ข่าวที่อวิ๋นฉี่เยว่นำกลับมานั้น ทำให้ทุกคนในครอบครัวดีใจเป็อย่างมาก อาจารย์หม่าคือจิ้นซื่อสองบัญชี [1] อวิ๋นฉี่เยว่ได้เป็ศิษย์ของท่านแล้ว ไม่จำเป็ต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาอีกต่อไป
ไม่เพียงเท่านั้น เกียรติประวัติของอวิ๋นฉี่เยว่ในฐานะบัณฑิตก็ไม่ธรรมดาอีกต่อไป ในเมืองหลวง แม้แต่ตระกูลขุนนางก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถเชิญบัณฑิตจิ้นซื่อมาเป็อาจารย์ส่วนตัวได้ แต่อวิ๋นฉี่เยว่ของพวกเขากลับเข้าตาอาจารย์หม่า
คนตระกูลอวิ๋นไม่ทราบว่าอาจารย์หม่ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับฉู่อี้ คาดว่าทั้งสองคนคงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นต่อให้ฉู่อี้เอ่ยปาก อาจารย์ทั้งสองท่านคงไม่ยอมลงทุนลงแรงเดินทางมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ เพื่อช่วยออกแบบและวางแผนก่อสร้างบ้านให้กับตระกูลชาวนาอย่างพวกเขา
อวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อต่างก็เป็คนช่างสังเกต ตอนที่อาจารย์ทั้งสองท่านมาถึง แม้จะไม่แสดงท่าทางโอหัง และเต็มใจช่วยพวกเขาดูทำเลที่ตั้ง แต่พอได้เห็นแบบแปลนบ้านของพวกเขา และได้ฟังความคิดของอวิ๋นเจียวที่บอกผ่านปากของอวิ๋นฉี่ซาน อาจารย์ทั้งสองท่านจึงเต็มใจที่จะอยู่ช่วย
ยิ่งไปกว่านั้นความรู้ความสามารถของอวิ๋นฉี่เยว่ก็เข้าตาอาจารย์ทั้งสองท่านจริงๆ อาจารย์หม่าจึงเกิดความเมตตา อยากจะรับอวิ๋นฉี่เยว่เป็ศิษย์
ฉะนั้นอวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อจึงรู้ดีว่าการรับอวิ๋นฉี่เยว่เป็ศิษย์นั้น เป็ความตั้งใจของอาจารย์หม่าเอง ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงรู้สึกโล่งใจและยินดีกับอวิ๋นฉี่เยว่ยิ่งนัก
เช้าวันรุ่งขึ้นอวิ๋นโส่วจงพาอวิ๋นฉี่เยว่กับอวิ๋นเจียว เดินทางไปยังสำนักศึกษาในตำบลพร้อมกับของขวัญ เนื่องจากเป็วันหยุดเรียนของเหล่าบัณฑิต ฉีจวี่เหรินจึงไม่ได้อยู่ที่สำนักศึกษา แต่ไปเยี่ยมสหายของเขา
ในสำนักศึกษามีเพียงอาจารย์ท่านหนึ่งกับศิษย์อีกไม่กี่คนที่อยู่ขอคำชี้แนะ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืออวิ๋นโส่วหลี่ เมื่ออวิ๋นโส่วหลี่เห็นอวิ๋นโส่วจงและอวิ๋นฉี่เยว่นำของขวัญมา สีหน้าเขาพลันบึ้งตึง
ในใจคิดว่าตนเองให้เกียรติอวิ๋นฉี่เยว่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่รับ ตอนนี้กลับมาส่งของขวัญให้อาจารย์เอง! นี่เป็การบอกชัดเจนว่าจะตัดขาดกับตระกูลอวิ๋นอย่างสิ้นเชิง!
อวิ๋นโส่วจงกับอวิ๋นฉี่เยว่กำลังพูดคุยกับอาจารย์ที่หน้าประตู บังเอิญอวิ๋นโส่วหลี่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง จึงแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาด้วยความอยากรู้
“...ครั้งนี้อวิ๋นฉี่เยว่คงไม่ได้เข้าสอบแล้ว เนื่องจากที่บ้านมีธุระ หลังจากนี้อวิ๋นฉี่เยว่คงไม่ได้มาเรียนที่สำนักศึกษาเป็การชั่วคราว ฝากท่านอาจารย์มอบของพวกนี้ให้ท่านอาจารย์ฉีด้วย อีกไม่นานข้ากับอวิ๋นฉี่เยว่จะไปคารวะท่านที่บ้าน เพื่อขอบคุณที่ท่านกรุณาสั่งสอนอวิ๋นฉี่เยว่เป็อย่างดี”
อาจารย์ท่านนั้นรู้ดีว่าอวิ๋นฉี่เยว่เป็ศิษย์ห้องหนึ่ง จึงรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่เขาไม่ได้เรียนต่อ แต่อาจารย์ท่านนั้นทราบดีว่าบางตระกูลนิยมจ้างอาจารย์มาสอนบุตรหลานที่บ้านเป็การส่วนตัว จึงเพียงแค่พูดเกลี้ยกล่อมอยู่สองสามประโยคเท่านั้น
คำพูดเหล่านี้ตกถึงหูของอวิ๋นโส่วหลี่ ทำให้เขาแอบเยาะเย้ยในใจ อวิ๋นฉี่เยว่นี่ก็ถือว่ารู้จักประมาณตนเองดี รู้ว่าต่อให้เสียเงินเข้าเรียนห้องหนึ่งได้ ก็คงสอบผ่านเป็บัณฑิตถงเซิง [2] ไม่ได้ จึงตัดสินใจล้มเลิกเสียดีกว่า
จะต้องรู้ไว้ว่าเขาเองก็สอบบัณฑิตถงเซิงมาสามปีแล้ว ยังสอบไม่ผ่านเลยสักครั้ง การสอบบัณฑิตถงเซิงครั้งนี้เขาจะต้องสอบผ่านให้ได้ เมื่อสอบบัณฑิตถงเซิงผ่านแล้ว จึงจะสามารถเข้าสอบเป็บัณฑิตซิ่วไฉ [3] ได้! เมื่อคิดถึงตรงนี้อวิ๋นโส่วหลี่ก็รู้สึกตื่นเต้น รีบหันความสนใจไปที่ตำราในมือทันที
หลังจากออกจากสำนักศึกษามาแล้ว อวิ๋นโส่วจงต้องไปซื้อเครื่องมือทำไร่เพิ่ม อวิ๋นฉี่เยว่หันไปถามอวิ๋นเจียว “เจียวเอ๋อร์ เ้าอยากไปเดินเล่นในตำบลกับพี่ใหญ่หรือไม่?”
อวิ๋นเจียวรีบพยักหน้า “เ้าค่ะ!”
อวิ๋นฉี่เยว่จูงมืออวิ๋นเจียว แล้วพูดกับอวิ๋นโส่วจงว่า “ท่านพ่อ เดี๋ยวพวกเราไปเจอกันที่ทางเข้าตำบล วันนี้บังเอิญเป็วันเปิดตลาดพอดี ข้าจะพาเจียวเอ๋อร์ไปเดินเล่นก่อนขอรับ”
มีอวิ๋นฉี่เยว่คอยดูแลอวิ๋นเจียว อวิ๋นโส่วจงจึงรู้สึกวางใจ “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ อีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง พวกเราไปเจอกันที่ทางเข้าตำบล”
“เ้าค่ะท่านพ่อ ข้าทราบแล้ว” หลังจากแยกกับบิดาแล้ว อวิ๋นเจียวก็ตามอวิ๋นฉี่เยว่เดินเล่นไปเรื่อยๆ ในฝูงชน
วันเปิดตลาด บนท้องถนนเต็มไปด้วยสินค้าหลากหลายชนิด เสียงะโเรียกลูกค้าดังระงม แต่ด้วยจิติญญาในร่างของอวิ๋นเจียวเป็ผู้ใหญ่แล้ว ของเล่นเด็กๆ ไม่อาจดึงดูดความสนใจของนางได้
กลับเป็ร้านขนมของกินเล่นข้างทาง ที่ทำให้นางรู้สึกสนใจ เมื่อเห็นนางชอบ อวิ๋นฉี่เยว่จึงซื้อมาทีละอย่างให้นางได้ลองชิม ขณะที่สองพี่น้องกำลังเดินเล่นอย่างสนุกสนาน จู่ๆ ฝูงชนก็แตกตื่นโกลาหล
สองพี่น้องถูกเบียดจนไปอยู่ข้างทาง จากนั้นก็เห็นกลุ่มทหารองครักษ์สวมชุดเกราะ ขี่ม้าตัวใหญ่มาแต่ไกล ข้างหน้าพวกเขามีเ้าหน้าที่จากศาลาว่าการหลายคนกำลังทำการเปิดทางอย่างหยาบคาย
“เจิ้นหย่วนโหวมาแล้ว! ผู้ใดอย่าขวางทาง!”
“เจิ้นหย่วนโหวมาแล้ว! ผู้ใดอย่าขวางทาง!”
เมื่อชาวบ้านเห็นเช่นนั้น ต่างก็พากันหลีกทางให้ ยิ่งทำให้บนท้องถนนวุ่นวายโกลาหล อวิ๋นฉี่เยว่จับมืออวิ๋นเจียวแน่น ใช้ร่างกายปกป้องนาง ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องไห้เสียงแหลมดังขึ้น
เนื่องจากจุดที่อวิ๋นเจียวและอวิ๋นฉี่เยว่ยืนอยู่เป็เนินดิน จึงมองเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน ปรากฏสตรีคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกน้อยอยู่ สะดุดล้มลงกลางถนนด้วยความตื่นตระหนกรถม้าของท่านเจิ้นหย่วนโหวใกล้เข้ามาทุกที เด็กคนนั้นศีรษะกระแทกพื้นจนเืไหลอาบ ร้องไห้เสียงดังอย่างน่าใ
ส่วนสตรีคนนั้นดูเหมือนข้อเท้าจะแพลง พยายามจะลุกขึ้นหลายครั้งแต่ก็ลุกไม่ขึ้น พวกเ้าหน้าที่ทางการเห็นดังนั้นก็เกิดความใรีบตรงเข้าไปขับไล่นางออกไป
แต่สตรีคนนั้นเดินไม่ได้ ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น อุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมกอดด้วยความหวาดกลัว มองไปรอบๆ ด้วยแววตาสิ้นหวัง เ้าหน้าที่ทางการหลายคนรีบตรงเข้าไปจะประคองนางออกไป
สตรีคนนั้นร้องเสียงหลงด้วยความหวาดกลัว “พวกเ้าจะทำอะไร?”
จากธรรมเนียมชายหญิงไม่ควรัักัน เมื่อสตรีคนนั้นร้องะโขึ้นมา เ้าหน้าที่ทางการที่กำลังจะเข้าไปช่วยก็ชะงัก องครักษ์คนหนึ่งลงจากหลังม้า ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเ็า “เกิดเื่อันใดขึ้น?”
เ้าหน้าที่ทางการคนนั้นรีบรายงานด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าสตรีคนนี้ข้อเท้าแพลง ส่วนเด็กน้อยก็หัวแตกขอรับ”
องครักษ์คนนั้นขมวดคิ้ว เขาหันหลังกลับไปที่รถม้า แล้วรายงานเื่ราวให้ผู้ที่อยู่ด้านในทราบ เสียงเรียบเฉยดังมาจากในรถม้า “ส่งสาวใช้สองคนให้พาแม่ลูกคู่นี้ไปรักษาที่โรงหมอ”
“ขอรับ!” องครักษ์รับคำสั่ง แล้วพาสาวใช้สองคนตรงไปประคองสตรีคนนั้นให้ลุกขึ้นยืน
สตรีคนนั้นเห็นดังนั้นก็รีบเช็ดน้ำตา วางลูกน้อยลง แล้วคุกเข่าคำนับรถม้า “ขอบพระคุณท่านโหวที่ไม่ถือโทษความผิดของข้า”
สาวใช้ข้างๆ รีบเข้าไปประคองนาง แต่เด็กน้อยที่นางเพิ่งวางลงกลับวิ่งตรงไปที่รถม้า “ม้าตัวใหญ่! นีนีอยากขี่ม้า!”
องครักษ์เห็นดังนั้นก็รีบลงจากหลังม้าเพื่อไปจับเด็กน้อย แต่เด็กหญิงคนนั้นลื่นเป็ปลาไหล จับตัวนางไม่ได้เลย สตรีคนนั้นหน้าซีด ร้องะโเสียงดัง “นีนี รีบกลับมาหาแม่เร็ว!”
แต่เด็กน้อยคนนั้นทำเหมือนไม่ได้ยิน วิ่งตรงไปที่รถม้าแล้วมุดไปใต้ท้องม้า ในตอนที่ทุกคนต่างพากันใ กลัวว่าเด็กน้อยจะถูกม้าเหยียบตาย
เด็กหญิงคนนั้นกลับชักมีดสั้นที่แวววาวออกมาจากอ้อมอก แล้วแทงเข้าไปที่ท้องม้าอย่างแรง นางแทงไปที่ม้าที่อยู่หัวขบวน ม้าตัวนั้นถูกแทงเข้าก็ร้องลั่นด้วยความเ็ป ยกขาหน้าขึ้นสูงทันที แล้ววิ่งพล่านไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง
เด็กหญิงคนนั้นเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม กลิ้งตัวออกมาจากใต้ท้องม้า ส่วนสตรีที่ข้อเท้าแพลง ก็ชักกระบี่อ่อนออกมาจากเอว แล้วกรีดคอองครักษ์หนึ่งคนกับสาวใช้สองคนที่อยู่ตรงหน้าในพริบตา จากนั้นนางก็กลิ้งตัวหลบไปอีกด้านหนึ่ง ต่อสู้กับองครักษ์ที่กรูกันเข้ามาอย่างดุเดือด
ส่วนด้านรถม้าเองก็ตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง ม้าที่ถูกแทงได้รับาเ็สาหัส ลำไส้ไหลทะลักออกมา ความเ็ปแสนสาหัสทำให้มันคลุ้มคลั่ง วิ่งพล่านไปทั่ว ในสถานการณ์เช่นนี้คงหนีไม่พ้นรถล่มคนตายเป็แน่
เชิงอรรถ
[1] จิ้นซื่อสองบัญชี (两榜进士) หมายถึง บัณฑิตที่สอบผ่านการสอบหน้าพระที่นั่งได้เป็จิ้นซื่อ และเน้นย้ำว่าสอบผ่านการสอบระดับมณฑลได้เป็จวี่เหริน
[2] บัณฑิตซิ่วไฉ (秀才) คือ ตำแหน่งบัณฑิตที่สอบผ่านระดับท้องถิ่นของการสอบคัดเลือกขุนนาง และมีสิทธิ์เข้าสอบในระดับที่สูงขึ้น
[3] บัณฑิตจวี่เหริน (举人) คือ ตำแหน่งบัณฑิตที่สอบผ่านการสอบระดับมณฑลในระบบการสอบคัดเลือกขุนนางของจีนในสมัยโบราณ ถือเป็ระดับที่สูงกว่าซิ่วไฉ