“การโจมตีด้วยเสียง”
ในใจของหลินเฟิงกำลังสั่นระรัว ดาบที่อยู่ในมือเขาไม่มีใครทำลายลงได้ แล้วมันสามารถทำลายได้ทุกอย่าง
นอกจากนี้ในน้ำเสียงดุเดือดนั่น ทำให้หลินเฟิงที่กำลังสั่นต้องหยุดไปชั่วขณะ การโจมตีที่ได้หลอมรวมเจตจำนงไว้มากมาย ทำไมถึงสามารถหยุดชะงักได้อย่างง่ายดายเช่นนี้?
ยิ่งไปกว่านั้นหลินเฟิงยังคงแข็งแกร่งเมื่อเผชิญหน้ากับเฮยม่อ แม้เฮยม่อจะใช้ไพ่ตายและทะลวงสู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ก็ตาม
“ตาย!”
ทันใดนั้นได้มีน้ำเสียงบ้าคลั่งดังขึ้นมา ท่อนบนของเฮยม่อที่ตอนนี้กำลังเปลือยอยู่ได้ปรากฏเส้นสีดำเคลื่อนไหวไปมาอย่างบ้าคลั่ง จนร่างกายของเขาปลดปล่อยพลังแห่งการทำลายล้างที่น่าสะพรึวกลัวออกมา
“ตูม!!!”
ชั้นบรรยากาศกำลังสั่นะเื ดาบของหลินเฟิงแทงทะลุิัของเฮยม่อ แต่กลับทิ้งไว้เพียงรอยเืเท่านั้น หลินเฟิงในตอนนี้กลับถูกคลื่นพลังรุนแรงโจมตีใส่อย่างจัง
ทันใดนั้นได้เกิดเสียงหนึ่งดังขั้น จากนั้นร่างของหลินเฟิงหล่นกระแทกพื้นจนเขากระอักเืออกมา
บรรยากาศได้เงียบลงอีกครั้ง แพ้แล้ว… ในที่สุดการต่อสู้ในครั้งนี้หลินเฟิงก็พ่ายแพ้แล้วจริงๆ?
ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงเทียบไม่ได้กับเฮยม่อ? เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ แม้ความแข็งแกร่งจะไม่อาจเทียบเฮยม่อได้ แต่เขาก็เกือบถูกการโจมตีเพียงครั้งเดียวของหลินเฟิงคร่าชีวิตของเขาแล้ว หากไม่มีอวี่โฉวที่ะโออกมาอย่างเกรี้ยวกราดนั่น เกรงว่าเฮยม่อในตอนนี้คงตายไปแล้ว อย่างที่หลินเฟิงได้เอ่ยไว้ หากเฮยม่อเกิดความลังเล นั่นจะทำให้เขาแพ้ราบคาบ
เฮยม่อเทียบไม่ได้กับหลินเฟิงเลยแม้แต่น้อย
แต่อวี่โฉวได้เข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ จึงส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์การต่อสู้ในตอนนี้ และทำให้การต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นนี้ไม่ยุติธรรมอีกต่อไป อย่างไรก็ตามเขาเป็ถึงท่านลุงสามแห่งตระกูลอวี่ ใครจะกล้ากล่าวหาเขา?
ก็เหมือนที่อวี่โฉวได้เอ่ยไว้ การดูถูกตระกูลของเขาแม้จะเป็สำนักเทียนอี้ เขาก็สามารถทำลายลงได้ หลินเฟิงก็เป็ศิษย์ของสำนักเทียนอี้แล้วทำไมเขาจะไม่กล้า
หลินเฟิงที่นอนกองอยู่บนพื้นค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นมองไปยังอวี่โฉว ดวงตาของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความเยือกเย็นอันหนาวเหน็บไร้ที่สิ้นสุด
“ไร้ยางอายยิ่งนัก!”
แววตาของหลินเฟิงเต็มไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า อย่างไรก็ตามเขารู้ดีว่าเมื่อเผชิญหน้ากับอวี่โฉว เขานั้นไม่อาจเทียบกับอวี่โฉวได้ ถ้าหากเขาจะสังหารอวี่โฉว นั่นหมายความว่าเขากำลังรนหาที่ตาย
เกียรติยศและศักดิ์ศรีคือโลกทั้งใบของผู้ฝึกยุทธ์ ต่อให้ธาตุแท้ของคนพวกนี้เป็เช่นนี้ แม้จะเป็เื่น่าละอาย หากความแข็งแกร่งของเขาทรงพลังมากแล้วใครจะกล้าต่อต้าน
ร่างของเมิ่งฉิงกำลังสั่นเทาและกลับมาอยู่ข้างกายหลินเฟิง แล้วนางก็ประคองหลินเฟิงให้ลุกขึ้น ใบหน้าสวยงามและเ็าของนางเพียงพริบตาได้เปลี่ยนเป็เยือกเย็น และกล่าวถามว่า “เ้าเป็ยังไงบ้าง?”
“ข้าไม่เป็ไร” หลินเฟิงเช็ดเืที่มุมปาก เขายังคงพยายามยืนด้วยตัวเอง
“ช่างเป็ชายหนุ่มที่เด็ดเดี่ยวอะไรขนาดนี้”
ผู้คนต่างมองหลินเฟิงอย่างเลื่อมใส
วันนี้หลินเฟิงได้สร้างความตกตะลึงให้กับพวกเขาอย่างมาก การบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 สามารถเอาชนะเฮยม่อที่เป็ 1 ใน 10 ศิษย์ที่แข็งแกร่งของสำนักเทียนอี้ได้ แม้กระทั่งเฮยม่อยังต้องพึ่งไพ่ตายและเพิ่มความแข็งแกร่งเป็ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 นอกจากนี้ตอนที่เมิ่งฉิงยื่นมือเข้ามาช่วย หลินเฟิงกลับปฏิเสธไป ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายหากต้องพ่ายแพ้ก็ยอมตายเสียดีกว่า
หลังจากที่ทุกคนคิดว่าหลินเฟิงจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เจตจำนงการต่อสู้ของเขาพลันลุกโชนขึ้น ทำให้เขาทะลวงขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 แล้วเขาก็โจมตีเฮยม่อ แม้การโจมตีนี้จะไร้ผลเพราะถูกอวี่โฉวขัดขวางไว้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของหลินเฟิงก็เพียงพอจะดึงดูดให้ผู้คนมาเคารพเขาได้
แม้อยู่ในสถานการณ์วิกฤต หลินเฟิงก็ยังกลับมายืนได้อย่างภาคภูมิใจ
เฮยม่อจ้องมองหลินเฟิงด้วยแววตาซับซ้อน เขาในตอนนี้ไม่มีความภาคภูมิใจใดๆ อีกต่อไป
แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าการต่อสู้ในครั้งนี้เขาได้พ่ายแพ้แล้ว หากเมื่อครู่ไม่ได้อวี่โฉวช่วยเอาไว้ ดาบของหลินเฟิงคงแทงทะลุหัวใจเขาแล้ว
แต่ตอนนี้หลินเฟิงกลับไม่ได้มองมาที่เขา สายตาของเขาตอนนี้กำลังจ้องเขม็งไปทางอวี่โฉว ดูเหมือนว่าเฮยม่อจะไม่ได้อยู่ในสายตาของหลินเฟิงแล้ว ทำให้ในใจของเฮยม่อเยาะเย้ยตัวเองมากกว่าเก่า
บรรยากาศยังคงเงียบสงัดและอึมครึม ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
ในขณะนั้นได้มีเสียงหัวเราะดังขึ้นทำลายบรรยากาศที่เงียบสงัดลง องค์ชายรองกำลังมองทั้งสองที่อยู่บนเวทีประลอง และกล่าวว่า “พวกเ้าทั้งสองต่างแข็งแกร่ง และมีพร์ที่ยอดเยี่ยม หากมีใครคนหนึ่งตายไปก็ถือเป็ความสูญเสียของสำนักเทียนอี้และลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่อย่างมาก รองเ้าสำนักหลง การต่อสู้ในครั้งนี้ก็พอแค่นี้ก่อนเถิด”
ต้วนหวู่หยา้าหยุดการต่อสู้ที่กำลังดำเนินอยู่ และเขาก็ไม่ได้ตำหนิอวี่โฉวแต่อย่างใด เหมือนกับไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ไม่อาจทำให้เขาใได้ และไม่มีใครทราบว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
หลงติ่งมองต้วนหวู่หยาด้วยแววตาแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็มองไปที่คนของตระกูลอวี่และตระกูลเนี่ยอีกครั้ง และกล่าวว่า “เอาล่ะ การต่อสู้ในครั้งนี้ก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้”
ตระกูลเนี่ยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แม้เฮยม่อจะได้รับชัยชนะ ถ้าหลินเฟิงได้รับาเ็และสังหารหลินเฟิงตอนนี้ เขาต้องถูกผู้คนวิจารณ์และรุมประณามอย่างแน่นอน
“ฮ่าๆๆ ในเมื่อเป็การต่อสู้แห่งความเป็ตาย แล้วมันก็ดำเนินมาได้ครึ่งทางจะมาตัดจบเช่นนี้ได้อย่างไร ที่แท้ศิษย์ของสำนักเทียนอี้ก็เป็แค่พวกขี้ขลาด”
อวี่โฉวกล่าวอย่างไม่แยแส และเหลือบมองหลงติ่งอย่างเยาะเย้ย ทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจ อวี่โฉว้าให้หลินเฟิงตายให้ได้
นอกจากนี้เขายังกล่าวหาว่าศิษย์สำนักเทียนอี้เป็พวกขี้ขลาด ซึ่งเขาจงใจยั่วยุหลงติ่ง อวี่โฉวช่างร้ายกาจนัก
หลินเฟิงไปยั่วยุเขา เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลินเฟิงตาย แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าองค์ชายรองก็ตาม
อวี่โฉวเป็คนของตระกูลอวี่ เขาจึงเป็คนหยิ่งผยองอย่างมาก
หลงติ่งจ้องเขม็งไปที่อวี่โฉว เขา้ากล่าวบางอย่างออกมาแต่เขากลับเลือกที่จะเงียบไว้
“สำนักเทียนอี้ไม่ใช่พวกขี้ขลาด เ้าคิดว่าเราจะเหมือนกับตระกูลอวี่ของเ้างั้นหรือ”
คำพูดเหล่านี้แน่นอนว่าเป็หลินเฟิงที่เอ่ยออกมา ตอนนี้สายตาของเขาก็ยังคงจ้องมองอวี่โฉว น้ำเสียงของเขาช่างเยือกเย็นอย่างมาก ทำให้ผู้คนต่างอุทานออกมา เ้าเด็กคนนี้ช่างบ้าระห่ำยิ่งนัก คาดไม่ถึงว่าจะยังกล้าดูถูกอวี่โฉวอีก หรือเขากำลังรนหาที่ตาย?
ในยามนี้ฝูงชนต่างนึกสงสัยว่าทำไมอวี่โฉวถึง้าชีวิตหลินเฟิง ทั้งที่หลินเฟิงยังไม่ทันทำอะไรพวกเขาเลย หรือไม่ว่าหลินเฟิงจะทำร้ายเขาหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
“ใกล้ตายแล้วยังกล้าปากดีอีก” ม่านตาของอวี่โฉวหดลงเล็กน้อย และปลดปล่อยจิตสังหารจากั์ตาพุ่งไปหาหลินเฟิง “ตระกูลอวี่ของข้าเคยเป็พวกที่ขี้ขลาดตอนไหนกัน และเ้ามีสิทธิ์อะไรถึงได้เอ่ยเช่นนี้?”
“ข้าไม่มีสิทธิ์?” หลินเฟิงยิ้มเยาะ จากนั้นเขาก้าวเท้าไปข้างหน้าและก็กล่าวว่า “งั้นข้าก็อยากถามกลับไปว่า แล้วตระกูลอวี่ของเ้าแข็งแกร่งแค่ไหน และคนรุ่นเยาว์แข็งแกร่งขนาดไหน?”
“ตระกูลอวี่ของข้ามีอิทธิพลต่อเมืองหลวง และสามารถทำลายสำนักเทียนอี้ได้อย่างง่ายดาย ฟังแบบนี้แล้วเ้าคิดว่าความแข็งแกร่งของตระกูลอวี่จะขนาดไหนกันล่ะ?” อวี่โฉวกล่าวเยาะเย้ย “สำหรับคนรุ่นเยาว์ของตระกูลอวี่ แน่นอนว่าพวกเขาล้วนเป็มนุษย์ในหมู่ั”
“มนุษย์ในหมู่ั? ช่างหน้าไม่อายเสียจริง มีแต่พวกชั้นต่ำเท่านั้น ที่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็มนุษย์ในหมู่ั”
หลินเฟิงยิ้มเยาะอย่างเยือกเย็น ทำให้อวี่โฉวโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม แต่หลินเฟิงกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาเพียงชี้ไปทางชายหนุ่มทั้งสองข้างๆ อวี่โฉว และกล่าวว่า “พวกเขาทั้งสองคนมีอายุมากกว่าข้า งั้นข้าหลินเฟิงผู้นี้จะขอท้าพวกเขาทั้งสองคนมาประลองความเป็ตาย หากตระกูลอวี่ของเ้าเป็มนุษย์ในหมู่ัจริงๆ ล่ะก็ จงมาต่อสู้ให้รู้ดำรู้แดงไปเลยดีกว่า”
อวี่โฉวและชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่ข้างๆ เขาต่างต้องตกตะลึง ตอนนี้หลินเฟิงกำลังจ้องมองอย่างอาฆาต คาดไม่ถึงว่าเ้าหมอนี่จะกล้ายั่วยุเขาเช่นนี้ จริงๆ แล้วความแข็งแกร่งของชายหนุ่มทั้งสองคนนี้เทียบไม่ได้กับหลินเฟิง พวกเขาต่างเห็นกันหมดว่าเฮยม่อก็เกือบถูกหลินเฟิงสังหาร แล้วพวกเขาจะกล้าสู้ได้อย่างไร
อวี่โฉวก็ไม่คาดว่าหลินเฟิงจะมาไม้นี้ เขายิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “ข้าเป็คนจากตระกูลอวี่ เ้าจะสามารถท้าทายตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน”
“ขี้ขลาด!” อวี่โฉวยังกล่าวไม่ทันจบ หลินเฟิงก็เอ่ยแทรกขึ้นมาทันทีด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “ไม่กล้าก็คือไม่กล้า ทำไมต้องหลอกตัวเองและก็หลอกคนอื่นด้วย แสร้งทำเป็คนชั้นสูง แต่ที่แท้เ้าแค่คนชั้นต่ำ ครั้งก่อนมีหนึ่งในนั้นถูกข้าทุบตีที่ลานประลองเชลย แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็ตายร้ายดีอย่างไร ส่วนอีกคนก็ถูกข้าตำหนิและดูถูกไป พวกนั้นก็เป็แค่เศษสวะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมาแก้แค้นข้าได้ จึงได้ไปหาผู้าุโให้ช่วยพวกมัน หึ... ช่างน่าหัวเราะนัก”
คำพูดของหลินเฟิงทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจ ที่แท้หลินเฟิงก็เคยดูถูกและตำหนิชายหนุ่มทั้งสองจากตระกูลอวี่มาก่อน ไม่สงสัยเลยว่าทำไมอวี่โฉวถึงได้รังเกียจหลินเฟิงขนาดนี้
หลินเฟิงยังคงกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง “แต่เมื่อข้าเห็นเ้าและผู้าุโของตระกูลอวี่แล้ว ก็สามารถเดาได้ว่าคนรุ่นหลังจะเป็คนยังไง ดังนั้นข้าจึงไม่แปลกใจอะไร ถ้าเป็คนขี้ขลาดก็ควรหยุดได้แล้ว แต่ยังกล้าหน้าด้าน หยิ่งในศักดิ์ศรี และยังคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นไม่ผิด และภาคภูมิใจในตัวเองจนเกินพอดี ดังนั้นข้าจึงอยากถามอีกครั้งว่าทำไมพวกเ้าตระกูลอวี่ถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้?”
คำพูดของหลินเฟิงทำให้ผู้คนต่างตะลึงงัน และอวี่โฉวก็จ้องเขม็งมาที่หลินเฟิง ขณะที่จิตสังหารเริ่มเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ตระกูลที่ไร้ยางอายและอ่อนแอเช่นนี้ ทำได้แค่ลอบกัดคนอื่นแท้ๆ กลับไม่กล้ายอมรับ ช่างหน้าด้านยิ่งนัก คาดไม่ถึงว่าจะกล้านั่งบนอัฒจันทร์ ต้องหน้าหนาขนาดไหนกันถึงกล้าทำเช่นนี้ได้”
ดูเหมือนว่าเดิมทีหลินเฟิงก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไรอยู่แล้ว และน้ำเสียงของเขาก็ยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้