“เสด็จพี่สามของข้าพูดว่าเขามาหาเสด็จพี่ใหญ่ แต่ที่ผลุนผลันเข้ามาเพราะกลัวว่าจะเกิดเื่ เมื่อเห็นหลิงเฟิงเยียนอยู่ด้วย ทั้งสามก็ย่อมคุยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เฟิงเจวี๋ยหร่านยิ้มพรายแล้วเอื้อมมือไปปิดหน้าต่าง เพราะเื่ต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองสกุลหลิงผู้นี้จะเป็คนกินในถ้วย แต่ยังเหลือบมองในกระทะ[1] ต่อไปภายหน้าคงยิ่งออกลายมากกว่านี้แน่นอน...
โม่เสวี่ยถงไม่คิดจะสนใจพวกเขาอยู่แล้ว แต่ก็ยังควบคุมความอยากรู้อยากเห็นของตนเองไม่ได้ เฟิงเจวี๋ยหร่านจุดเทียนในห้อง ก่อนหันมายิ้มให้นาง คล้ายมีเสน่ห์เท่าไรก็โปรยออกมาจนหมด เมื่อผนวกกับกลิ่นอายความอ่อนโยนของชายหนุ่มก็ทำให้นางรู้สึกแก้มร้อนฉ่า ต้องรีบเบือนหน้าไปทางอื่น แสร้งทำเป็มองฉากกั้นเก้าบานที่อยู่อีกด้านแล้วเสชวนคุยต่อ
“เยี่ยนอ๋องกับคุณหนูรองหลิงก็ดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ฮองเฮาก็ทรงสนับสนุนเยี่ยนอ๋อง แล้วเหตุใดจึงไม่ให้พวกเขาได้ลงเอยกันเล่า ไยต้องสร้างสถานการณ์ให้นางไปอยู่กับฉู่อ๋องด้วย...”
ละครฉากนี้จะว่าไปแล้วก็น่าขันนัก เยี่ยนอ๋องทำเหมือนสามีที่ไปจับชู้ของภรรยาตนเอง แต่ฉู่อ๋องกลับแสดงทีท่าชัดเจนว่าตนเองมิใช่ชายชู้
เมื่อครู่ที่เยี่ยนอ๋องบุกเข้ามาด้วยสีหน้ากราดเกรี้ยว หลิงเฟิงเยียนตื่นตระหนกลุกขึ้นฉับพลัน เฟิงเจวี๋ยเสวียนที่กำลังจะดึงถุงหอมของนางเกือบล้มหน้าคว่ำ แต่ต้องยอมรับว่าเขามีความสามารถสูงอย่างแท้จริง ไม่มีท่าทางกระอักกระอ่วนเช่นคนที่ถูกจับผิดได้แม้แต่น้อย ทั้งยังปล่อยมือจากถุงหอมอย่างแเีแล้วหัวเราะหน้าชื่นเดินเข้ามาต้อนรับเยี่ยนอ๋องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คล้ายว่าคนที่เพิ่งยื้อยุดกับหลิงเฟิงเยียนในท่าทางที่ดูคลุมเครือเมื่อครู่ไม่ใช่ตนเอง
โม่เสวี่ยถงก็จนด้วยวาจา ฮองเฮาคิดอย่างไรจึงให้หญิงงามอันดับหนึ่งที่มีฐานะสูงส่งมาทำเื่ผิดจารีตแบบนี้ ช่าง...
“ฮองเฮาไม่อาลัยกับแค่หลานสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งหรอก ธิดาที่เกิดจากภรรยาเอกของจวนติ้งกั๋วกงมิได้มีเพียงหลิงเฟิงเยียนแค่คนเดียวเสียหน่อย” เฟิงเจวี๋ยหร่านลอยหน้าพลางเบ้ปาก
เมื่อเห็นเฟิงเจวี๋ยหร่านทำสีหน้าล้อเลียนเยี่ยงนั้นนางก็เข้าใจความหมายในบัดดล พอคิดถึงความเป็ได้ข้อนั้นพลันเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ แพขนตายาวงามงอนกะพริบปริบๆ “ฮองเฮาคิดจะใช้แผนหญิงงามหรือ”
เฟิงเจวี๋ยหร่านรินน้ำชาจากกาใส่ถ้วยสองใบแล้ววางลงบนโต๊ะเตี้ย ถ้วยหนึ่งเลื่อนไปหน้าโม่เสวี่ยถง หลังจากนั้นก็นั่งลงแล้วกล่าวต่อ
“หากเสด็จพี่สามจะขึ้นครองราชสมบัติก็ต้องพึ่งพาอำนาจของจวนติ้งกั๋วกงและฮองเฮาในวังหลวง ยิ่งไปกว่านั้นเสด็จพี่สามก็เป็เืเนื้อเชื้อไขของสกุลหลิง ที่เขามีชีวิตรอดมาได้จนทุกวันนี้ก็มิใช่เพราะฮองเฮาหรืออย่างไร ดังนั้นเขาย่อมไม่กล้าขัดพระทัย รวมถึงจวนติ้งกั๋วกงที่อยู่เื้ัของพระนางด้วย แม้หลิงเฟิงเยียนจะไม่อาจแต่งให้เขาได้ แต่จวนติ้งกั๋วกงก็ยังเลือกธิดาภรรยาเอกคนอื่นๆ มาแทนได้ ไม่ว่าอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จพี่สามกับจวนติ้งกั๋วกงไม่มีวันขาดสะบั้น ดังนั้นเื่หลิงเฟิงเยียนจึงไม่ใช่ปัญหา แต่เสด็จพี่ใหญ่ย่อมไม่เหมือนกัน...”
ดวงตาของโม่เสวี่ยถงทอประกายอย่างเข้าใจความหมาย ริมฝีปากผลิยิ้มสดใส กล่าวต่อจากเขา “ฮองเฮาคิดจะใช้แผนหญิงงาม โดยจะส่งหลิงเฟิงเยียนเข้าไปอยู่ในจวนฉู่อ๋องเพื่อเป็หูเป็ตาให้พระนาง ดังนั้นวันนี้จึงทรงให้คุณหนูรองสกุลหลิงออกมาเดินเที่ยวชมโคมไฟกับฉู่อ๋อง เป้าหมายเพื่อให้ฉู่อ๋องอภิเษกนางเป็ชายา ต่อไปไม่ว่าจะมีเื่ใดเกิดขึ้นในจวนฉู่อ๋องก็ให้หลานสาวส่งข่าวมาให้ มีหลิงเฟิงเยียนเป็สายลับ โอกาสในชัยชนะของเยี่ยนอ๋องก็ยิ่งสูงขึ้นอีกหนึ่งระดับ”
ดวงตาพราวระยับซ่อนความซุกซนไว้ไม่มิด
ทั้งสองนั่งใกล้ชิดกันมากจนเฟิงเจวี๋ยหร่านได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายโม่เสวี่ยถง ความหอมสดชื่นนี้คล้ายกลิ่นบุปผานานาชนิดผสมผสาน แม้จะอ่อนจางแต่ก็หอมจรุงจิต ไม่เหมือนที่เคยได้ััมาทั้งชีวิต แบบนี้อย่างไรเล่าจึงทำให้หัวใจของเขารู้สึกคันยุบยิบ ยิ่งเห็นสตรีตรงหน้ายิ้มอย่างเ้าเล่ห์ แทบไม่มีความเ็าห่างเหิน หรือท่าทางระแวดระวัง นางที่น่ารักสดใสเยี่ยงนี้ทำให้หัวใจที่สงบนิ่งของเฟิงเจวี๋ยหร่านเต้นแรงจนเสียกระบวน
“แต่ว่า... หลิงเฟิงเยียนต้องมิได้คิดเยี่ยงนี้แน่” นางกล่าวสรุปเพิ่มอีกประโยคหนึ่ง
เฟิงเจวี๋ยหร่านสูดหายใจลึกยาว พยายามไม่ใส่ใจความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้น
“คุณหนูรองหลิงเป็คนฉลาด ต้องไม่ยอมเป็หมากให้ฮองเฮา หรือเป็หมากที่รอวันถูกเขี่ยทิ้งเป็แน่” รอยยิ้มเ้าเล่ห์ฉาบฉายอยู่บนใบหน้าของโม่เสวี่ยถง ยามนี้ความรู้สึกของนางกลับมาเป็ปรกติแล้ว ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว หากยังไม่รีบกลับ เดี๋ยวพวกโม่หลันอาจจะเข้ามาดูนางตอนกลางดึก หากพบว่านางไม่อยู่อาจเกิดเื่ได้
“ท่านอ๋อง พวกเรากลับกันเถิดเพคะ”
“ยังรู้สึกเจ็บอยู่หรือไม่” เฟิงเจวี๋ยหร่านถามอย่างอ่อนโยน ไม่ทำให้นางลำบากใจอีก
“ดีขึ้น ไม่เป็อะไรแล้วเพคะ” นางาเ็ไม่รุนแรง แค่รู้สึกเจ็บนิดหน่อยกับไม่คล่องตัวเท่านั้น ส่วนเื่อื่นๆ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็ห่วง เขาเสียอีกที่เพิ่งถูกฟันได้รับาเ็ ถึงจะทำแผลเรียบร้อยแล้วก็ไม่รู้ว่าอาการหนักหนาสาหัสปานใด สายตาของนางเลื่อนไปที่แขนของเฟิงเจวี๋ยหร่านโดยไม่รู้ตัว ทว่าแขนเสื้อหลวมกว้างกลับปกปิดบริเวณที่ได้รับาเ็ไว้จนมองไม่เห็น จึงไม่รู้ว่าแผลของเขาเป็อย่างไรบ้าง
ดูเหมือนว่าเฟิงเจวี๋ยหร่านจะััถึงสายตาห่วงใยของนางที่มองมาที่ข้อมือตนเอง ใบหน้าหล่อเหลาพลันผลิยิ้มงามตระการ นับว่านางยังมีจิตใจงดงาม ไม่เสียแรงที่ตนเองรีบพุ่งเข้าไปตอนนั้น
“สองวันนี้อย่าออกไปไหน อยู่บ้านพักผ่อนมากๆ กลับไปข้าจะเสาะหายารักษาอาการาเ็ดีๆ แล้วทำเป็ยาเม็ดส่งไปให้ หากเ้าต้มยากินเอง อาจถูกคนสงสัยเอาได้”
“ข้าไม่เป็ไร พักผ่อนวันสองวันเดี๋ยวก็หาย แต่สองวันนี้ท่านอ๋องก็อย่าเพิ่งออกไปไหนเล่า” เื่ที่เฟิงเจวี๋ยหร่านได้รับาเ็ นางเห็นเขาให้คนประกาศออกไปแล้ว สองสามวันนี้จะต้องมีเื่มากมายที่ต้องจัดการแน่ เมื่อนางมองเห็นความทะเยอทะยานของพระโอรสองค์นี้แล้ว ย่อมทราบว่าเส้นทางสายนี้ของเขาเต็มไปด้วยอันตราย ตอนนี้นางทำให้เขาาเ็ จึงไม่อยากกลายเป็ตัวถ่วงของเขา และแน่นอนว่าส่วนหนึ่งภายในใจย่อมเกิดความคิดที่ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเขาลึกเกินไปนัก
เื่ของเขาเป็เื่คอขาดบาดตาย มิได้เป็เพียงเื่เล็กๆ ภายในบ้าน ตราบใดที่ความแค้นของนางยังมิได้สะสาง นางไม่อาจถูกดึงเข้าไปในวังวนที่อันตรายแบบนั้นได้ วันนี้ที่ยอมออกมาก็เพราะมีเื่กลัดกลุ้มจากตอนกลางวัน ดังนั้นจึงคิดอยากจะปลดพันธนาการทุกอย่างให้ตนเองผ่อนคลายบ้าง จึงตามเขาออกมาโดยไม่นำพาต่อจารีตธรรมเนียมใดๆ ยามนี้พอมีสติรู้แจ้งก็รู้สึกวุ่นวายใจจนพูดไม่ออก ยกมือนวดหัวคิ้ว เริ่มไม่แน่ใจว่าวันนี้ตนเองตัดสินใจถูกต้องหรือไม่
เฟิงเจวี๋ยหร่านมาส่งโม่เสวี่ยถงที่เรือนชิงเวย แล้วพูดกับนางเพียงประโยคเดียวว่า “รักษาตัวด้วย” จากนั้นก็พลิ้วกายจากไป
โม่เสวี่ยถงมองตามเงาที่หายวับไปในม่านราตรีแล้วปิดหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในอ้อมอกของเขา จมูกของนางได้กลิ่นคาวเืชัดเจน จึงลอบยื่นมือไปคลำแขนเสื้อของเขา รู้สึกเหนียวหนืด ยามนี้เมื่อยกมือของตนเองขึ้นมาดูก็เห็นคราบสีแดงติดอยู่ แม้แต่กลิ่นคาวเืยังลอยมาปะจมูก
เื่บางอย่างนางไม่กล้าถาม ดังนั้นแม้จะรู้ว่าแผลของเขาปริมีเืออก นางก็ยังไม่กล้าเอ่ยคำถาม นางกลัวว่าตนเองจะเข้าไปพัวพันกับเขามากเกินไป
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเืที่มือของตนเองแล้ววางไว้ด้านข้าง ขบริมฝีปากถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มซึ่งบัดนี้เย็นเฉียบ นางเพิ่งเข้ามาก็หาได้มีความอบอุ่น ยามนี้จึงหนาวสั่นจนขดตัวกลม พลันเท้าข้างหนึ่งยื่นออกไปัักับเตาอุ่นมือที่โม่หลันคงเตรียมไว้ให้ ซึ่งยังร้อนอยู่... แม้จะไม่มากแต่ก็เป็ความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวที่นางมีในเวลานี้
เมื่อได้รับความอบอุ่นก็สูดหายใจลึก ลืมตามองยอดม่าน ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ
เขาได้รับาเ็ไม่เบา ที่สำคัญเขายังาเ็เพราะตนเองอีก เป็ถึงขนาดนั้นแต่ก็ไม่ยอมกลับไปพัก ยังพานางไปดูพลุไฟต่อ แม้ว่าโม่เสวี่ยถงจะวางตัวเ็าไร้น้ำใจมาตลอด แต่ส่วนลึกย่อมรู้สึกไม่สบายใจ
นางหันไปหยิบเตาอุ่นมือมากอดไว้ในอ้อมอก ยามนี้นาง้าความอบอุ่นเยี่ยงนี้เป็ที่สุด ในค่ำคืนที่หนาวเย็น แม้ว่าความอบอุ่นของมันจะมีน้อยยิ่ง แต่กลับเป็เหมือนอาภรณ์เพียงชิ้นเดียวของตนเอง ถึงนางจะกระหายความอบอุ่น ทว่ากลับกลัวว่าเตาจะร้อนลวกมือ ดังนั้นจึงถีบมันออกไปไว้ข้างๆ
หรือว่า... ความรู้สึกที่นางมีต่อเฟิงเจวี๋ยหร่านก็เป็เช่นนี้เหมือนกัน
นางพลิกไปพลิกมาอยู่หลายครั้งก็นอนไม่หลับ ไม่รู้เพราะเกี่ยวกับที่กระอักเืไปเมื่อครู่หรือไม่ แม้ว่าจะกินยาของเฟิงเจวี๋ยหร่านแล้วในลำคอก็ยังรู้สึกระคาย จึงลุกขึ้นมาดื่มน้ำ แต่เนื่องจากห้องมืดจนมองเห็นไม่ชัด นางจึงพลาดเตะถูกขอบโต๊ะ
“คุณหนู้าดื่มชาหรือเ้าคะ” เสียงโม่หลันถามมาจากด้านนอก หลังจากนั้นก็มีเสียงลุกจากเตียง
“เ้าไม่ต้องลุกขึ้นมา ข้าดื่มเรียบร้อยแล้ว” โม่เสวี่ยถงตอบอย่างนุ่มนวล หยุดโม่หลันไม่ให้ลุกขึ้นมา แท้จริงแล้วนางมิได้กระหายน้ำ เพียงแค่รู้สึกนอนไม่หลับ หากไม่ลุกมาทำอะไรสักหน่อยก็จะรู้สึกทรมาน
“น้ำชาเย็นหมดแล้วยังดื่มอีกหรือเ้าคะ ให้บ่าวไปเปลี่ยนเป็ชาร้อนให้ดีกว่า” เสียงโม่หลันสวมรองเท้า เห็นได้ชัดว่าไม่สบายใจที่โม่เสวี่ยถงดื่มน้ำเย็น
“ไม่ต้องหรอก ถึงอย่างไรข้าก็ดื่มไปแล้ว ทีหลังเอาใจใส่หน่อยก็พอ นอนเถิด” นางกุมเท้าที่ชนถูกไว้ แล้วเดินกลับไปที่เตียง ข้างนอกหนาวจัด โม่หลันลุกขึ้นมาก็ต้องสวมชุดคลุมให้หนา ปลายฤดูเหมันต์เยี่ยงนี้ทำให้คนล้มป่วยได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีนางก็มิได้อยากดื่มน้ำจริงๆ อยู่แล้ว หลังจากพลาดเตะถูกโต๊ะ ความสนใจถูกเบี่ยงเบนไปจึงยิ่งไม่มีใจอยากจะดื่มอีก
“เช่นนั้นต่อไปหากคุณหนูอยากดื่มน้ำก็ให้เรียกบ่าวนะเ้าคะ อากาศไม่ค่อยดี คุณหนูสุขภาพอ่อนแอ อย่าให้ล้มป่วย่ปีใหม่ได้” โม่หลันลังเลใจชั่วครู่ แม้มิได้ลุกจากเตียงแต่ก็กล่าวด้วยความห่วงใย
“ได้” โม่เสวี่ยถงตอบรับโดยดี
นางลูบขาข้างที่ชนถูกโต๊ะแล้วก็ล้มตัวนอน ยามนี้ไม่รู้สึกเจ็บเท่าไรแล้ว พอความคิดเปลี่ยนไปเื่อื่นก็เริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่นานก็เคลิ้มหลับไป
…
ในขณะที่โม่เสวี่ยถงหลับไปแล้ว แต่เซวียนอ๋องยังไม่หลับ
ไม่เพียงแต่ยังไม่หลับ ในเรือนจิ่นเวยยังมีผ้าพันแผลที่โชกไปด้วยเืส่งออกมาถังแล้วถังเล่า เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่ภายในรอปรนนิบัติพากันเงียบกริบ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ด้วยเกรงว่าหากเผลอไผลไม่ระวังตัวทำให้ท่านอ๋องที่ได้รับาเ็พระองค์นี้ใจนเป็อะไรขึ้นมา ต่อให้ตายเป็หมื่นครั้งยังยากจะเลี่ยงความผิดได้
วันนี้เซวียนอ๋องออกไปชมโคมไฟถูกคนลอบสังหาร เื่ใหญ่เช่นนี้ล่วงรู้ไปถึงในวังนานแล้ว จักรพรรดิจงเหวินตี้กริ้วจัดปานฟ้าถล่มดินทลาย ส่งหมอหลวงสี่คนมารักษาอาการาเ็ให้เซวียนอ๋อง ไม่มีเอ่ยถึงเื่ที่เซวียนอ๋องออกไปชมโคมไฟแม้แต่ประโยคเดียว
เหตุนี้ทำให้ผู้เป็นายของจวนอ๋องอีกสองพระองค์พลอยไม่ได้นอนไปด้วย ทางหนึ่งก็เรียกที่ปรึกษามาพูดคุยหาทางรับมือ อีกทางก็คอยติดตามข่าวของเซวียนอ๋อง
ภายในหอสูง คณะหมอหลวงหน้านิ่วคิ้วขมวดถอยออกจากห้อง ทั้งสี่ต่างปรึกษาเื่การรักษาให้เซวียนอ๋อง จักรพรรดิทรงมีรับสั่งกับพวกเขาไว้แล้วว่าให้เอาชีวิตเป็ประกัน จึงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย ลงมานั่งที่ชั้นสอง คุยปรึกษากันเื่จัดเตรียมยา
บนเตียงใหญ่ชั้นสาม เฟิงเจวี๋ยหร่านนอนหน้าซีดอยู่ที่นั่น ที่ข้อมือถูกพันอย่างหนาเหมือนบ๊ะจ่าง ส่วนหน้าอกก็มีผ้าพันแผลซึ่งเืไหลซึมออกมาให้เห็นพันอยู่ ดวงตาของเขาปิดสนิท ไม่รู้ว่ามีสติรับรู้หรือไม่
“เฟิงเยวี่ย เื่ที่ให้ไปจัดการเป็อย่างไร” น้ำเสียงเอ้อระเหยถามขึ้นทั้งที่หลับตาอยู่
“หลี่โย่วโม่กับคุณหนูใหญ่สกุลโม่พบกันเรียบร้อยขอรับ เขาตกหลุมรักคุณหนูใหญ่ั้แ่แรกพบ ยามนี้เกรงว่าคงตามไปถึงจวนโม่แล้ว” เฟิงเยวี่ยะโเข้ามาทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว แล้วยืนรายงานอยู่หน้าเตียงด้วยท่าทางนอบน้อม
“แล้วฉู่อ๋องกับเยี่ยนอ๋องที่หอเซียงหม่านโหลวเล่า?” เฟิงเจวี๋ยหร่านยังคงหลับตาถามอยู่เช่นเดิม หากมิใช่เพราะเห็นเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผลหนาเตอะเหมือนบ๊ะจ่าง ไม่ว่าใครก็คงไม่เชื่อว่านี่คือเซวียนอ๋องที่ถูกลอบสังหารจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
………......................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] กินในถ้วย แต่ยังเหลือบมองในกระทะ หมายถึงคนโลภมากที่ไม่รู้จักพอ คล้ายได้คืบจะเอาศอก