ฝีขึ้น!
คำพูดนี้ราวกับสายฟ้าฟาดจนองค์หญิงตะลึงค้าง เยี่ยนเหิงก็รีบร้อนเข้ามา สีหน้าซีดเผือดยิ่งกว่า
ฝีขึ้นเป็เพียงการเรียกให้ดูดีเท่านั้น แท้จริงมันคือไข้ทรพิษ!
ไข้ทรพิษคือโรคติดต่อร้ายแรงที่สุดที่รู้จักกันดีชนิดหนึ่งในตอนนี้ กอปรกับไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผล หากเป็ไข้ทรพิษแล้ว เกรงว่าต้องปล่อยตามบุญตามกรรมสถานเดียว
บนหน้าประวัติศาสตร์ราชวงศ์ต้าซีนั้น ไข้ทรพิษเคยระบาดรุนแรงหนหนึ่ง กระทั่งเหล่าองค์ชายในวังยังโชคไม่ดีจึงติดเชื้อ รักษาไม่หายจนสิ้นพระชนม์ไปในท้ายที่สุด ดังนั้นโรคนี้จึงน่ากลัวอย่างยิ่ง และไม่มีใครอยากจะนึกถึงมัน
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา องค์หญิงไม่เคยหลั่งน้ำตา ทว่ายามนี้เมื่อมองบุตรีของตนนอนขดตัวกลมสั่นไม่หยุดภายใต้ผ้าห่มไหม กระบอกตาพระองค์พลันแดงก่ำขึ้นมา
แม้กระบอกตาจะแดงเรื่อ แต่ั์เนตรกลับสว่างวาบ
องค์หญิงไม่ได้ช่ำชองวิชาแพทย์ ทว่าพระองค์คือหนึ่งในคนใจเย็นที่สุดในโลก แม้นในใจจะร้อนรนดั่งไฟ แต่ก็ทราบว่ารั้งอยู่ก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งการอยู่ที่นี่กลับจะสร้างปัญหาให้หมอหลวงสวีเสียแทน พระองค์จึงหันหลังเดินออกไปข้างนอก และถือโอกาสทุบเยี่ยนเหิงที่เป็ตายอย่างไรก็ไม่ยอมไปจนสลบ แล้วพาออกไปด้วยกัน
สาวใช้เรือนหิมะมรกตโดนท่านหมอหลวงสวีกักตัวทันที อย่างไรเสียสวนมวลบุปผาหอมก็กว้างขวาง หากจับแยกเดี่ยวทีละคนๆ ก็ไม่ยากเย็น เพียงแต่เกิดเื่ใหญ่โตขนาดนี้ขึ้น ่สองเดือนนี้พวกสาวใช้คงไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น
การแพร่เชื้อของไข้ทรพิษไม่ใช่เื่ล้อเล่น หากวันนี้มีสาวใช้ติดโรคไข้ทรพิษเล็ดลอดออกมาจากเรือนหิมะมรกต เกรงว่าวันพรุ่งนี้เมืองเซียงเฉิงคงมีคนเป็ไข้ทรพิษเพิ่มนับสิบคน นานวันเข้าจะสร้างหายนะต่อทั้งเมืองหลวง!
ทันทีที่องค์หญิงจากไป ปูนขาวและข้าวของอื่นๆ ที่ท่านหมอหลวงสวีสั่งให้นำมาก่อนหน้าก็ถูกยกเข้ามาใช้ปัดกวาดทำความสะอาดพื้น ก่อนรมควันอ้ายเย่[1] กองใหญ่ จนควันหนาตลบอบอวลทั่วเรือนหิมะมรกตเพียงพริบตา
ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดที่เยี่ยนเจาเจาใช้วันนี้ยังโดนรวบรวมออกมา จุดไฟเผากลางเรือนจนเกลี้ยงในคราวเดียวเพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่กระจายออกไป
เรือนหิมะมรกตมีสาวใช้ที่เคยมีฝีขึ้นเพียงคนเดียว นั่นคือหงซิ่วที่คอยปรนนิบัติตรงประตู กระทั่งเสี่ยวชุ่ยยังโดนหมอหลวงสวีไล่ออกไป และถูกกักตัวพร้อมกับสาวใช้คนอื่นๆ
แม้นหงซิ่วซื่อบื้อ แต่นางทำงานหนักแน่นมั่นคงอย่างยิ่ง หลายเื่ที่หมอหลวงสวีไม่สามารถทำได้ หงซิ่วกลับสามารถรับ่ต่อได้พอดี
เื่ที่เยี่ยนเจาเจาจากสวนมวลบุปผาหอมฝีขึ้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ทางฝั่งบ้านใหญ่ตึงเครียดแทบจะในทันที โดยเฉพาะซูเอ๋อร์และสาวใช้อีกคนที่ส่งของมาให้เยี่ยนเจาเจาก่อนหน้าล้วนโดนขังไว้ในห้องเก็บฟืน
ตกกลางคืน ซูเอ๋อร์และสาวใช้คนนั้นอาการทรุดลงทีละคนเข้าจริงๆ ทั้งคู่มีฝีขึ้นเหมือนกัน และทนได้ไม่ถึงเที่ยงคืนก็ตายจากไป
เยี่ยนฟางเยว่กับเยี่ยนฟางหวากลัวจนร้องไห้ เยี่ยนฟางหวาซึ่งป่วยมาตลอดกลับหวาดหวั่นยิ่งกว่า
ั้แ่นางโดนเยี่ยนเจาเจาข่มขู่คราวก่อนก็ดูเพี้ยนๆ ไปอยู่แล้ว วันนี้ได้ยินว่าเยี่ยนเจาเจาเป็ไข้ทรพิษ จึงเหมือนนกตื่นเกาทัณฑ์[2] ยิ่งกว่าเดิม มองไปทางไหนก็เห็นแต่เชื้อโรคจนขว้างปาข้าวของในห้องตนเอง
ในบรรดาสาวใช้ที่โดนกักตัว มีเพียงเสี่ยวชุ่ยและไฉ่หลวนที่ป่วย่กลางคืน เสี่ยวชุ่ยมีฝีขึ้นเร็วกว่าไฉ่หลวนและสาวใช้ที่ตายไปสองคนนั้น ทว่าไฉ่หลวนทนพิษไม่ไหวจึงเสียชีวิตไป่ฟ้าสางวันถัดมา ส่วนเสี่ยวชุ่ยยังดวงแข็งอยู่บ้าง ตื่นมาดื่มน้ำตอนเช้าได้
แต่เื่ราวเหล่านี้เกิดขึ้นภายหลัง องค์หญิงซึ่งออกจากเรือนหิมะมรกตเวลานั้นรู้สึกเพียงความน่าสงสัย…ไข้ทรพิษไม่มีทางเกิดขึ้นมาดื้อๆ สวนมวลบุปผาของนางสะอาดสะอ้าน จะติดไข้ทรพิษอย่างไร้สาเหตุได้อย่างไร?
หลังไตร่ตรองเสร็จก็พบว่าคนที่เกี่ยวข้องกับเื่นี้ล้วนติดไข้ทรพิษตายหมดแล้ว เหลือเพียงเสี่ยวชุ่ยคนเดียว
จะให้เสี่ยวชุ่ยป่วยตายไปอย่างนี้ไม่ได้แล้ว องค์หญิงรีบกำชับหมอหลวงสวีให้ดูแลเสี่ยวชุ่ยดีๆ อย่าปล่อยนางตายเด็ดขาด
การกระทำขององค์หญิงเป็การยืนยันทางอ้อมว่าเชื้อโรคมาจากเยี่ยนเจาเจา เสี่ยวชุ่ยคือสาวใช้ข้างกาย จึงย่อมป่วยด้วยเป็ธรรมดา
ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเมืองเซียงเฉิงในชั่วข้ามคืน ซ้ำยังมีพวกขี้ระแวงโหมกระพือข่าวให้เข้าใจผิดอีกว่าจะส่งเยี่ยนเจาเจาไปพักฟื้นที่อื่น
พักฟื้นที่อื่น?
ผู้ป่วยไข้ทรพิษเดิมชีวิตก็แขวนบนเส้นด้ายอยู่แล้ว หากเคลื่อนย้ายซี้ซั้ว เกรงว่าอาการจะรุนแรงขึ้น คนพวกนี้ไม่ได้กลัวตัวเองติดไข้ทรพิษหรอก แต่้าชีวิตเยี่ยนเจาเจาต่างหาก!
เื่นี้แตะเกล็ดย้อนขององค์หญิงเข้าแล้ว นางเจอแผนการร้ายสมรู้ร่วมคิดมาจนชินชา จึงมองออกในทันทีว่าหัวใจสำคัญของเื่ไม่ได้อยู่ที่เสี่ยวชุ่ยเท่านั้น เป็ไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับสาวใช้สองคนที่ตายไปนั่นด้วย
สาวใช้ตายแล้ว ก็ “เชิญ” เ้านายพวกนางมาแล้วกัน!
องค์หญิงมีนิสัยเย่อหยิ่งมาั้แ่เยาว์วัย หากนางโกรธในขณะที่อยู่ในสนามรบ ซากศพต้องกระจายเกลื่อนกลาดแน่
หากมิเห็นแก่หน้าเยี่ยนเหิงที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกผีห่าจวนเยี่ยน นางคงล้างบางกลุ่มคนชั่วช้าเหล่านี้ไปนานแล้ว
แต่คราวนี้ลงมือกับเยี่ยนเจาเจาซ้ำแล้วซ้ำเล่า องค์หญิงไม่อยากไว้หน้าจวนเยี่ยนแม้แต่นิดเดียว จึงสั่งอาเหวินกับอาอู่ไปบุกรุกบ้านใหญ่ “เชิญ” เยี่ยนฟางเยว่และเยี่ยนฟางชิงที่ไม่ได้นอนตลอดคืนมาที่นี่
เยี่ยนเหว่ยถือว่าเป็ท่านโหวน้อยแล้ว เมื่อก่อนองค์หญิงพบหน้าเขายังพอไว้หน้าอยู่สองส่วน เลยไม่คาดคิดว่าองค์หญิงจะบุกรุกบ้านใหญ่เข้ามาจับกุมคนแต่เช้าตรู่ พอได้ยินจึงรีบวิ่งออกจากเรือนอี๋เหนียงเล็กที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่เพื่อมาห้ามองค์หญิง ทั้งที่กระดุมอาภรณ์ยังไม่ทันติดดีด้วยซ้ำ
สีพระพักตร์องค์หญิงเ็าอย่างยิ่ง เมื่อเห็นเยี่ยนเหว่ยจึงฝืนเก็บความเยียบเย็นบนพระพักตร์ลง ทว่าวาจากลับไม่ไพเราะเช่นนั้น “เ้าหลีกทางจะดีที่สุดนะ”
องค์หญิงไฉนเลยจะเคยไม่ไว้หน้ากันเยี่ยงนี้ คำพูดขอร้องนานับประการของเยี่ยนเหว่ยจึงจุกอยู่ที่คอ เมื่อเห็นบุตรีสองคนที่ปกติค่อนข้างโปรดปรานโดนมัดอุ้มไปเหมือนไก่ สีหน้าก็ยิ่งแดงสลับเขียว
“องค์หญิง ทำสิ่งใดต้องเอ่ยเหตุผล...” ศักดิ์ศรีความเป็บุรุษของเยี่ยนเหว่ยถูกบดขยี้ไม่เหลือชิ้นดีต่อหน้าองค์หญิง คาดไม่ถึงว่ายังเอ่ยไม่ทันจบ สายพระเนตรขององค์หญิงก็ตวัดมามองราวกับใบมีด
ทั้งที่หัตถ์นางไร้อาวุธ ทว่าดวงเนตรนั้นคล้ายจะฆ่าเขาได้แล้ว
“ไม่มีเหตุผลต้องอธิบาย คำพูดของข้าคือเหตุผล”
ลักษณะขององค์หญิงสมกับที่เคยผ่านสนามรบมา ทั่วสรรพางค์กายของพระองค์อาบไปด้วยรังสีสังหารที่ต้องต่อสู้นองเืถึงจะกลั่นออกมาได้ คุณชายที่เติบโตในสภาพแวดล้อมมั่งคั่งเพียบพร้อมอย่างเยี่ยนเหว่ยไฉนจะทนไหว เพียงประโยคเดียวก็ทำร่างเขาสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัวแล้ว
นอกจากนี้ องค์หญิงยังสูงศักดิ์กว่าเยี่ยนเหว่ยด้วย เมื่อปรายเนตรลงมามองเยี่ยนเหิง จึงราวกับว่ามองทะลุเข้าไปถึงจิติญญา จนเห็นความอ่อนแอและความแพรวพราวอันไร้ประโยชน์ของเขาโดยสิ้นเชิง
“เ้า...นี่...นี่คือท่าทีที่ควรมีต่อพี่ชายหรือ?”
คอของเยี่ยนเหว่ยยืดขึ้น เขา้าใช้ไม้แข็งกับองค์หญิงตรงๆ
องค์หญิงแปลกพระทัยเล็กน้อย และอดแย้มสรวลเยาะหยันจางๆ ไม่ได้
“พี่ชาย...ข้าเหลียงฉงมีพี่ชายเพียงคนเดียว ยามนี้นอนอยู่ในสุสานบรรพกษัตริย์ เ้าเยี่ยนเหว่ยเล่า เป็ใคร?”
สายพระเนตรขององค์หญิงเหยียดหยามจนเยี่ยนเหว่ยใจเย็นวาบถึงขั้นอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
“ท่านโหวน้อยเยี่ยน ข้าบอกเ้าไว้เลย หากบุตรีข้าสิ้นลม ลูกสาวเ้าสองคนนี้ หรือแม้แต่คนที่ยังนอนอยู่จะไม่รอดสักคน
ข้าจะเอาทั้งจวนเยี่ยนฝังรวมไปพร้อมกับเจาเจาของข้า”
หลังองค์หญิงตรัสจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ร่างกายนางห่มหุ้มด้วยลมกรรโชกแรง เย็นเฉียบยิ่งกว่าสายฝนใต้แผ่นฟ้าเสียอีก
เยี่ยนเหว่ยหลีกทางให้โดยไม่รู้ตัว มองบุตรสาวสองคนของตนโดนอุดปากร้องฮือๆๆ ถูกลากออกไป เขาทั้งอับอายและโมโห
นี่มันเื่อะไรกัน!
เยี่ยนเหว่ยอับอายขายขี้หน้า และยังรู้สึกด้วยว่าเหล่าสาวใช้ที่แอบหันกลับมามองจากไกลๆ เหมือนจะหัวเราะเยาะในความไร้สามารถของเขา
เขากำหมัดแน่น จ้องแผ่นหลังขององค์หญิงเขม็งราวกับจะมองให้ดอกไม้งอกออกมาบนหลังนาง
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรออกมาสักอย่าง ต่อให้โกรธจนอกแทบะเิ เขาก็ไม่กล้าไล่ตามไปทวงความยุติธรรมกับองค์หญิง…ความยุติธรรมอะไร ข้างหลังเหลียงฉงคืออำนาจของฮองเฮากับทหาร และชีวิตอีกนับไม่ถ้วน
ยุคสมัยนี้ อำนาจต่างหากคือความยุติธรรม!
เยี่ยนเหว่ยไม่มีทางยอมรับว่าตนเองกลัว แต่ทุกคำตรัสเมื่อครู่ขององค์หญิงไม่ได้หลอกลวง ที่พระองค์กล่าวว่าจะเอาทั้งจวนเยี่ยนฝังตามเจาเจาของพระองค์ไปนั้น พระองค์สามารถทำได้จริงๆ
สมัยเหลียงฉงอายุเพียงสิบหกปี พระองค์ได้ออกทำาปราบปรามน่านเ้า แต่เสียทีพลาดท่าในการรบครั้งแรก แม่ทัพใหญ่น่านเ้าจึงเหยียดหยามเกียรติเชลยทหารหญิงภายใต้การบัญชาของเหลียงฉงที่ถูกจับได้ต่อหน้าธารกำนัลอย่างกับหมูกับหมา ทั้งยังตัดหัวพวกนางดื่มเืเพื่อทำให้เหลียงฉงอัปยศอดสู
วันรุ่งขึ้นเหลียงฉงจึงบุกทะลวงเมืองหลวงของน่านเ้า สังหารหมู่ครอบครัวของแม่ทัพคนนั้นทั้งหมดสามร้อยหกสิบเอ็ดชีวิต ไม่เว้นแม้แต่เด็ก สตรี หรือคนแก่ จนสิ้นซากทั้งครอบครัว
พอนึกถึงตรงนี้ ตัวเยี่ยนเหว่ยก็เย็นวาบขึ้นมาฉับพลัน จนกระทั่งเงาร่างขององค์หญิงหายลับไป เขาจึงค่อยแสร้งทำเป็ด่าสาปสองสามคำและหันกลับไปทางเรือนสาวงามเมื่อครู่
ช่างน่าสมเพชเสียจริง!
นี่คือเหตุผลที่องค์หญิงดูถูกเยี่ยนเหว่ยจากก้นบึ้งของหัวใจ หากเขากล้ายืนหยัดเหมือนบุรุษคนหนึ่ง ไม่แน่องค์หญิงอาจไว้หน้าเขาบ้าง ทว่าเขากลับเป็คนอ่อนหัดที่ขี้ขลาดไร้ประโยชน์จากแก่นแท้ มิน่าองค์หญิงถึงเยาะหยันเขาขนาดนี้
ข้ามบ้านใหญ่ มาทางฝั่งหอร่มรื่นอันไร้ชีวิตชีวา
บ่าวของหนานิเหอมีเพียงหลานเล่อคนเดียวมาตลอด ดังนั้นเมื่อทางเยี่ยนเจาเจาเกิดความโกลาหลตกอยู่ในสภาพวุ่นวาย หนานิเหอที่ป่วยจนสติพร่าเลือนจึงยังไม่ทราบเื่
จนวันที่สองที่เยี่ยนเจาเจาฝีขึ้น หนานิเหอถึงเพิ่งได้สติ เขาไวต่อกลิ่นจำพวกปูนขาวและอ้ายเย่มาแต่กำเนิด เลยรู้สึกไม่สบายใจทันทีที่ลืมตา
สุขภาพของเขาห่างไกลจากคำว่าดี หลังตากฝนเมื่อวานนี้ กลับมาตกกลางคืนก็รู้ว่ามีไข้แล้ว จนไข้เพิ่งมาลดเอาป่านนี้ ทว่าหัวยังมึนงงอยู่บ้าง
“เ้าไปถามมาว่าเกิดอะไรขึ้น?” หนานิเหอกดขมับของตนเอง ลุกขึ้นนั่งอย่างเซื่องซึม เขารู้สึกกระวนกระวายในใจจึงส่งหลานเล่อไปสอบถามสถานการณ์
หลานเล่อออกไปตามคำสั่งและกลับมาด้วยใบหน้าเปลี่ยนสี เขาเอ่ยตะกุกตะกัก “คุณหนู...คุณหนูฝีขึ้นแล้วขอรับ!”
ฝีขึ้น!
หนานิเหอย่อมรู้ว่าสองคำนี้หมายความว่าอะไร เขากุมหัวใจ มุมปากมีเืไหลซึมออกมา แต่กลับเพ่งมองหลานเล่อ “เ้าหมายถึงคุณหนูคนใด? ”
“คุณหนูห้า...”
เพิ่งสิ้นเสียง ร่างหนานิเหอก็หายไปแล้ว
เขาไม่สนใจแม้แต่จะสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อย กลับรีบร้อนวิ่งออกไปทันที
เชิงอรรถ
[1] อ้ายเย่ หมายถึง โกฐจุฬาลัมพาจีน มีรสเผ็ดและขม มีฤทธิ์อุ่น นิยมนำมาใช้ในการรมยา โดยใช้ใบแห้งบดเป็ผงและปั้นเป็ก้อน นำมาจุดรมบริเวณจุดฝังเข็ม มีสรรพคุณอบอุ่นเส้นลมปราณ ห้ามเื ขจัดความเย็น ระงับอาการปวด ยังสามารถขจัดความชื้น และระงับอาการคันเมื่อใช้ภายนอก นอกจากนี้ ควันจากการจุดรมยาของโกฐจุลาลัมพาจีนยังฆ่าเชื้อได้ดี ซึ่งมีงานวิจัยออกมาว่าสามารถฆ่าเชื้อและหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ S. aureus, Group B Streptococcus, E.coli และ Candida albicans รวมทั้งฆ่าเชื้อคอตีบ ไข้ไทฟอยด์ และบิดไม่มีตัวได้ด้วย
[2] นกตื่นเกาทัณฑ์ หมายถึง ผู้ที่เคยใหรือผ่านเหตุการณ์ร้ายมาก่อน เมื่อพบกับเหตุการณ์หรือเื่ราวที่ใกล้เคียงกันก็จะรู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัว