เล่มที่ 2 บทที่ 44
หลังจากความคิดนั้นปรากฏ จ้าวจื่อซินก็ใตัวเอง เหตุใดเขาถึงวิตกกังวลเกี่ยวกับมู่หรงฉิงถึงเพียงนี้? เมื่อหลายอึดใจก่อนก็เช่นกัน ทันทีที่เขาเห็นเฉินเทียนหยูถูกมู่หรงฉิงลากตัวไปและทั้งคู่ได้ล้มตัวลงบนเก้าอี้ยาว เขาเกิดความคิดที่จะดึงเฉินเทียนหยูขึ้นมาจากเก้าอี้ยาวนั่นจริงๆ และตอนนี้ด้วยสาเหตุจากมู่หรงฉิง เขาเกลียดถึงขั้นคิดจะฆ่าซูมู่หานด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
เป็เพราะว่าผู้หญิงคนนี้พิเศษกระนั้นหรือ? เขาจึงอยากรู้เื่ราวเกี่ยวกับนาง?
เกิดความสงสัยในใจแต่ใบหน้าของชายหนุ่มยังเต็มไปด้วยน้ำค้างแข็ง มู่หรงฉิงยังไม่ทันได้พูดมาก จ้าวจื่อซินก็แบกซูมู่หาน เปิดบานหน้าต่างและะโออกไป
แบกคนตัวโตในเวลากลางวันแสกๆ ถ้าเกิดใครมาเห็นเข้า จะเกิดปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มู่หรงฉิงรีบเดินไปที่ข้างบานหน้าต่างพร้อมพูดเสียงเบาว่า “เ้าระวังตัวด้วย”
ความหมายของมู่หรงฉิงนั้นชัดเจนมาก เ้าต้องระมัดระวังตัว อย่าให้คนอื่นมาเห็นเข้าล่ะ ข้ายังมีคำถามอีกมากที่จะสอบถามซูมู่หาน
แต่เมื่อถ้อยคำนั้นถึงหูของจ้าวจื่อซิน มันกลับกลายเป็อีกความหมายหนึ่ง จ้าวจื่อซินหันกลับไปมองมู่หรงฉิงด้วยสายตาอันซับซ้อน “เ้าวางใจเถอะ ถึงเขาจะมีสติ เขาก็ทำอะไรข้าไม่ได้”
โธ่? มู่หรงฉิงตกตะลึงชั่วครู่หนึ่ง คำพูดของจ้าวจื่อซินไม่เกี่ยวข้องกับความหมายในคำพูดของนางโดยสิ้นเชิง ทว่าก่อนที่นางจะพูดต่อ จ้าวจื่อซินได้พาตัวซูมู่หานออกไปแล้ว แค่พริบตาเดียวก็ปราศจากเงาร่างคน
“ช่างเป็คนประหลาดเสียนี่กระไร” มู่หรงฉิงพูดพึมพำและรีบหดร่างของตัวเองกลับเข้าไปในห้อง ก่อนจะปิดหน้าต่าง จากนั้นหันมองเฉินเทียนหยูผู้ซึ่งหมดสติด้วยความรู้สึกผิด
แม้จะรู้ว่ายาพิษในแตงโมไม่เป็อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต แต่เมื่อเห็นเฉินเทียนหยูหลับลึกอย่างเงียบสงบ มู่หรงฉิงย่อมรู้สึกผิดในใจ แต่หลังจากรู้สึกผิดนางกลับรู้สึกปีติยินดี
รีบหยิบต่างหูเงินใต้หมอนและเห็นว่าต่างหูยังเป็สีดำอยู่ นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าแตงโมจะต้องมีพิษอย่างแน่นอน พิษที่ยวี้เอ๋อร์ใส่ลงไปทำให้คนหมดสติ แต่ทำไมนางถึงไม่เป็อะไร? ไม่ใช่แค่ไม่เป็อะไรแม้แต่อาการเล็กน้อยก็ไม่มี
หรือหมายความว่า ยาของหมอเทวดาสำเร็จลุล่วงแล้วจริงๆ? ยามนี้ร่างกายของนางกลายเป็ร่างกายที่สามารถต้านทานยาพิษนับร้อยที่เข้ามารุกราน และสัตว์มีพิษนับร้อยเป็ต้องถอยห่างจริงๆ กระนั้นหรือ?
คิดได้ดังนั้น มู่หรงฉิงก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างยากจะอธิบายเป็คำพูดได้ น่าเสียดายในมือของนางไม่มียาพิษที่สามารถทดสอบได้ แต่ถึงแม้จะมี นางก็ไม่มีความมั่นใจมากนัก หากยาของหมอเทวดาไม่สามารถป้องกันนางจากการถูกพิษนับร้อยเข้ามารุกราน หรือสัตว์มีพิษไม่ถอยหนี ถ้านางทดลองอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า จะไม่เทียบเท่ากับนางขุดหลุมฝังตนเองหรือ?
สุขครึ่งหนึ่ง วิตกกังวลครึ่งหนึ่ง มู่หรงฉิงยังไม่ทันได้ครุ่นคิดมาก นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าผสมปนเปดังแว่วมาจากด้านนอกประตู
กะประมาณจากเสียงฝีเท้าไม่น่าจะต่ำกว่าสิบคนที่เดินมาทางเรือนหลังนี้ ข้างนอกแดดร้อนจัดฉะนั้นเป็ใครกันที่มาที่นี่ในเวลานี้?
ขณะที่กำลังสงสัยก็ได้ยินพวกสาวใช้ทักทายด้วยเสียงเบาว่า “น้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่า น้อมทักทายฮูหยิน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินเฉินมาที่นี่หรือ? เปลือกตาของมู่หรงฉิงกระตุก ดูเหมือนว่ายวี้เอ๋อร์ยังคงไม่ละทิ้งความประสงค์ในการทำให้แม่ใหญ่ทั้งสองรังเกียจนาง
ยวี้เอ๋อร์นะ ยวี้เอ๋อร์ ช่างน่าเสียดาย แผนการของเ้าในคราวนี้จะต้องสูญเปล่าอีกหนแล้ว
ระหว่างคิดดังนั้นก็ถอดรองเท้าและปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ยาว ขยับเข้าไปด้านในกำแพง หลังจากคิดตรึกตรอง นางจึงจัดท่าให้เฉินเทียนหยูซึ่งตอนนี้กำลังนอนราบอยู่บนเก้าอี้ยาว ให้เปลี่ยนท่าเป็ตะแคงหันเข้าหากำแพง โดยที่นางนอนหนุนศีรษะบนแขนข้างหนึ่งของเฉินเทียนหยู ส่วนแขนอีกข้างของเฉินเทียนหยูก็วางบนเอวของนาง ขณะที่นางจับมือข้างนั้นของเฉินเทียนหยูอย่างนุ่มนวล
มีสามวัตถุประสงค์สำหรับสิ่งนี้ ประการที่หนึ่งคือการให้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินได้เห็นถึงความปรองดองของการแต่งงานระหว่างนางกับเฉินเทียนหยู ประการที่สองคือการทำให้ยวี้เอ๋อร์สงสัยว่าความล้มเหลวเกิดจากการหลบหนีของซูมู่หาน และอีกประการหนึ่ง นางไม่รู้ว่าฤทธิ์ของยาจะหมดลงเมื่อใด การอยู่ใกล้กับเฉินเทียนหยูจะทำให้นางรับรู้เป็คนแรกหากเฉินเทียนหยูจะตื่นขึ้นมาแล้ว ถึงเวลานั้นนางจะทำท่าตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง และไม่ทำให้ยวี้เอ๋อร์เกิดความคลางแคลงใจ
“ฮูหยินน้อยยังหลับอยู่หรือ?” เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าเ็าปานน้ำแข็ง แม้ว่ามู่หรงฉิงจะมีการเตรียมความพร้อม ถึงกระนั้นนางก็ใกับเสียงอันน่าเกรงขามและเ็าของฮูหยินผู้เฒ่า
คิดว่า ฮูหยินผู้เฒ่าคงทราบเื่ที่มีผู้ชายจากด้านนอกเข้ามาในห้องและการมาเยือนอย่างเหมาะเจาะย่อมต้องมาด้วยจุดประสงค์เพื่อจับการลักลอบการเป็ชู้อย่างแน่นอน
“เรียนฮูหยินผู้เฒ่า... คุณหนูใหญ่... โอ้! ไม่... ฮูหยินน้อยกำลังหลับอยู่...” เสียงของยวี้เอ๋อร์ฟังดูคล้ายกำลังหวาดหวั่น บ่งชี้ให้เห็นว่า นางหวั่นกลัวฮูหยินผู้เฒ่าเป็อย่างมาก
ถ้าเป็เมื่อก่อน มู่หรงฉิงคงจะคิดว่ายวี้เอ๋อร์เป็คนขี้กลัว แต่ยามนี้ดูเหมือนว่ายวี้เอ๋อร์กำลังเสแสร้งแกล้งทำก็เท่านั้น
ยิ่งยวี้เอ๋อร์เสแสร้งทำเป็ใมากขึ้นก็ยิ่งเป็การยืนยันเพิ่มมากขึ้นว่ามีชายจากด้านนอกอยู่ในห้อง
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พูดอะไรมาก แค่แผดเสียงอย่างเ็าพลางสั่งกำชับชุ่ยเอ๋อร์ทันควัน “ชุ่ยเอ๋อร์ เปิดประตู ได้ยินมาว่าวันนี้ฮูหยินน้อยเจ็บข้อเท้า ข้าเป็แม่ใหญ่ ถ้าไม่มาดูสักหน่อย พูดอย่างไรก็ดูไม่งาม”
“ฮูหยินผู้เฒ่า รับทราบ” ชุ่ยเอ๋อร์เอ่ยตอบก่อนจะผลักบานประตูเปิดออก มู่หรงฉิงได้ยินเสียงฝีเท้าคนพยายามกั้นขวางฝูงชน เห็นได้ชัดว่ายวี้เอ๋อร์กำลังขัดขวางทุกคนเอาไว้
ดูเหมือนว่ายวี้เอ๋อร์เสแสร้งแกล้งทำได้มากเพียงพอจริงๆ ในตอนแรกนางล่อซูมู่หานเข้ามา จากนั้นจึงเปิดเผยเกี่ยวกับการพบปะส่วนตัวกับผู้ชายจากด้านนอกต่อฮูหยินผู้เฒ่า และตอนนี้นางก็ทำเป็ขวางทางอีก
ด้วยภาพนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงมั่นใจเพิ่มมากขึ้นว่ามีคนนอกอยู่ในห้อง ประการที่สองเป็การบอกฆาตกรซูมู่หานในห้องด้วยว่า เ้าจัดการให้เร็วเข้า ข้าขัดขวางให้เ้าแล้ว
แต่อย่างไรก็ดี ฮูหยินผู้เฒ่ามาที่นี่แล้วย่อมต้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ ฮูหยินผู้เฒ่าจะปล่อยซูมู่หานให้หนีออกไปได้อย่างไร? ฉะนั้นแม้ว่าซูมู่หานจะถูกจับได้ เขาย่อมจะไม่พาดพิงว่ายวี้เอ๋อร์กระทำผิดด้วย แต่บอกเพียงว่ามู่หรงฉิงกับเขานั้นรักกันและพบกันที่นี่เป็การส่วนตัว
ฉะนั้นต่อให้มู่หรงฉิงจะมีถึงสิบปาก คงเป็เื่ยากที่จะหนีจากความผิดได้ ถึงเวลานั้นตำแหน่งและสถานะการใช้ชีวิตอยู่ในจวนเฉินของนางคงตกต่ำมากกว่าคนเบื้องล่างเสียด้วยซ้ำ
นางเย้ยหยันในใจ แต่ละกลอุบายของยวี้เอ๋อร์ ช่างเยี่ยมยอดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่นางยังไม่สูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียงเกียรติภูมิ ยวี้เอ๋อร์ก็ไม่ยอมปล่อยนางจริงๆ
ในระหว่างที่มู่หรงฉิงกำลังคิดพิเคราะห์ถึงต้นสายปลายเหตุ ชุ่ยเอ๋อร์ได้ฟาดฝ่ามือลงไปที่ใบหน้าของยวี้เอ๋อร์ จากนั้นจึงประคองฮูหยินผู้เฒ่าเข้าไปในห้อง
ฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้าไปในห้องเป็คนแรก ขณะที่ฮูหยินเฉินเดินตามเข้ามาติดๆ โดยท่าทีของฮูหยินเฉินไม่สบอารมณ์เช่นเดียวกัน เมื่อนึกถึงการผิดประเวณีลักลอบมีชู้กับชายด้านนอกในห้องหอของมู่หรงฉิง นางถึงกับกัดฟันในปากจนแทบจะกลายเป็ผุยผงด้วยความเกลียดชัง
แม้ว่าตอนนี้ลูกชายของนางจะโง่งม ถึงกระนั้นเขาก็เป็ผู้ชายในจวนเฉิน เป็ลูกชายคนโปรดของตน เมื่อถูกคนตบหน้า นางย่อมปล่อยมู่หรงฉิงไม่ได้
คิดในใจพลางเร่งฝีเท้าเดิน ครั้นเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าหยุดฝีเท้าด้านหน้าเก้าอี้ยาว มิหนำซ้ำใบหน้าของนางยังไม่มีความขุ่นเคืองอีกต่อไป แต่กลับแปรเปลี่ยนเป็รอยยิ้มโล่งใจ
ฮูหยินเฉินจึงนึกงุนงง ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะขุ่นเคืองมากเกินไปกระมัง? เมื่อเห็นมู่หรงฉิงนอนอยู่กับชายด้านนอก อีกฝ่ายก็ยังสามารถยิ้มออกมาได้
นางจึงเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปถึงด้านหน้า หลังจากเห็นคนสองคนนอนหลับลึกอยู่บนเก้าอี้ยาว ความขุ่นเคืองของฮูหยินเฉินก็แปรเปลี่ยนเป็ความยินดีในทันควัน
ชายด้านนอกเสียที่ไหนกัน? นี่ไม่ใช่ลูกชายคนโปรดของนางหรือ?
ทางด้านยวี้เอ๋อร์ผู้ซึ่งถูกชุ่ยเอ๋อร์ฟาดฝ่ามือใส่อย่างดุเดือด หลังจากถูกผลักล้มลงไปด้านข้าง นางได้ใช้โอกาสนี้ทิ้งตัวนอนลงกับพื้นและยืดเวลาออกไปสักพัก เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินเฉินเดินไปยืนเบื้องหน้าเก้าอี้ยาว นางก็ออกอาการตื่นตระหนก รีบเดินตามเข้าไปพร้ะโกนว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า อย่าโทษฮูหยินน้อยเลย คุณชายรอง้าให้ฮูหยินน้อยงีบหลับตอนบ่ายด้วยกัน บ่าวกลัวว่าคุณชายรองจะหงุดหงิด จึงขวางทางฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าถือโทษโกรธฮูหยินน้อยเลยนะ ...ฮูหยินน้อย ...ฮูหยินน้อย”
คำพูดต่อไปของยวี้เอ๋อร์ติดอยู่ในลำคอหลังได้เห็นคนสองคนนอนอยู่บนเตียง
เป็เฉินเทียนหยูไปได้อย่างไร? ซูมู่หานอยู่ที่ไหนหรือ?
ยวี้เอ๋อร์ใ นางไม่เข้าใจว่า คนที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวเป็เฉินเทียนหยูไปได้อย่างไร แทนที่จะเป็ซูมู่หาน จังหวะนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ขยิบตาให้ชุ่ยเอ๋อร์ บ่าวรับใช้คนสนิทเข้าใจทันที จึงเดินไปหายวี้เอ๋อร์ และยกมือฟาดใบหน้าของฝ่ายนั้นอีกหนึ่งที
ชุ่ยเอ๋อร์ตบแรงมากส่งผลให้ปากของยวี้เอ๋อร์มีเืซึมออกมาทันควัน นางถูกตบจนศีรษะเบี่ยงหันไปทางด้านข้าง เป็สาเหตุให้สายตาของนางตกลงไปที่เปลือกแตงโมบนโต๊ะ นางเห็นว่าแตงโมถูกแทะจนสะอาดเกลี้ยง
ครู่ก่อนที่นางเข้ามาในห้องนี้ แตงโมยังอยู่ดีๆ อยู่เลย แต่ตอนนี้กลับถูกกินจนหมดเกลี้ยง มู่หรงฉิงนอนหลับลึก นั่นเป็เพราะนางกินแตงโม ทว่าด้วยเสียงดังลั่น เฉินเทียนหยูกลับยังไม่ตื่น พิสูจน์ให้เห็นว่าเฉินเทียนหยูได้กินแตงโมจนเกลี้ยง
เป็ไปได้หรือไม่ว่า เฉินเทียนหยูบังเอิญกลับมาในระหว่างที่ซูมู่หานกำลังจะกระทำเื่ไร้ยางอาย? จึงหนีไปด้วยความใ? พูดได้หรือไม่ว่าเสียงที่เพิ่งได้ยินด้านนอกประตูนั้นไม่ใช่ซูมู่หาน แต่เป็เฉินเทียนหยูที่กำลังกินแตงโม?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ยวี้เอ๋อร์พลอยรู้สึกเกลียดชังซูมู่หานขึ้นมาครามครัน เ้าคนใช้การไม่ได้ เขาทำพลาดทั้งสองครั้ง ช่างเป็ผู้ชายที่ไร้ประโยชน์จริงๆ
นอกจากนั้นเฉินเทียนหยูออกจากจวนไปแล้วไม่ใช่หรือ? แต่ทำไมเขาถึงกลับมาอีกครั้งล่ะ? คิดไม่ถึงว่าจะปีนเข้ามาจากทางหน้าต่างของสวนหลังบ้าน เขาโง่จริงๆ หรือแกล้งทำเป็โง่กันแน่?
ยวี้เอ๋อร์ก่นด่าในใจด้วยความเกลียดชัง ฝ่ายฮูหยินผู้เฒ่าพลอยเลื่อนสายตามองตามการจับจ้องของยวี้เอ๋อร์ไปที่แตงโม หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เกิดความคิดคร่าวๆ แล้ว
ยวี้เอ๋อร์คนนี้เป็คนเลว ในตอนแรกอีกฝ่ายพูดจาใส่ร้ายมู่หรงฉิงต่อหน้านาง และตอนนี้ก็วางแผนให้นางและลูกสะใภ้สงสัยในตัวมู่หรงฉิง ถ้าวันนี้นางไม่มาที่นี่และฟังแต่คำบอกเล่าของผู้คนเบื้องล่าง ต่อด้วยคำพูดซุบซิบนินทา ถ้าเช่นนั้นหลานสะใภ้ของนางจะไม่ถูกปรักปรำไปเสียเปล่าหรือ?
คิดได้ดังนั้น นางก็จ้องหน้ายวี้เอ๋อร์อย่างดุเดือด ด้วยการมองปราดเดียวของฮูหยินผู้เฒ่า ชุ่ยเอ๋อร์ก็เข้าใจได้ในทันที นางขยิบตาให้สาวใช้ข้างๆ ฮูหยินเฉิน สาวใช้ทั้งสองคนปรี่เข้าไปกดยวี้เอ๋อร์ให้คุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นชุ่ยเอ๋อร์ก็ยกมือฟาดยวี้เอ๋อร์เต็มแรง
ด้วยเสียงตบดังเพียะส่งผลให้มู่หรงฉิงรู้สึกมีความสุขมาก คาดว่ายวี้เอ๋อร์คงคิดไม่ถึงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งนางอยากจะทำให้ดีแต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็ไปตามที่หวังไว้ มิหนำซ้ำมันยิ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินไว้ใจตนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าครั้นได้ฟังเสียงปรบมือ มู่หรงฉิงถึงกับลอบบีบมือของเฉินเทียนหยูให้กระชับขึ้นเล็กน้อย นางยิ่งรู้สึกกระจ่างขึ้นในทันใด ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะคิดอย่างไร เื่นี้เป็ประโยชน์ต่อนางเป็อย่างมาก
ดูเหมือนว่าการที่นางนอนกอดเฉินเทียนหยูอย่างแนบชิดจะเป็สิ่งที่ถูกต้อง นางวางเก้าอี้ยาวไว้ในห้อง และฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องรู้เื่นี้ แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้พูดอะไรแต่คงไม่ชอบใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าด้วยกรณีใด มู่หรงฉิงได้แต่งงานกับเฉินเทียนหยูในฐานะภรรยาเอกของเขา แม้ว่าเฉินเทียนหยูจะโง่งมในบางเวลา และบางเวลาก็คลุ้มคลั่ง แต่มู่หรงฉิงย่อมไม่อาจวางเก้าอี้ยาวไว้ในห้องเพื่อแยกที่นอนกับเฉินเทียนหยูโดยตรง พฤติกรรมนั้นเป็การตบหน้าจวนเฉิน
เพื่อป้องกันไม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินมีอคติต่อนาง นางจึงสร้างภาพลวงตาว่านางสนิทสนมกับชายหนุ่มและนอนหลับในอ้อมกอดของเฉินเทียนหยู ผลประโยชน์ที่ได้จากภาพลวงตาของความสนิทสนมกลับเหนือจินตนาการจริงๆ
เสียงฟาดฝ่ามือดังมากขึ้นเรื่อยๆ มู่หรงฉิงอยากจะลุกขึ้นนั่งดู นางอยากเห็นสารรูปของยวี้เอ๋อร์แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้นางทำไม่ได้
“พูดสิ เ้าใส่อะไรลงไปในของกินของฮูหยินน้อยกับคุณชายรอง?” เสียงตบหน้าดังพร้อมๆ กับเสียงตวาดอันโหดร้ายของชุ่ยเอ๋อร์ คำพูดเ่าั้ทำให้มู่หรงฉิงถึงกับใ ปรากฏว่าฮูหยินผู้เฒ่าช่างเก่งกาจจริงๆ แม้กระทั่งสาวใช้ที่อยู่เคียงข้างก็สามารถเข้าใจได้ภายในระยะเวลาอันสั้นว่าเื่คราวนี้มีลับลมคมใน
คิดว่าใช่แล้ว ด้วยการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ นางกับเฉินเทียนหยูก็ยังคงไม่ตื่น ย่อมเป็เื่ยากที่จะรับรองว่าทุกคนจะไม่คิดอะไรอื่น
หลังจากชุ่ยเอ๋อร์ตั้งคำถาม นางก็หยุดจังหวะพร้อมจ้องยวี้เอ๋อร์เขม็ง และรอให้อีกฝ่ายตอบ ทว่าดวงตาทั้งสองข้างของยวี้เอ๋อร์กลับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ท่าทางของนางดูน้อยใจและน่าสงสารอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ได้ “บ่าว... บ่าวไม่รู้ เ้ากำลังพูดถึงเื่อะไรหรือ...”
“ยังปากแข็งอีกหรือ ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างเอิกเกริกถึงเพียงนี้ คุณชายรองและฮูหยินน้อยยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย เ้ายังกล้าพูดว่าเ้าไม่รู้อะไรเลยหรือ?” สิ้นสุดคำพูดของชุ่ยเอ๋อร์ ก็ได้ยินเสียงฟาดฝ่ามืออีกหน
ด้วยเสียงฟาดฝ่ามือ คิดว่าหลังจากวันนี้ ยวี้เอ๋อร์คงไม่สามารถพบผู้คนได้อีกหลายวัน