีรอยเืและเศษผ้าของคนแปลกหน้าที่พยายามจับตัวชาร์ลส์ ผมคิดว่าคนแปลกหน้าคนนั้นอาจเป็คนขององค์กรแปรอักษร และนี้อาจเป็เบาะแสสำคัญที่จะนำพาพวกเราไปหาที่ซ่อนของพวกมันได้"
เอ็ดเวิร์ดรับถุงมาแล้วเปิดดูอย่างระมัดระวัง "ดี เราต้องรีบวิเคราะห์มันก่อนที่ร่องรอยจะหายไป" เขาพูด ก่อนจะเอมีเลียไปเรียกไวโอลากับเซบาสเตียน
สักพักไวโอลาและเซบาสเตียนเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว เอ็ดเวิร์ดยื่นถุงให้พวกเขาและกล่าว "ตรวจสอบลูกศรพวกนี้ทันที เราต้องรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคนแปลกหน้าก่อนที่ร่องรอยพวกนี้จะถูกตัดขาดการเชื่อมโยง"
ไวโอลาและเซบาสเตียนพยักหน้า รับถุงแล้วรีบเดินออกจากห้องไป เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เหลือเวลาเพียงนั่งรอผลการตรวจสอบ
ชาร์ลส์ที่รู้สึกสงสัย ถามขึ้นว่า "เบาะแสแค่นี้ จะช่วยให้หาที่อยู่ของกลุ่มแปลอักษรได้จริงหรือครับ?"
เอ็ดเวิร์ดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะอธิบาย "ไวโอลา เธอเป็ผู้ยกระดับตัวตนที่มีพลังเป็ดวงตาวิเคราะห์ เธอสามารถมองเห็นและวิเคราะห์ลึกลงไปถึงรายละเอียดเล็กๆ ที่ไม่มีใครเห็นได้ ส่วนเซบาสเตียนนั้น เขาจะใช้พิธีกรรมแกะรอยที่อยู่ของเ้าของเื เพื่อติดตามที่ซ่อนของพวกมัน"
ชาร์ลส์พยักหน้ารับรู้ เขาเริ่มเข้าใจถึงความสามารถของไวโอลากับเซบาสเตียนมากขึ้นแล้ว จากนั้น เขาเผยความตั้งใจที่เขาคิดไว้กับเอ็ดเวิร์ด "หัวหน้าครับ ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะเลือกเป็ผู้ยกระดับตัวตน"
เอ็ดเวิร์ดหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยิน "แน่ใจแล้ว?"
ชาร์ลส์พยักหน้า "เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่สามารถช่วยเด็กตัวประกันได้เลย และถ้าไม่มีโจเซฟอยู่ด้วย ผมคงถูกจับตัวไปแล้ว แถมภาพหลอนพวกนั้นยังคงกวนใจผมไม่หยุด และผมไม่อยากเลือกทางที่ต้องลบความทรงจำของตัวเอง ผม้าพลังที่สามารถป้องกันตัวเองได้"
ชาร์ลส์มองตาเอ็ดเวิร์ดอย่างมั่นใจ "และใช่ ผมแน่ใจ"
เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจน เอ็ดเวิร์ดจึงบอกกับเขาว่า "ถ้าเป็อย่างนั้น ฉันจะเตรียมการให้ แต่เื่นี้ต้องใช้เวลา เธอจะได้รับคำตอบภายในหนึ่งถึงสองวัน"
หลังจากนั้น ชาร์ลส์ถูกนำไปยังห้องพิเศษของกรมปราบปรามเพื่อลดผลกระทบจากภาพหลอนที่เขาเผชิญอยู่ ชาร์ลส์เดินไปยังห้องที่ถูกเตรียมไว้สำหรับเขา ขณะที่เดินไปตามทาง โจเซฟที่เดินข้างๆ ก็อธิบายเกี่ยวกับห้องนี้ให้ฟัง "ห้องพิเศษนี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันอิทธิพลจากภายนอกและป้องกันพลังของคนที่อยู่ด้านในไม่ให้ส่งผลถึงคนอื่น เป็มาตรการป้องกันไม่ให้ใครใช้พลังในการหลบหนี"
ชาร์ลส์ย่นคิ้วเล็กน้อย "ฟังดูเหมือนกับห้องขังเลยนะ"
โจเซฟหัวเราะเล็กน้อย "มันก็ใช่ โดยปกติแล้วเป็ห้องที่ใช้สำหรับขังผู้มีพลังโดยเฉพาะ ถ้าไม่มีการป้องกัน พลังของคนที่ถูกขังอยู่ในนั้นอาจจะส่งผลออกมาภายนอกได้ บางคนอาจควบคุมจิตใจ หรือปล่อยพลังทำลายล้างออกมา ในกรณีของนายจะถูกจัดให้อยู่ในห้องที่มีความสามารถในการป้องกันเสียงหรืออิทธิพลจากภายนอก และกดการทำงานของสมอง เราได้ปรับห้องนั้นให้ส่งผลแค่การมองเห็นและการได้ยิน เพื่อบรรเทาการเห็นภาพหลอนและได้ยินเสียงแปลกๆ ของนาย"
"อย่างนี้นี่เอง แล้วทำไมต้องออกแบบต่างกันไป?" ชาร์ลส์ถามต่อ
"เพราะพลังของผู้ยกระดับตัวตนหรือผู้ใช้เวทมนตร์แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจมีพลังที่ขังไว้ได้ง่าย เช่น พลังทางกายภาพ หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม แต่บางคนมีพลังที่ซับซ้อน เช่น การควบคุมจิตใจหรือระยะทางและการคงอยู่ วิธีการขังจึงต้องแตกต่างกันออกไป บางห้องอาจใช้พลังเวทมนตร์ในการสะกด บางห้องใช้กลไกซับซ้อนในการป้องกัน เพราะงั้นเราต้องออกแบบแต่ละห้องให้เหมาะกับพลังที่เรา้าควบคุม"
ชาร์ลส์ฟังแล้วถอนหายใจ "สรุปคือ ที่แท้ห้องพิเศษก็เป็ห้องขังนี่เอง ไม่ใช่ห้องรักษาอะไรเลย แปลว่าฉันต้องมาอยู่ในห้องขังสินะ"
โจเซฟยิ้มขำ "อย่าคิดแบบนั้น มันแค่เป็มาตรการความปลอดภัย แต่ฉันเข้าใจว่านายอาจจะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่"
เมื่อมาถึงหน้าห้องพิเศษ ชาร์ลส์หันไปมองประตูเหล็กหนาที่มีสัญลักษณ์ประทับอยู่รอบๆ ก่อนที่จะเข้าไป เขาพูดกับโจเซฟด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด "ฉันแค่หวังว่ามันจะช่วยให้ฉันไม่ต้องเห็นกับภาพหลอนพวกนั้นอีก"
โจเซฟพยักหน้า "หวังว่ามันจะช่วยให้นายพักผ่อนได้บ้าง รักษาสภาพจิตใจไว้ให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนจะเริ่มพิธียกระดับตัวตน"
ชาร์ลส์สูดหายใจลึกก่อนก้าวเข้าไปในห้อง สภาพภายในห้องดูเรียบง่าย แต่มีความเป็ระเบียบ พื้นห้องปูด้วยหินสีเทาหนาและเย็นเฉียบ รอยสลักของสัญลักษณ์กระจายอยู่ทั่วพื้นและผนัง
ผนังของห้องเป็สีเทาเข้ม มีเนื้อผิวขรุขระเล็กน้อย บ่งบอกว่าห้องนี้สร้างขึ้นจากวัสดุที่มีความทนทานสูง หน้าต่างทุกบานถูกปิดด้วยแผ่นโลหะหนา ทำให้ไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้ มีเพียงแสงตะเกียงสลัวจากเพดานที่คอยให้ความสว่างในห้อง แสงนี้ถูกออกแบบมาให้ไม่จ้าเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่อยู่ภายในรู้สึกอึดอัดหรือถูกรบกวนจากแสงสว่างที่มากเกิน
ที่มุมห้องมีเตียงไม้ขนาดเล็กวางอยู่ มันดูเรียบง่าย มีเพียงฟูกบางๆ และผ้าห่มสีขาวที่พับไว้อย่างเรียบร้อย มีโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียงพร้อมกับเก้าอี้ตัวหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีช่องสื่อสารเล็กๆ ติดอยู่ที่ประตูเพื่อให้ชาร์ลส์สามารถติดต่อกับข้างนอกในกรณีฉุกเฉินได้
ชาร์ลส์เดินไปนั่งที่เตียง วางหนังสือที่เขาเลือกมาจากหน่วยพิเศษไว้ข้างๆ มองไปรอบๆ ห้องด้วยความรู้สึกแปลกแยก แม้ห้องนี้จะดูเงียบสงบและปลอดภัย แต่ความรู้สึกเหมือนถูกกักขังและถูกตัดขาดจากโลกภายนอกก็ยังคงสะกิดใจของเขา
……
เวลาผ่านไปสักพัก ในห้องขังที่ชาร์ลส์อยู่ ซึ่งมีหนังสือเพิ่มเขามา เอ็ดเวิร์ด โจเซฟ และไวโอลา เปิดประตูเขามาพร้อมกับเอกสารข้อมูลที่พวกเขาได้รับจากการวิเคราะห์ของไวโอลา
"ชาร์ลส์ เรา้าความช่วยเหลือจากเธอ" เอ็ดเวิร์ดกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "เราวิเคราะห์ออกมาได้แล้ว แต่ยังขาดการเชื่อมโยงเพื่อหาตำแหน่งขององค์กรแปลอักษร"
ชาร์ลส์ยกสายตาจากหนังสือที่เขากำลังอ่าน "ได้ครับ ให้ผมดูหน่อยว่าช่วยอะไรได้บ้าง"
ไวโอลายื่นเอกสารให้ชาร์ลส์ "นี่คือผลการวิเคราะห์ เราพบเศษขนมปังคุณภาพปานกลาง เศษชาคุณภาพดี ดินคุณภาพสูง และขนม้าพันธุ์ดีพร้อมกับน้ำมันบำรุงขน ในเศษผ้าที่ขาดออกจากตัวคนแปลกหน้า"
ชาร์ลส์รับเอกสารมาอ่านอย่างละเอียด "แล้วคราบเืที่คุณได้ไปก่อนหน้านี้ล่ะ ติดตามเบาะแสคนแปลกหน้าได้ไหม"
โจเซฟส่ายหน้า "การเชื่อมโยงของมันถูกตัดไปซะก่อน เราจึงจำเป็จะต้องวิเคราะห์จากเบาะแสที่เหลืออยู่นี้ แล้วคนที่น่าจะชำนาญเื่นี้ที่สุดในหมู่พวกเรา ก็น่าจะเป็นายที่เป็นักสืบชื่อดัง"
ชาร์ลส์เหล่ตามองโจเซฟ "คราวนี้พูดดีนะเนี่ย" จากนั้นจึงหันสายตากลับไปอ่านรายละเอียดในเอกสารอีกครั้ง
"หึม… ขนมปังคุณภาพปานกลาง แต่ถ้าพวกเขาต้องหลบซ่อนตัวอยู่ ก็ไม่น่าจะใช้ขนมปังที่มีราคาแบบนี้ เป็ไปได้ว่าพวกเขาพยายามจะรักษาระดับงบประมาณให้สมดุล ขณะที่ยังคงหลีกเลี่ยงความน่าสงสัย แต่อีกอย่างหนึ่ง ขนมปังระดับนี้ไม่ใช่ของราคาถูกที่สุดในตลาด ซึ่งทำให้ฉันสงสัยว่า ทำไมพวกเขาไม่ประหยัดมากกว่านี้?"
"บางทีอาจจะเพราะพวกเขาไม่สามารถหาเสบียงที่ถูกที่สุดได้?" เอ็ดเวิร์ดเสริม
ชาร์ลส์พยักหน้าเล็กน้อย "หรือของที่ถูกที่สุดกลับไม่ได้อยู่ใกล้กับพวกเขามากที่สุด ลองคิดดู ถ้าพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงสินค้าราคาถูกได้ล่ะ? ถ้าพวกเขาอยู่ในพื้นที่ที่มีแต่สินค้าคุณภาพสูง หรือพื้นที่ที่เข้าถึงร้านค้าทั่วไปไม่ได้" ชาร์ลส์ตอบ
ไวโอลาเริ่มเข้าใจ "หมายถึง พวกเขาอยู่ในเขตอัศวินหรือเขตราชอำนาจ?"
"ใช่ครับ" ชาร์ลส์ยืนยัน "และดินคุณภาพสูงที่เราพบ เป็ดินที่ใช้ในสวนที่ได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ใช่ในสวนหรือเขตเพาะปลูกทั่วไป ส่วนขนม้าพันธุ์ดีและน้ำมันบำรุงขนคุณภาพสูง แสดงว่ามีคอกม้าอย่างดีอยู่ใกล้ ๆ พวกนี้มันไปตรงกับวิถีชีวิตของคนมีเงิน ที่ภายในคฤหาสน์จะมีสวนดอกไม้นานาพันธุ์ กับม้าพันธุ์ดีเอาไว้ขี่เล่น"
โจเซฟกระจ่างทันที "ดังนั้น พวกเขาน่าจะซ่อนตัวอยู่ในบ้านหรือคฤหาสน์ของคนมีเงิน ที่มีสวนสวยงามและคอกม้า"
"ถูกต้อง" ชาร์ลส์กล่าว "และเนื่องจากพวกเขาจำเป็ต้องหาเสบียง จึงซื้อจากร้านค้าใกล้ ๆ ซึ่งเป็สินค้าคุณภาพดี เมื่อเป็อย่างนั้นสถานที่ที่ใกล้ที่สุดที่น่าจะซื้อเสบียงได้น่าจะเป็ตลาดใหญ่กลางเมือง ที่นั่นเต็มไปด้วยสินค้ามากมาย และที่สำคัญสินค้าที่ขายที่นั่นอย่างต่ำคุณภาพต้องเป็ระดับกลาง"
เอ็ดเวิร์ดเสริม "นั่นหมายความว่า เราควรเริ่มค้นหาในเขตอัศวินที่มีคุณสมบัติตามนี้"
"ใช่ครับ" ชาร์ลส์ตอบ "และเนื่องจากเขตราชอำนาจมีการรักษาความปลอดภัยสูง พวกเขาไม่น่าจะเสี่ยงไปซ่อนตัวที่นั่นแน่"
เอ็ดเวิร์ดยิ้ม "คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ให้เธอเข้าร่วมกับเรา"
ชาร์ลส์ยิ้มตอบ "ยินดีครับ" พร้อมกับคิดในใจ 'แถมมาด้วยกับเหตุการณ์ที่นำพาไปให้เจ็บตัวอีกมากมาย'
โจเซฟถามขึ้น "แล้วเื่ของไมเคิลล่ะ เรายังไม่พบตัวเขาเลย"
ชาร์ลส์หน้าเห็นด้วย "ใช่ เรายังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไมเคิล นอกจากที่รู้กันอยู่"
เอ็ดเวิร์ดถอนหายใจ "ถ้าเธอได้รับการยกระดับตัวตน ฉันก็จะให้พวกเธอออกทำงานต่อด้วยกันได้ แต่ถ้าคำขอของชาร์ลส์ถูกปฏิเสธ โจเซฟ เธออาจต้องทำงานนี้คนเดียว"
ชาร์ลส์ฟังแล้วรู้สึกถึงความกดดัน "ถ้าเป็แบบนั้น นายต้องทำคนเดียวก็จริง แต่ฉันก็จะช่วยนายเท่าที่ทำได้"
โจเซฟถาม "ยังไง?"
ชาร์ลส์ยิ้ม "ส่งกำลังใจจากห้องนี้"
โจเซฟ "..."
เอ็ดเวิร์ดพูดตัดบรรยากาศ หันไปหาโจเซฟ "อย่างไรก็ตาม ถ้าเราพบที่อยู่ขององค์กรแปลกอักษร เธอจำเป็ต้องเข้าร่วมภารกิจปราบปรามพวกนั้นก่อน" เขาหันหน้าต่อไปทางชาร์ลส์ "และถ้าสมมุติว่าชาร์ลส์ได้รับการยกระดับตัวตนจริงๆ เธอเองก็จำเป็ต้องเข้าร่วมในภารกิจนี้ด้วย การจัดการองค์กรนี้สำคัญกว่าการหาไมเคิล เพราะถ้าเราสามารถสกัดกั้นกลุ่มนี้ได้ มันอาจช่วยเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับไมเคิล หรือจะโชคก็อาจจะเจอไมเคิลในนั้นด้วย"
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับแผนที่วางไว้ บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความตั้งใจและความหวัง ชาร์ลส์รู้ดีว่าเวลานี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและคำตอบที่จะได้รับในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้