เรือนสกุลหลี่
ภายในจวนสกุลหลี่อันโอ่อ่า ขณะนี้บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งงานมงคล ผ้าแพรสีแดงเข้มขอบทองถูกนำมาพันรอบเสาเรือน และชายคาทั่วบริเวณ
ม่านไหมสีชาดลายดอกโบตั๋นปักละเอียดดั่งงานฝีมือจากวังหลวงถูกแขวนเป็ฉากหลังสำหรับพิธี ผ้าปูโต๊ะ และคลุมเก้าอี้ ล้วนเป็ผ้าแพรแดงปักลายเมฆมงคลและัหงส์อย่างประณีต
โคมแดงนับร้อยดวงห้อยเรียงรายั้แ่ประตูใหญ่ยันท้ายเรือน ส่องแสงสลัวอบอุ่น แต่แฝงความรู้สึกอึมครึมราวกับบ่วงที่ค่อย ๆ คล้องรัดิญญาของผู้หนึ่งไว้ไม่ให้ดิ้นรนหนีไปได้
อักษรมงคล “囍” หรือ ‘ซังฮี้’ ถูกประดับไว้ทั่วทุกมุม ไม่ว่าจะบนผนัง บนกล่องของขวัญ บนประตูห้องหอ หรือแม้แต่บนเบาะรองนั่ง ล้วนสื่อถึงความสุขคู่
ในห้องหอใหญ่ โต๊ะ เครื่องเรือน เตียงไม้แกะสลักลวดลายัหงส์ ล้วนถูกคลุมด้วยผ้าแดงชาดเทียบเท่าเสื้อคลุมเ้าสาว เทียนไขัหงส์คู่ขนาดใหญ่ถูกวางไว้บนโต๊ะบูชา รอเพียงแค่เวลาแห่งพิธีจุดประกาย
ของตกแต่งมากมายล้วนเป็สัญลักษณ์แห่งคำอวยพร
ัและหงส์คู่ แทนเ้าบ่าวเ้าสาว
เป็ดแมนดารินคู่ สื่อถึงรักแท้มั่นคง
ปลาคู่ เพื่อความอุดมสมบูรณ์
ลูกทับทิม และอินทผลัม เพื่อขอบุตรชายในเร็ววัน
แม้แต่ผลไม้ และของแห้ง ก็ถูกจัดเรียงบนถาดมงคล: ทับทิม อินทผลัม เกาลัด พุทรา ถั่วลิสง ล้วนเต็มไปด้วยความหมายอันเป็สิริมงคลแก่การเริ่มต้นชีวิตคู่
“ตระเตรียมเรือนแต่งอย่างใหญ่โตนัก... แต่จนบัดนี้ ข้ายังไม่เห็นแม้แต่เงาของท่านพี่มาร่วมเดือนเต็ม ข้าว่าคุณหนูหลินนั่น... คงจะได้แต่งกับสายลมแทนแล้วกระมัง” ซูเหลียน อนุเอกผู้ครองตำแหน่งสูงสุดในเรือนในของคุณชายหลี่ เอ่ยเสียงเรียบ พลางระบายยิ้มบางอย่างยากอ่านออก
“ฮึ!” อนุสามแค่นเสียงเยาะ “ดูท่า... ตัวท่านพี่เองก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าถูกจับแต่งเมียอีกคน ครานี้... ยังอุตส่าห์แต่งเป็ฮูหยินเอกเสียด้วยสิ”
“จะแต่งอีกกี่คน ท่านพี่ก็หาเคยแลเหลียวพวกเราด้วยตาใจไม่” อนุรองว่าขึ้นแ่เบา หากในน้ำเสียงเจือขื่นขม
“ข้าได้ยินว่า... คุณหนูหลินผู้นี้เป็ธิดาขุนนาง มีชาติตระกูลสูงส่ง อีกทั้งยังเป็คนที่ท่านพี่เลือกเองกับมือ อย่างไรก็คงเหนือกว่าพวกเราอยู่ดี” อนุเก้าเอ่ยพลางหลุบตาต่ำ แต่แววตาสะท้อนความอึดอัดที่อัดแน่น
อนุรองหัวเราะในลำคอ พลางเอ่ยเสียงเยียบเย็น “แต่นางก็มา ‘ทีหลัง’ อยู่ดี แม้จะเป็ฮูหยินเอก ก็ต้องรู้จักให้เกียรติผู้อยู่มาก่อนอย่างพวกเรา”
“เ้าพูดถูก” ซูเหลียนพยักหน้าน้อย ๆ พลางส่งยิ้มที่หาได้แตะถึงหัวใจไม่ ใบหน้านั้นงามละไม... แต่หากใครมองนานเข้า จะรู้ว่ายิ้มนั้นคล้ายมีคมมีดซ่อนอยู่
หลี่จื่อเหว่ยทราบข่าวเื่ที่ตระกูลหลินตอบตกลงเื่แต่งงานเมื่อสัปดาห์ก่อน ขณะที่เขากำลังหมกตัวเล่นพนันอยู่ที่บ่อนประจำ ทันทีที่ได้ยินข่าว หัวใจของเขาก็เต้นแรงยิ่งกว่ากลองศึก
ดีใจจนแทบไม่อาจข่มใจให้อยู่กับเรือนได้ เขารีบรุดออกจากเมืองหลวง มุ่งหน้าสู่ท่าเรือทางตอนใต้ที่เรือนำคนจากหนานจิงจะเทียบท่า เพราะเขารู้เพียงคร่าว ๆ ว่า นางจะต้องเดินทางมาทางนี้
นับแต่วันแรกที่มาถึง เขาก็ปักหลักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ริมทางใกล้ท่าเรือ กินนอนเรียบง่าย ไม่สนใจความสะดวกใด ๆ ตลอดเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาออกมาที่ท่าเรือทุกเช้า เฝ้ามองเรือทุกลำที่ล่องมาจากทิศใต้ หวังว่าจะได้เห็นเงาร่างอันคุ้นตาของหญิงสาวผู้เป็ดั่งแสงจันทร์ในใจ
แม้จะรู้ดีว่านางไม่น่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้...
แม้จะรู้ว่าการรอเช่นนี้ช่างเลื่อนลอย
แต่เพราะเขา “ไม่อยากคลาดกับนางแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว” เขาจึงเลือกอยู่ตรงนี้ ใต้แสงแดด และสายลมทะเลจาง ๆ เฝ้าเรือทุกลำอย่างคนเพ้อฝัน
เฝ้าหวังว่าสักวันหนึ่ง... จะเห็นหลินซีอวี่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือนั้น
เฝ้าหวังว่าเมื่อเรือเทียบท่า เขาจะได้เป็คนแรกที่เอ่ยทัก และนางก็จะได้เห็นถึงความจริงใจของว่าที่สามีคนนี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้