บทที่ 3
เช้าวันต่อมาในวันธรรมดาของสัปดาห์ ความวุ่นวายบนท้องถนนก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับสภาพเศรษฐกิจของสังคมที่เริ่มเติบโตตามนโยบายของผู้นำประเทศที่เริ่มเปิดให้ต่างชาติมาลงทุน อีกทั้งยังเริ่มการปฏิรูปประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติ ตามคำกล่าวของสหายผู้นำที่ว่า ‘ความมั่งคั่งเป็เกียรติภูมิ ’ (1) ที่กล่าวหลังจากความขัดแย้งทางการเมืองได้จบลงเมื่อ 12 ปีก่อน และคำพูดนี้ก็ได้เป็แกนหลักของพรรคนับแต่นั้นเป็ต้นมา
บนท้องถนนของเมืองเป่ยจิงที่เคยเงียบเหงาและไร้ซึ่งความวุ่นวาย ในตอนนี้ต่างก็เต็มไปรถยนต์ส่วนตัวของเศรษฐีหน้าใหม่และคนมีระดับ แตกต่างภาพจากเมื่อทศวรรษที่ 70 ที่บนท้องถนนแห่งนี้เปล่าเปลี่ยวเสียเหลือทน แสดงให้เห็นว่าประเทศที่เคยล้มเหลวได้เริ่มกลับมายืนได้อีกครั้ง
“แสดงว่าภูมิหลังของนิยายเื่นี้ไม่เหมือนกับสิ่งที่ฉันรู้สินะ หลาย ๆ อย่างถูกปรับเปลี่ยนไปจนแทบจะเรียกได้ว่ามันคือเส้นขนานกับประเทศเดิมไปแล้ว ”
บนโต๊ะทำงานของแผนกวรรณกรรมที่อยู่ในตึกแถวย่านเฟิงถัย สถานที่ตั้งของสำนักข่าวเป่ยจิง สำนักข่าวเล็ก ๆ ที่ทำกิจการเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อข่าวประจำเมืองเป่ยจิง เสียงของหลินห่าวซวนที่สรุปข้อมูลทั้งหมดพร้อมกล่าวกับตัวเองเบา ๆ ก่อนที่จะมองดูหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วถอนหายใจออกมา
หลังจากที่เมื่อวานที่ได้ดูข่าวใหญ่ไป หลินห่าวซวนก็รู้สึกได้มาตลอดว่าเนื้อหาของข่าวนั้นมันผิดเพี้ยนและแปลกไปจากความทรงจำ แต่ด้วยหัวของเ้าของร่างคนเก่าที่ไม่ใส่ใจกับเื่ที่เกิดข้นรอบตัวมากนัก ทำให้หลินห่าวซวนก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คิดมันถูกต้องหรือไม่
แน่นอนว่าเื่นี้เองก็ทำให้หลินห่าวซวนอดไม่ได้ที่คิดคิดถึงเทคโนโลยีในชีวิตก่อนที่ตัวเองจากมาเป็อย่างมาก
หากให้หลินห่าวซวนตอนนี้ไปถามเื่พวกนี้กับคนในครอบครัว ตัวเขาก็กลัวว่าความลับที่เขาตั้งใจจะฝังเอาไว้มันจะหลุดออกมาและถูกจับไปโรงพยาบาลจิตเวช ทำให้เขาต้องเก็บความสงสัยเื่นี้เอาไว้ทั้งคืน และมาหาคำตอบจากหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ในที่ทำงานแทน
แม้ว่าสำนักข่าวเป่ยจิงที่ถูกวางไว้ว่าเป็สถานที่ทำงานของตัวประกอบที่ออกมาไม่กี่บทก็ตายอย่างหลินห่าวซวนในนิยายจะเป็สำนักข่าวเล็ก ๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่มันก็เพียงพอที่จะตอบข้อสงสัยของหลินห่าวซวนที่ข้ามมาเข้ามาเกิดใหม่ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
“นอกจากเื่ทางการเมืองและวิทยาศาสตร์ที่มีความคล้ายคลึงกัน ทั้งในเื่ของประวัติศาสตร์และงานในด้านความบันเทิงต่าง ๆ กลับแตกต่างกันสุดขั้ว คงเป็หลุมที่นักเขียนไม่ได้วางเอาไว้สินะ ”
หลินห่าวซวนกล่าวกับตัวเองอีกครั้งพร้อมเลื่อนสายตามองดูสมุดบันทึกของตนที่จดในสิ่งที่ตัวเองสืบค้นมาได้ถึงความแตกต่างของโลกทั้งสองแล้วเคาะนิ้วช้า ๆ ที่หัวข้องานสื่อบันเทิงที่อยู่บนหน้ากระดาษ
แม้ว่าภูมิหลังของนิยายเื่นี้จะยึดตามยุคสมัยทศวรรษที่ 80 ในชีวิตก่อนของหลินห่าวซวน ทำให้หลาย ๆ อย่างที่ปรากฏอยู่มีความคล้ายคลึงกัน เพียงแต่ว่าประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงและผลงานในด้านความบันเทิงทั้งหลายที่เคยปรากฏใน่ยุคนี้ ในนิยายเื่นี้กลับไม่เคยมีให้เห็นและถูกแทนที่ด้วยคนอื่น ๆ ที่ตัวของหลินห่าวซวนเองก็ไม่รู้จัก
อย่างเช่นข่าวใหญ่ที่พาดหัวในหน้าหนังสือพิมพ์วันนี้ ที่พูดถึงการเสียชีวิตของนักร้องชื่อดังที่ชื่อลี่อิง หากเป็ในโลกเก่าของหลินห่าวซวน ถ้านับคนดังที่เสียชีวิตใน่เวลาเดียวกัน คนคนนี้จะเป็ใครไปไม่ได้นอกจากเติ้งลี่จวิน
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ตัวของหลินห่าวซวนได้ค้นพบระหว่างหาข้อมูล ว่าโลกในชีวิตที่แล้วและโลกที่เขาข้ามมาไม่เหมือนกันจนเรียกได้ว่ามันคือโลกคู่ขนานก็ยังได้
แน่นอนว่าหากให้อิงจากรุ่นพี่ที่ตัวของหลินห่าวซวนเคยอ่านในชาติก่อน นี้นับได้ว่าเป็โอกาสที่จะได้ทะยานขึ้นสู่ฟ้าเหมือนกับปลาหลี่ข้ามประตูั (2) เลยทีเดียว
แม้ว่าในโลกนี้จะไม่มีผลงานชื่อดังในวงการวรรณกรรมและบันเทิง แต่ว่าผู้คนในโลกนี้นั้นกลับให้ความสำคัญกับมันเป็อย่างมาก ตามนโยบายของทางพรรคใน่ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองที่เขียนเอาไว้ว่า ‘งมงายในหนังสือดีกว่าฟุ้งซ่านทางการเมือง ’ ทำให้บริษัทที่ทำงานเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์มักจะเปิดรับนักเขียนทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าที่นำผลงานมาเสนอขายมาตีพิมพ์ให้กับหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารของตัวเอง ถึงขั้นที่ว่าทุกบริษัทจะมีแผนกเฉพาะในการคัดกรองเื่ที่ถูกส่งเข้ามา นับว่าเป็่ที่วงการวรรณกรรมกำลังรุ่งเรืองสุดขีดเลยก็ว่าได้
โดยเฉพาะค่าตอบแทนสำหรับนักเขียนที่ได้รับการคัดเลือกและตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ ขั้นต้นก็ได้ตอนละประมาณ 200 เหรียญแล้ว
ในยุคสมัยที่ค่าเงินยังไม่เฟ้อเหมือนยุคที่หลินห่าวซวนจากมา นี่ก็แทบจะเป็เงินจำนวนมากของคนที่อยู่ตามจังหวัดหรือเป็รายได้เสริมก้อนโตของคนที่มีงานประจำ
นี่ยังไม่รับกรณีที่ผลงานถูกบริษัทในวงการบันเทิงซื้อไปดัดแปลงเป็ภาพยนตร์หรือละครที่ฉายตามโทรทัศน์ แม้กระทั่งสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ ตีพิมพ์เป็เล่มวางขาย เ้าของผลงานพวกนั้นก็กลายเป็เศรษฐีนอนรับเงินได้ในทันที
‘ได้มาอยู่ในโลกคู่ขนานที่แตกต่างกันขนาดนี้ พร้อมกับความทรงจำเกี่ยวกับงานในชาติที่แล้วแบบไม่มีตกหล่น แถมได้มาอยู่ในแผนกวรรณกรรมของสำนักข่าว น่าเสียดายจริง ๆ ’
หลินห่าวซวนส่ายศีรษะเบา ๆ เมื่อนึกถึงความจริงขึ้นมา เพราะคำพูดของหลินตงหยางที่บอกเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำนั้น โอกาสที่วันนี้จะเป็วันสุดท้ายในการทำงานของเขาก็มีสูงเลยทีเดียว
แม้ว่าหลาย ๆ สำนักพิมพ์ในเมืองเป่ยจิงจะเปิดรับนักเขียนหน้าใหม่ในการส่งผลงานให้มาพิจารณา แต่ชื่อของหลินห่าวซวนนั้นแย่เกินไปจนคนไม่อยากยุ่งเกี่ยว รวมกับเื่ที่เกิดขึ้นไปได้ไม่นาน ต่อให้เขานำผลงานขึ้นหิ้งในชาติก่อนออกมา เกรงว่าพวกบรรณาธิการพวกนั้นก็ไม่กล้ารับมันไว้
บัดซบ ! เส้นทางเปลี่ยนชะตาของตัวเองอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ กลับจะโดนคุมั้แ่ยังไม่เริ่มเลยงั้นเหรอ !
“หรือจะไปเริ่มต้นที่เมืองอื่นดีนะ? อย่างบ้านเก่าของตระกูลหลินที่เทียนจิน ได้ยินว่าที่เมืองนั้นก็มีสำนักข่าวท้องถิ่นอยู่ แถมยังอยู่ไม่ไกลจากเป่ยจิงมากด้วย ปู่กับย่าน่าจะโอเคล่ะมั้ง ”
“อยู่นี่เองเหรอ? ฉันคิดว่านายจะเมาไม่สร่างอยู่ที่คลับเสียอีก ”
ขณะที่หลินห่าวซวนกำลังคิดหาทางออกให้กับตัวเองอยู่นั้น เสียงทุ้มต่ำก็ได้ดังขึ้นมาในแผนกวรรณกรรม และเมื่อหลินห่าวซวนเงยหน้าขึ้นมามองก็พบว่าชายวัยกลางคนที่ใบหน้าดูคล้ายกับนักเลงใหญ่ในละครชีวิตก่อนยืนมองดูเขาอยู่ พร้อมกับมือของเขาที่ยื่นซองบุหรี่มาให้แล้วกล่าวต่อว่า
“จะสูบหน่อยไหม ฉันมีเื่ที่จะคุยกับนายก่อนที่จะเริ่มเวลางาน ”
เมื่อเห็นบุหรี่ที่ยื่นมาก็ส่ายศีรษะปฏิเสธมันทันที เพราะตัวเขาในชีวิตก่อนนั้นได้ป่วยเป็โรคร้ายก็เพราะสิ่งพวกนี้ ดังนั้นในชีวิตใหม่นี้ตัวเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีก
โดยเฉพาะตัวเขาที่เปลี่ยนโชคชะตาของตัวประกอบให้มีชีวิตที่ดี เช่นนั้นแล้วชีวิตของสิงห์อมควันของหลินห่าวซวนคนเก่าก็ต้องจบลงเช่นกัน
“ไม่ดีกว่าครับบ.ก.ถาน พอดีว่าผมกำลังเลิกบุหรี่ตามคำพูดที่ให้กับปู่นะครับ บ.ก.อย่าให้ผมเสียความตั้งใจเลย ”
หลินห่าวซวนกล่าวปฏิเสธออกไปตามความตั้งใจของตน ทำให้คนที่ถูกเรียกว่า ‘บ.ก.ถาน ’ มีสีหน้าที่ประหลาดใจราวกับไม่เชื่อหูของตัวเอง พลางใช้สายตาที่อยู่ใต้แว่นที่หนาเตอะมองเด็กหนุ่มตรงหน้าให้ชัดว่า คนตรงหน้าใช่หลินห่าวซวนที่เขารู้จักหรือไม่?
คนที่เรียกได้ว่าเป็สิงห์อมควันที่สูบบุหรี่วันละครึ่งซอง ตอนนี้คิดจะเลิกบุหรี่ตามคำพูดที่ให้กับผู้าุโในบ้าน
เหอะ ! ให้เชื่อว่าข้างนอกตอนนี้มีหมูปีนต้นไม้ได้ยังดีเสียกว่าเชื่อคำพูดของคนแบบนี้
“เอ่อ..แล้วบ.ก.ถานจะมาคุยเื่อะไรกับผมเหรอครับ?”
หลินห่าวซวนที่เห็นสีหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้า ตัวเขาก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีเชื่อในคำพูดของเขาแม้แต่นิดเดียว แต่หลินห่าวซวนก็ี้เีเกินจะพิสูจน์สิ่งที่ตนพูด จึงถามถึงเื่ที่อีกฝ่าย้าจะคุยกับเขาขึ้นมา
เมื่อได้คำถามของหลินห่าวซวน บ.ก.ถานก็คล้ายได้สติขึ้นมา ก่อนที่จะลดมือที่ยื่นไปแล้วเก็บซองบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อแล้วดึงเก้าอี้ออกมานั่งจากนั้นก็กล่าวออกมาว่า
“เหอะ ! ไอ้เด็กแสบ ทีตอนนี้รู้แล้วเหรอว่าฉันเป็บ.ก. ทุกทีเห็นเรียกฉันว่าลุงถานมาตลอด ทำไม !พอก่อเื่แล้วกลัวถูกไล่ออกหรือไง !? แล้วคิดจะให้ฉันช่วยงั้นเหรอ?”
เสียงทุ้มต่ำของชายวัยกลางคนดังขึ้นมาพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดแสดงออกมาให้เห็น ทำเอาหลินห่าวซวนถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริง ๆ
เขาแค่เรียกเพราะนั้นคือสิ่งที่ต้องทำ ไม่ได้้าเรียกเพื่อเอาอกเอาใจใคร อีกอย่างเื่ที่เกิดขึ้นอย่างน้อยมันก็เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเกิดใหม่นะ
แน่นอนว่าคำกล่าวของชายกลางคนที่อยู่ตรงหน้า ใช่ว่าจะผิดไปทั้งหมด เพราะในความทรงจำที่อยู่ในหัวและข้อมูลในนิยาย แม้ว่าถานติงจะเป็หัวหน้าของหลินห่าวซวนและรับเข้ามาทำงานตามคำพูดหลินตงหยาง แต่หมอนี่ก็ไม่เคยเรียกถานติงว่าบ.ก.เลยสักครั้ง แถมยังเรียกว่าลุงถานหรือคนแซ่ถานมาโดยตลอด
“แสดงว่าเบื้องบนคิดว่าจะไล่ผมออก แล้วบ.ก.ถานมาแจ้งแล้วให้ผมเซ็นต์ใบลาออกงั้นเหรอครับ?”
หลินห่าวซวนเมินการประชดประชันของถานติงแล้วกล่าวถึงประเด็นสำคัญอีกครั้ง เพราะอย่างไรเสียเขา้ารู้เส้นทางในอาชีพของตัวเองว่ามีโอกาสที่จะเริ่มใหม่ในเมืองนี้หรือไม่
เมื่อถานติงเห็นท่าทีเอาจริงเอาจังของหลินห่าวซวนและพร้อมที่จะยอมรับเื่ราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ก็คิดว่าเพื่อนรักของเขาคงกำชับและบอกถึงกรณีที่ร้ายแรงที่สุดเพื่อสั่งสอนหลาน ตัวเขาก็ถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า
“ตอนแรกเบื้องบนก็คิดแบบนั้นแหละ เพียงแต่ว่าคำพูดของนายดันบังเอิญทำให้อาจารย์ตงมองเห็นข้อบกพร่องในการเล่นหมากของตัวเอง ทำให้ฝ่ายนั้นไม่คิดที่เอาเื่นาย ตรงนี้ฉันไม่รู้ว่านายมันโชคดีหรือดวงแข็งกันแน่ ทำให้บริษัทไม่ไล่นายออกแล้ว ”
แน่นอนว่าคำพูดนี้ของถานติง ทำให้หลินห่าวซวนที่คิดว่าตัวเองต้องถูกไล่ออกแน่ ๆ ยังต้องตกตะลึงกับเหตุผลนี้ เพราะเขาไม่คิดว่าคำพูดตอนเมาและไร้สติที่สุดกลับเป็เหตุผลที่ทำให้อาชีพของเขายังไม่จบลง
แม้มันน่าเหลือเชื่อแค่ไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันคือเื่จริง และตัวของถานติงเองก็คงไม่เสียเวลามาปั้นแต่งเื่หลอกให้เขาดีใจหรอกมั้ง?
“แต่นายอย่าดีใจมากนักเลย แม้ว่าอีกฝ่ายไม่เอาเื่ แต่ทางสมาคมหมากล้อมได้แสดงเจตจำนงแล้วว่าในอนาคตห้ามนายเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการนี้อีก พูดง่าย ๆ คือชื่อนายโดนบัญชีดำจากสมาคมหมากล้อมแล้ว แถมนายต้องเขียนรายงานสำนึกผิดและหักเงินเดือนครึ่งหนึ่ง 2 เดือน ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มของหลินห่าวซวน ถานติงก็กล่าวออกมาเพื่อไม่ให้หลินห่าวซวนคิดว่าจะรอดจากการโดนลงโทษ อย่างน้อยทางเบื้องบนเองก็มีจรรยาบรรณและบรรทัดฐานที่จะลงโทษพนักงานที่ทำผิด เพื่อเป็ตัวอย่างให้กับคนอื่น ๆ ดู
ใบหน้าของหลินห่าวซวนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของถานติงที่กล่าวเกี่ยวกับเงินเดือนของเขา แต่สิ่งนั้นก็เป็สิ่งที่ตัวเขายอมรับได้ ทำให้ใบหน้าของหลินห่าวซวนกลับมาเป็ปกติอย่างรวดเร็ว
ส่วนเื่โดนบัญชีดำจากสมาคมหมากล้อม หลินห่าวซวนเองก็ไม่ได้สนใจมากนัก อย่างไรเสียงานในแผนกวรรณกรรมก็ไม่ได้มีแค่เื่ของหมากล้อมที่ต้องทำเสียหน่อย
อีกอย่างแผนการของเขาที่จะทำในวันข้างหน้าก็ยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับวงการหมากล้อมเลยสักนิด ทำให้หลินห่าวซวนไม่คิดที่จะใส่ใจมันมากนัก
“แน่นอนว่าเมื่อนายโดนบัญชีดำจากสมาคมหมากล้อม เบื้องบนจึงคิดย้ายนายไปอยู่ฝ่ายอื่น ซึ่งทางเหล่าสงได้เสนอชื่อนายไปอยู่ในฝ่ายวรรณกรรม ”
เมื่อได้การตัดสินใจของเบื้องบนจากปากของถานติง หลินห่าวซวนก็แทบจะเก็บความลิงโลดเอาไว้ไม่อยู่ เพราะนี้ไม่ใช่ว่าทุกอย่างมันได้เข้าทางเขาหมดเลยไม่ใช่เหรอ?
ไม่ตกงานแถมยังได้เข้าไปในฝ่ายที่้าทำ มันจะมีอะไรที่โชคดีกว่านี้อีกไหม?
ในความทรงจำของหลินห่าวซวนคนเก่า ฝ่ายวรรณกรรมในแผนกนี้ไม่ใช่ทำหน้าที่คัดกรองผลงานของคนอื่นที่ส่งเข้ามาเหมือนสำนักพิมพ์ใหญ่ แต่สำนักพิมพ์เป่ยจิง เป็เพียงสำนักพิมพ์เล็ก ๆ ที่มีตลาดแค่ในเมืองเป่ยแห่งนี้ ดังนั้นพวกเขาไม่มีงบมากพอที่จะลงทุนจ้างบรรณาธิการมาคัดกรอง ดังนั้นพวกเขาต้องเขียนนิยายขึ้นมาจริง ๆ เพื่อตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ทุกสัปดาห์
เดิมทีหลินห่าวซวนคิดว่าตัวเขาต้องส่งผลงานไปที่อื่นเพื่อตีพิมพ์ แต่ตอนนี้เขากลับได้โอกาสตีพิมพ์ผลงานที่อยู่ในหัวมาง่าย ๆ ถ้าไม่เรียกว่าโชคดีแล้วจะให้เรียกว่าอะไรได้อีก
เพียงแต่ว่าใบหน้าของถานติงตอนนี้นั้นไม่เหมือนกับคนที่สบายใจมากนัก แต่คล้ายกับว่ามีอะไรในใจที่อยากจะกล่าวเสียมากกว่า
“บ.ก.ถาน ยังมีอะไรที่จะบอกผมอีกไหมครับ ”
หลินห่าวซวนถามออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของถานติง ซึ่งฝ่ายหลังเองก็มองหน้าของเขาด้วยสายตาที่หนักใจแล้วพูดออกมาว่า
“ห่าวซวนเอ๋ย !นี่เป็โอกาสสุดท้ายของนายแล้ว หากนายทำงานในแผนกนี้ไม่ได้ เห็นทีว่าแล้วนายต้องโดนไล่ออกจริง ๆ แล้ว ”
................................................................................................................................................................
เชิงอรรถ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้