“องค์หญิงเรียกเย่เฟิงออกไป ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะไม่ธรรมดา ตอนนี้พวกเขาออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าทำอะไรกัน?”
“คงไม่ใช่ว่าองค์หญิงหลงชอบเย่เฟิงคนนั้นหรอกนะ? องค์หญิงคือผู้สูงศักดิ์ แต่การเรียกผู้ชายออกไปเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ชายหญิงทั่วไปควรพึงมี”
“ข้าไม่รู้ว่าเ้าเย่เฟิงนั่นมีอะไรดีถึงทำให้องค์หญิงสนใจได้ ถ้าข้าได้รับความสนใจจากองค์หญิงแม้จะนิดเดียว ก็ตายตาหลับแล้ว!”
หลังจากจ้าวซินอี๋และเย่เฟิงออกจากโถงใหญ่ ผู้คนต่างก็พากันกระซิบกระซาบ พวกเขาสนใจในความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวซินอี๋กับเย่เฟิง กระทั่งมีหลายคนคิดว่าจ้าวซินอี๋ชอบพอเย่เฟิง หรือทั้งสองก็เป็คู่รักกัน แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้ดังเข้าไปในหูของมู่เยี่ยน มู่เยี่ยนก็เผยหน้าเขียวและเริ่มนั่งไม่ติด เขาไม่เข้าใจว่าเ้าเย่เฟิงนั่นมีอะไรดี แล้วมีอะไรเทียบเคียงกับเขาได้ แล้วเหตุใดจ้าวซินอี๋ถึงไม่เหลียวแลเขาแม้แต่นิด แต่กลับไปคุยกับเย่เฟิง
เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าผู้คนดังขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดมู่เยี่ยนก็ทนไม่ได้ จึงลุกขึ้นยืนคิดจะออกไปดูว่าจ้าวซินอี๋กับเย่เฟิงจะทำอะไร แต่เขาเดินไปได้หนึ่งก้าว ก็มีเสียงหนึ่งที่น่าเกรงขามหยุดเขาไว้
“มู่เยี่ยน เ้าจะทำอะไร? นั่งลงเดี๋ยวนี้!”
ผู้พูดคือผู้เฒ่ามู่ ผู้เฒ่ามู่นั้นรู้ความคิดของหลานชายคนนี้ เขายังทำงานหนักเพื่อที่จะได้ปรองดองกับราชวงศ์จ้าว ดังนั้นเขาหวังว่ามู่เยี่ยนจะแต่งกับจ้าวซินอี๋ วันนี้เขาจึงให้มู่เยี่ยนดูแลองค์หญิง ให้พวกเขาทั้งสองได้สานสัมพันธ์กัน แต่หลังจากเย่เฟิงปรากฏตัว แผนที่เขาวางไว้ก็ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปทั้งหมด
องค์หญิงมีฐานะสูงส่ง ผู้เฒ่ามู่รู้เื่นี้ดีกว่าใคร หากมู่เยี่ยนผลีผลามออกไป แล้วไปยั่วโมโหองค์หญิง นั่นเท่ากับยั่วโมโหราชวงศ์จ้าว เช่นนั้นเขาย่อมต้องห้ามปรามเพื่อไม่ให้หายนะมาสู่ตระกูลมู่ ดังนั้นการที่องค์หญิงเป็ฝ่ายเข้าหาเย่เฟิง แม้เขาจะไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรวู่วามได้ อย่างน้อยผู้เฒ่ามู่ก็ควรจะเป็คนที่สุขุมเยือกเย็นที่สุด เขาจึงหยุดมู่เยี่ยนไว้
“ท่านปู่ เ้าสวะนั่น...” มู่เยี่ยนอยากพูดอะไรบางอย่าง เพราะเขาไม่เข้าใจที่ผู้เฒ่ามู่หยุดเขา
“เงียบปากเสีย!” ด้วยความเกรงขามของผู้เฒ่ามู่ มู่เยี่ยนจำต้องนั่งลงที่เดิมแต่โดยดี แต่สีหน้ากลับดูไม่ได้
สถานที่ที่เงียบเชียบแห่งหนึ่งนอกโถงใหญ่ จ้าวซินอี๋ยืนประจันหน้ากับเย่เฟิง นี่ทำให้เย่เฟิงต้องประหลาดใจกับความสวยของจ้าวซินอี๋เมื่อมองดูนางในระยะใกล้เช่นนี้ จนััได้ถึงกลิ่นอายสูงศักดิ์ของหญิงผู้นี้
“องค์หญิงเรียกข้าออกมามีอะไรหรือ?” หลังออกจากภวังค์ เย่เฟิงก็เอ่ยถามนาง
“เ้าจำข้าไม่ได้หรือ?” จ้าวซินอี๋ระบายยิ้ม จากนั้นนางวาดฝ่ามือไปทางเย่เฟิง แววตาของเย่เฟิงวาบประกายแสง ก่อนจะยกมือขวางฝ่ามือของจ้าวซินอี๋ พร้อมกับเผยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ท่านก็คือคนคนนั้นในค่ายกลมายา...”
“อืม” จ้าวซินอี๋พยักหน้าพร้อมยิ้มแย้ม
“ข้าอยากรู้ว่าองค์หญิงจำข้าได้อย่างไร?” หลังจากใอยู่ชั่วขณะ เย่เฟิงก็เอ่ยถามจ้าวซินอี๋ ตอนเข้าค่ายกลมายา เขาจำได้ว่าการปลอมตัวของตนไม่มีทางที่คนอื่นจะดูออก แต่จ้าวซินอี๋ก็ยังคงดูออก นี่ทำให้เย่เฟิงประหลาดใจมาก
“การกระทำ ท่วงท่า และกลิ่นอายของเ้า” จ้าวซินอี๋กล่าวพลางยิ้ม
“อย่างนี้นี่เอง!” เย่เฟิงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เห็นทีในค่ายกลมายา องค์หญิงจะสนใจข้าเป็พิเศษ”
“ในค่ายกลมายา เ้าคือคู่ต่อสู้ของข้า ข้าก็ย่อมสนใจเ้าสิ” จ้าวซินอี๋ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทีร้อนรน แต่ฟังแล้วก็ดูเหมือนเป็การแก้ตัว
“ตั๋วมิ่ง ข้ารู้ว่าพลังของเ้าไม่เลว แต่อี้ชิงไม่ใช่ข้า เขาอันตรายกว่า ถ้าพลังของเ้ายกระดับไปอีกขั้น ข้าเชื่อว่าเ้าเอาชนะเขาได้แน่ แต่ตอนนี้เ้าจงคิดทบทวนให้ดี ๆ เสียก่อน”
หลังจากพูดเื่ไร้สาระจบ จ้าวซินอี๋ก็เข้าสู่ประเด็นหลักทันที สีหน้าของจ้าวซินอี๋เปลี่ยนไปดูจริงจังและให้คำชี้แนะเย่เฟิง เพราะนางไม่อยากให้เย่เฟิงเป็อะไรไป
“องค์หญิงเป็ห่วงข้าอย่างนั้นหรือ?” เย่เฟิงกล่าว โดยไม่คิดว่าจ้าวซินอี๋จะเรียกเขามาเพราะเื่นี้
“อืม” จ้าวซินอี๋ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าเ้าตาย ข้าก็ไม่มีคู่ต่อสู้น่ะสิ”
“ถ้าเป็เพราะเื่นี้ องค์หญิงไม่ต้องเป็ห่วง อี้ชิงคือคนที่ข้าต้องกำจัดในไม่ช้าก็เร็ว ไยไม่ใช้โอกาสนี้สะสางเล่า?” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้ม จากนั้นพูดต่อไปว่า “หากองค์หญิงไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวกลับไปฆ่าคนก่อนนะขอรับ!”
เมื่อกล่าวจบ เย่เฟิงก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในโถงใหญ่
“กลับไปฆ่าคน... เ้าหมอนี่...” จ้าวซินอี๋ขมวดคิ้วคล้ายไม่นึกว่าเย่เฟิงจะบ้าระห่ำได้ขนาดนี้ แต่อี้ชิงใช่คนที่เขาจะฆ่าได้ง่าย ๆ หรือ? อีกอย่างนางคือองค์หญิง มีฐานะสูงส่ง แม้ชายผู้นี้จะเผชิญหน้ากับนาง แต่กลับไร้ความผันผวนใด ๆ นี่ทำให้จ้าวซินอี๋รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
องค์หญิงและเย่เฟิงออกไปได้สักพักแล้ว เหล่าผู้คนในโถงใหญ่ต่างก็รอคอย ระหว่างนั้นพวกเขาคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา มีหลายคนอิจฉาเย่เฟิง ส่วนมู่เยี่ยนก็มีหน้าไม่สู้ดี จนแย่ลงเรื่อย ๆ กระทั่งในที่สุดประตูห้องโถงก็เปิดออกอีกครั้ง ก่อนเย่เฟิงกับจ้าวซินอี๋จะปรากฏตัวในสายตาของผู้คน
“กลับมาแล้ว! ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น องค์หญิงพาเย่เฟิงไปที่ไหน แล้วทั้งสองทำอะไรกัน?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว จ้าวซินอี๋กับเย่เฟิงออกไปนานมาก ทำให้หลาย ๆ คนอดคิดกันไปต่าง ๆ นานาไม่ได้
“เ้าระวังตัวด้วย!” จ้าวซินอี๋กำชับเย่เฟิง
“ข้าจะพยายาม!” เย่เฟิงตอบกลับ จากนั้นเดินกลับไปยังเขตประลองอีกครั้ง
ในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ พวกเขาไม่เคยเห็นองค์หญิงพูดจาไพเราะเช่นนี้มาก่อน ส่งผลให้มู่เยี่ยนหน้าซีด มือกำหมัดแน่น และความเกลียดที่เขามีต่อเย่เฟิงก็พุ่งทะยานสูงกว่าเดิม
“เมื่อครู่ที่เ้าพูดยังนับอยู่หรือไม่ หากนึกเสียใจก็คุกเข่าขอโทษ แล้วทำลายวรยุทธ์เสีย ข้าจะพิจารณาอภัยให้เ้า”
เมื่อกลับถึงเขตการประลอง อี้ชิงก็กล่าวเช่นนั้นกับเย่เฟิงด้วยท่าที่ดูถูกเหยียดหยาม
“เ้าฝันไปเถอะ!” สีหน้าของเย่เฟิงเปลี่ยนไปเป็ดุดัน จากนั้นหอกัเงินประกายปรากฏในมือ ก่อนจะมีรังสีหอกพุ่งไปหาอี้ชิงด้วยความเร็วปานฟ้าแลบ
“วูบ!” รังสีหอกมาถึงในพริบตา ทำอี้ชิงชะงักไปชั่วขณะเหมือนนึกไม่ถึงว่าเย่เฟิงจะลงมือได้เด็ดขาดเช่นนี้ รังสีหอกได้กรีดผ่านหน้าอกในตอนที่เขาหลบจนเสื้อบริเวณหน้าฉีกขาดและมีรอยเืปรากฏขึ้นมา
“หอกัเงินประกาย!” ผู้คนจำนวนไม่น้อยเห็นหอกนี้ก็จำได้ทันที ผู้เฒ่ามู่ก็ยิ่งประหลาดใจขณะดูเย่เฟิง
ปีนั้นจอมพลเย่เจินก็ใช้หอกเล่มนี้ต่อสู้บนสนามรบ บัดนี้เย่เฟิงบุตรของเย่เจินสืบทอดต่อจากบิดา ใช้หอกัเงินประกายของตระกูลเย่ได้อย่างช่ำชอง กระทั่งสง่างดงามมากกว่าเย่เจินในปีนั้นหลายส่วนนัก
“สวะ เ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ?” เมื่อกระบวนท่าแรกล้มเหลว สีหน้าของอี้ชิงก็ดูไม่ได้ แสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา จากนั้นดาบสีเงินเล่มหนึ่งปรากฏในมือเขา พร้อมปราณดาบแพร่กระจายไปทั่วอากาศ
“ชิ้ง!” อี้ชิงตวัดดาบ จนเกิดรังสีดาบในแนววิถีโค้งอันสมบูรณ์แบบ ก่อนจะพุ่งไปหาเย่เฟิง
พลังดาราโคจรรอบกายเย่เฟิง จากนั้นใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อระดับสามเดินออกไป พร้อมกับปรากฏแผนที่ดาวขนาดใหญ่แล้วเข้าปกคลุมทั่วทั้งโถงใหญ่ ลวดลายบนแผนที่ยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายที่น่าพิศวง ส่วนเขาผสานเป็หนึ่งกับแผนที่ดาวนี้ ตอนเดินก็มีเส้นทางพิเศษ แม้ดูเหมือนเชื่องช้า แต่กลับหลบหลีกรังสีดาบของอี้ชิงได้อย่างง่ายดาย
“ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งใ ทุกคนต่างทราบดีว่าย่างก้าวดาวตกผีเสื้อเป็เคล็ดวิชาของตระกูลหวังที่ไม่ถ่ายทอดให้คนนอก แม้แต่ลูกหลานบางส่วนของตระกูลหวังก็ยังไม่มีสิทธิ์ฝึกมัน แต่บัดนี้เย่เฟิงลูกหลานตระกูลเย่กลับใช้เคล็ดวิชานี้ ทั้งยังดูเหมือนฝึกได้ระดับหนึ่งแล้ว หรือว่าเย่เฟิงผู้นี้จะมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหวัง?
ในที่แห่งนี้มีคนของตระกูลหวังอยู่บ้าง ซึ่งพวกเขาเผยสีหน้าไม่ค่อยดี เมื่อหลายเดือนก่อนเคล็ดวิชาย่างก้าวดาวตกผีเสื้อของตระกูลหวังถูกขโมยไป ต่อมาหวังหลงถูกฆ่าตาย จากนั้นพวกเขาได้ยินว่าที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนมีศิษย์คนหนึ่งฝึกเคล็ดวิชานี้
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะชี้ไปที่เย่เฟิง เพียงแต่ตระกูลหวังยังไม่มีความกล้าพอที่จะบุกสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเพื่อตรวจสอบเื่นี้ ถึงอย่างไรตระกูลหวังก็เป็เพียงตระกูลระดับล่าง
คนของตระกูลมู่ต่างต้องตกตะลึงกับการที่เย่เฟิงใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ แม้แต่ผู้เฒ่ามู่ก็ลอบยิ้ม เขายังหวังว่าเย่เฟิงจะคว้าชัยชนะมาครองได้ แต่มู่เยี่ยนกลับเผยสีหน้าดูแคลน ในสายตาเขา เย่เฟิงก็เป็แค่คนไร้ค่า
“หอกดุจั!” หลังจากหลบรังสีดาบของอี้ชิง เย่เฟิงก็แทงหอกออกไปอีกครั้ง ส่วนอี้ชิงตวัดดาบก่อนจะเข้าปะทะกับรังสีหอกของเย่เฟิง
“ปัง!” เสียงปะทะดังกึกก้อง เย่เฟิงไม่สั่นคลอนแม้แต่นิด จากนั้นเขาเดินต่อพร้อมแทงหอกออกไป แต่แขนของอี้ชิงกลับรู้สึกชาจากแรงะเืเมื่อครู่นี้ ดาบจึงหลุดมือไป
“ตาย!” เย่เฟิงแผดเสียงะโ เขาแทงหอกอย่างต่อเนื่องโดยสำแดงเคล็ดวิชาหอกเงินประกายถึงขีดสุด ทั้งยังผสานด้วยอำนาจหอกขั้นผันแปร ทำให้มันรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า
อี้ชิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เพราะเย่เฟิงไม่เปิดโอกาสให้เขาแม้แต่นิดเดียว
“ทักษะหอกแม่นยำ อำนาจหอกขั้นผันแปร แล้วผสานกับท่าร่างที่น่าทึ่ง เย่เฟิงผู้นี้วิปริตไปแล้ว ถ้าให้เขาสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกัน เกรงว่าแค่หอกเดียวก็ฆ่าอีกฝ่ายได้ในพริบตาแล้ว”
“ใช่ เด็กคนนี้ไม่เพียงแต่มีเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจ แต่ความรู้ที่มีต่ออำนาจยังถึงระดับที่น่าทึ่ง อำนาจขั้นผันแปร แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้หลาย ๆ คนก็ยังทำไม่ได้”
“ถ้าข้าดูไม่ผิด ถึงอี้ชิงจะมีขั้นพลังสูงกว่า แต่อำนาจดาบอยู่แค่ระดับพื้นฐาน เช่นนี้พลังโจมตีของเขาก็ย่อมสู้เย่เฟิงไม่ได้”
ผู้ฝึกยุทธ์ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา กระทั่งมีหลายคนตกตะลึงกับพลังของเย่เฟิงที่แสดงออกมา
“หอกมรณะ!” หลังจากอี้ชิงกระเด็นถอยหลัง เย่เฟิงก็แทงหอกออกไป ซึ่งเป็ทักษะหอกปลิดชีวีกระบวนท่าที่หนึ่ง
ทักษะหอกปลิดชีวีนั้นมีทั้งหมดสามกระบวนท่า พลังเพิ่มขึ้นทีละระดับ แม้จะเรียบง่าย แต่กลับทรงอานุภาพ ในขณะที่อี้ชิงหลบหอกของเย่เฟิง จึงถูกหอกเฉือนผ่านไหล่ขวา จนเืสาดกระเซ็น
“นี่คือทักษะหอกอะไรกัน ทำไมถึงรุนแรงได้ขนาดนี้? แม้แต่อี้ชิงก็ยังได้รับาเ็!” ผู้คนต่างต้องตกตะลึงอีกครั้ง คนของสำนักศึกษาเสินเจียงเผยหน้าเขียว พวกเขาเห็นอี้ชิงตกเป็เบี้ยล่างอย่างเห็นได้ชัด แต่ดูเหมือนจะไม่จบเพียงเท่านี้ หลังจากหอกมรณะก็ตามมาด้วยฝ่ามือภูผาพิฆาต ฝ่ามือนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังหอกมหาศาล ทำให้พลังเพิ่มขึ้นหลายส่วนเช่นกัน
“เยี่ยม!” มู่เทียนฉีเห็นพลังฝ่ามือภูผาพิฆาตของเย่เฟิงก็ลุกขึ้นยืนปรบมือเป็คนแรก เขามอบเคล็ดวิชานี้ให้เย่เฟิงตอนเพิ่งเข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียน นึกไม่ถึงว่าภายในเวลาไม่กี่เดือนเย่เฟิงจะฝึกเคล็ดวิชานี้มาถึงระดับนี้ อีกอย่างมู่เทียนฉียังััได้ว่าเคล็ดวิชานี้ถูกเย่เฟิงปรับเปลี่ยน ในนั้นผสานด้วยพลังหอก ทำให้ทรงอานุภาพมากกว่าเก่าหลายเท่า
อี้ชิงเผยหน้าเขียว เมื่อเผชิญหน้ากับพลังฝ่ามือภูผาพิฆาตมากมายของเย่เฟิง เขาทำได้เพียงถอยหลัง ทั้งยังมีเหงื่อแตกพลั่ก
“ปัง!” แต่ถึงอย่างนั้นก็มีฝ่ามือหนึ่งทลายการป้องกันแล้วโจมตีเขา ทำให้เขาร้องโอดครวญและมีเืไหลออกมุมปาก
“มีพลังแค่นี้ แต่กล้าทำตัวอวดดี ทำสำนักศึกษาเสินเจียงขายหน้าเสียเปล่า ๆ!” เย่เฟิงแสยะยิ้ม พลันวาดฝ่ามือั์ออกไปอีกครั้ง ก่อนจะเข้าปกคลุมไปทั่วพื้นที่
“พลังของเ้าก้าวหน้า หรือตอนสู้กับข้าเ้าไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด?” จ้าวซินอี๋พึมพำ
“อย่าเพิ่งได้ใจไป!” อี้ชิงเผยสีหน้าอึมครึม หลังจากปะทะกับเย่เฟิง เขาก็กระเด็นถอยหลัง แต่จากนั้นเขาผสานมือ ก่อนจะมีแสงโลหิตเข้าปกคลุมร่าง พร้อมกับมีอักขระโบราณโคจรทั่วร่างกาย
ดวงตาของเขาทอประกายแสงสีแดงและเปลี่ยนไปชั่วร้ายขึ้น พลังหยวนพวยพุ่ง นาทีนี้ผู้คนพบว่าพลังปราณของอี้ชิงที่อาบอยู่ท่ามกลางแสงโลหิตได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทลายกำแพงขั้นรวมชี่ที่ 8 ในเวลาอันสั้นและเข้าสู่ขั้นรวมชี่ที่ 9
“นี่มัน...” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างต้องตกตะลึง
“แผดเผาแก่นโลหิต อี้ชิงกำลังแผดเผาแก่นโลหิต ทำให้ตัวเองทะลวงขั้นพลังในเวลาสั้น ๆ อี้ชิงในขั้นรวมชี่ที่ 9 ต้องน่าสะพรึงกลัวมากแน่ ๆ เกรงว่าครั้งนี้เย่เฟิงคงจบเห่แล้ว!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งจำวิชาลับแผดเผาแก่นโลหิตที่อี้ชิงใช้ได้ เขาจึงใเป็อย่างมาก
“เ้าบีบให้ข้าต้องทำแบบนี้ ไม่ว่าจะจ่ายด้วยอะไร ยังไงวันนี้ข้าอี้ชิงจะต้องฆ่าเ้าให้จงได้!” อี้ชิงกล่าว พร้อมกับแสงสีแดงปะทุออกจากดวงตา พลังปราณปะทุออกจากร่างราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคน
เย่เฟิงเผยสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อยขณะมองอี้ชิงที่ทำให้พลังของตนเปลี่ยนไป เขามองออกว่าการแผดเผาแก่นโลหิตของอี้ชิง ไม่เพียงแต่ยกระดับพลัง แต่ความสามารถทุกด้านก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ทำให้พลังเพิ่มสูงขึ้นในเวลาสั้น ๆ
แม้จะได้รับพลังต่อสู้อันแกร่งกล้าในเวลาสั้น ๆ แต่าแตามร่างถือว่าสาหัสมาก อี้ชิงจึงมิอาจสำแดงพลังได้ตามปกติ
เพื่อที่จะฆ่าเย่เฟิง นึกไม่ถึงว่าอี้ชิงจะแผดเผาแก่นโลหิตอย่างไม่ลังเล เห็นชัดว่าอี้ชิงมีใจมุ่งมั่นที่จะฆ่าเย่เฟิงมากเพียงใด
สีหน้าของจ้าวซินอี๋เปลี่ยนไปไม่สู้ดี นางได้ยินมาว่า อี้ชิงได้วิชาลับแผดเผาแก่นโลหิตมาจากการผจญภัยครั้งนั้น ทำให้เขาได้รับพลังต่อสู้ที่เหนือธรรมชาติ
อี้ชิงทะลวงขั้นรวมชี่ที่ 9 และความสามารถทุกด้านถูกยกระดับ เย่เฟิงจะจัดการได้หรือ?
จ้าวซินอี๋เป็กังวลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แม้นางกับเย่เฟิงจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เงาร่างหล่อเ่าั้กลับตราตรึงในใจนางเหลือเกิน
“ตายซะเถอะ!” อี้ชิงแผดเสียงะโ ก่อนจะกระโจนใส่เย่เฟิง
