เซี่ยโม่พยายามรวบรวมสติกลับมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พี่ซ่ง วันนี้พี่หยุดเหรอคะ”
ซ่งมู่ไป๋พยักหน้าพลางตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หลายวันหลังจากนี้ฉันจะอยู่เป็เพื่อนเธอเอง”
หลายวัน?
พี่ซ่งขอลาหยุด?
เซี่ยโม่ไม่ทันได้ซักไซ้ต่อเพราะพวกเธอทั้งคู่เดินเข้ามาในบ้านเสียก่อน
บ้านหลังนี้มีสามห้องนอน คุณป้าหวางพักหนึ่งห้อง อีกสองห้องปล่อยว่าง ส่วนด้านในมีเตียงอุ่นห้องละหนึ่งหลัง
“สองห้องนอนนี้เป็ยังไงบ้าง หากเด็กทั้งสองคนไม่อยากกลับบ้านก็นอนพักที่นี่ได้เลย ถ้าแม่ของสือโถวหรือเธอมาหาก็สามารถนอนด้วยได้” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
พี่ซ่งช่างรอบคอบเหลือเกิน
“ไม่เลวเลยค่ะ ค่าเช่าเท่าไรเหรอคะ เดี๋ยวฉันออกเอง”
“ไม่ต้อง ค่าเช่าแค่ไม่เท่าไรเอง แต่ว่าเธอยังมีเนื้อแห้งอีกไหม” ซ่งมู่ไป๋โบกมือไปมาเชิงปฏิเสธ ก่อนจะเปลี่ยนเื่คุยปุบปับ
ชายหนุ่มที่ทำอะไรรอบคอบคนนั้นหายไปไหนแล้ว เหตุใดถึงกลายร่างเป็เด็กที่พยายามประจบเอาใจเพื่อขอของกินไปได้
“เนื้อแห้งอะไรคะ” เซี่ยโม่กะพริบตาปริบอย่างงุนงง
ซ่งมู่ไป๋มีสีหน้าน้อยใจ “ก็เนื้อแห้งเผ็ดๆ ที่ให้เพื่อนฉันเมื่อวานยังไงล่ะ เมื่อเช้าฉันไปหามันที่สถานีตำรวจ มันทับถมฉันใหญ่ แถมยังชมไม่หยุดว่าเนื้อแห้งที่เธอให้อร่อยอย่างนั้นอย่างนี้”
ได้ยินประโยคเมื่อครู่ถึงค่อยเข้าใจ ที่แท้ก็หมายถึงเนื้อแห้งรสหม่าล่านั่นเอง
เดิมทีเซี่ยโม่คิดว่าหลังจากส่งน้องชายกับสือโถวที่โรงเรียนแล้ว จะไปสถานีตำรวจต่อ เพื่อสอบถามความคืบหน้าเื่เมื่อวาน วันนี้เลยพกถุงผ้าติดตัวมาด้วย เธอล้วงมือเข้าไปในถุงผ้าเพื่อหยิบเนื้อแห้งรสหม่าล่าหนักครึ่งจินออกมา
ซ่งมู่ไป๋ตาลุกวาวเหมือนได้เจอสมบัติ รีบแกะกระดาษห่อออก แล้วหยิบเนื้อแห้งหนึ่งชิ้นเข้าปาก รสเผ็ดร้อนและกลิ่นหอมของเครื่องเทศพลันกระจายไปทั่วทั้งปากทันทีที่เคี้ยว
“อร่อยมาก เธอยังมีอีกไหม วันหลังอย่าให้พวกมันเชียวนะ”
พี่ซ่งในสายตาเธอตอนนี้กลายเป็เด็กไม่รู้จักโตแถมยังหวงของกินไปเสียแล้ว
“ก็ได้ค่ะ ฉันไม่ให้พวกเขาแล้ว จะเก็บไว้ให้พี่คนเดียว” เธอกล่าวพร้อมยิ้มน้อยๆ
ซ่งมู่ไป๋ยิ้มอย่างพึงพอใจ
ครั้นเห็นเด็กสาวยังไม่ได้กิน เขาจึงส่งเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งมาให้ “ทำไมไม่กินล่ะ อร่อยมากเลยนะ”
“มันเผ็ดเกินไปค่ะ” เซี่ยโม่ส่ายศีรษะ
เธอจำได้อย่างชัดเจนว่า ชาติที่แล้วตัวเองมีประจำเดือนครั้งแรกตอนอายุสิบแปดปี ทุกครั้งที่รอบเดือนมาจะมีอาการปวดท้องอย่างมาก คุณหมอบอกว่าที่เป็เช่นนี้เพราะเธอทำงานหนักั้แ่ยังเด็ก ประกอบกับร่างกายได้รับความเย็นมานาน คุณหมอจึงให้งดรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดและอาหารที่มีฤทธิ์เย็น แต่ไม่ว่าเธอจะดูแลสุขภาพมากแค่ไหน หรือบำรุงร่างกายอย่างไร จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตประจำเดือนของเธอก็ยังมาไม่ค่อยปกติอยู่ดี
ด้วยเหตุนั้นชาตินี้เลยต้องระมัดระวังเื่อาหารการกินเป็พิเศษ เธอ้าแต่งงานและมีบุตร จึงยิ่งต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดี
“ของอร่อยแบบนี้ น่าเสียดายจริงๆ ที่เธอไม่ได้ชิม” ซ่งมู่ไป๋เอ่ยอย่างเสียดาย ไม่รู้เลยสักนิดว่าเด็กสาวคิดการณ์ไกลไปถึงไหนต่อไหน นึกว่าอีกฝ่ายไม่กินเพราะแค่กลัวเผ็ดเฉยๆ
เซี่ยโม่ไม่คิดจะบอกชายหนุ่มว่า ไม่ต้องเสียดายแทนเธอไปหรอก หากอยากกินจริงๆ เธอสามารถกินแบบไม่ปรุงรสก็ได้
เซี่ยโม่นึกขึ้นมาได้ว่า นานแล้วที่ไม่ได้เอาขนมกลับไปฝากน้องชาย จะให้เนื้อแห้งไม่ได้เด็ดขาด กินเนื้อในมื้อเย็นไม่ค่อยดีนักเพราะย่อยยาก หาขนมที่ย่อยง่ายหน่อยดีกว่า น้องชายเพียงคนเดียวของเธอ เธอต้องรักและใส่ใจให้มาก
ซ่งมู่ไป๋เห็นเด็กสาวทำหน้าเหม่อลอยเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ จึงลองโบกมือไปมาตรงหน้าเธอเพื่อเรียกความสนใจ “กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ”
ครั้นโดนทักเด็กสาวถึงได้สติกลับมา “ฉันกำลังคิดว่าจะจัดการหวางลี่ลี่ยังไงดีค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าเขาเปลี่ยนเป็เคร่งขรึม “ฉันให้คนไปคอยจับตาดูรอบๆ บ้านตระกูลเซี่ยแล้ว ไม่ว่าหวางลี่ลี่ทำอะไร ไม่มีทางเล็ดลอดสายตาฉันไปได้แน่นอน”
ยุคนี้ไม่ใช่ยุคที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข่าวสารได้ง่าย และไม่ใช่ยุคที่มีกล้องวงจรปิดติดทั่วแห่งหน
หากหวางลี่ลี่ไม่ยอมรับเสียอย่างว่าตนเองคือหญิงชราหลังค่อม เท่านี้ก็ไม่มีใครทำอะไรอีกฝ่ายได้ แม้การส่งคนไปคอยจับตาจะดูเป็วิธีที่สิ้นคิด แต่ก็เป็วิธีที่ได้ผลที่สุดสำหรับยุคสมัยนี้เช่นกัน
เซี่ยโม่ทำท่าขบคิดอยู่สักครู่ แล้วเธอก็คิดแผนดีๆ ได้แผนหนึ่ง
เธอพูดแผนการให้ชายหนุ่มฟัง
“วิธีนี้ไม่เลว ฉันเห็นด้วยกับเธอ ดูสองแม่ลูกคู่นั้นกัดกันเองก่อนแล้วค่อยมาว่ากันอีกที” ซ่งมู่ไป๋พยักหน้ากับวิธีการของเด็กสาว
“พอถึงตอนนั้นพี่ปล่อยให้ฉันพูดนะคะ”
“ได้”
หารือเบื้องต้นกันเสร็จทั้งสองคนก็เดินไปด้านนอก พบว่าคุณป้าหวางกำลังกวาดลานหน้าบ้านอยู่
“คุณป้าหวางครับ พวกเราออกไปทำธุระข้างนอกสักครู่ เดี๋ยวตอนเที่ยงพวกเราค่อยซื้อวัตถุดิบกลับมาทำอาหาร” ซ่งมู่ไป๋พูดกับหญิงชราอย่างเกรงอกเกรงใจ
“เสี่ยวซ่ง ถ้าซื้อไม่ทันก็ใช้ของที่มีอยู่ในบ้านก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจไป”
“ขอบคุณมากนะคะคุณป้า พวกเราจะรีบไปรีบกลับค่ะ” เซี่ยโม่กล่าวด้วยความซาบซึ้ง
“โม่โม่ เธอเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ จะขี่จักรยานได้ยังไง เดี๋ยวฉันขี่พาเธอไปเอง” ซ่งมู่ไป๋พูดขึ้นเมื่อเห็นเด็กสาวทำท่าจะเดินไปที่รถจักรยานของตัวเอง
“ก็ได้ค่ะ”
ในสายตาพี่ซ่งตอนนี้เธอคือคนป่วย เซี่ยโม่เลยคล้องโซ่จักรยานตัวเอง แล้วเดินไปที่รถจักรยานของชายหนุ่มแทน
ราวสิบนาทีทั้งสองคนก็มาถึงที่ทำการผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านเชาหยาง
ตอนนี้ในหมู่บ้านเก็บเกี่ยวผลผลิต ผ่านการตากแห้ง และนำส่งให้ทางการเรียบร้อยแล้ว
นักบัญชีในหมู่บ้านจึงต้องรีบทำบัญชี หลังจากคำนวณเสร็จจะได้จัดสรรอาหารและธัญพืชให้คนในหมู่บ้านได้ ส่วนผู้ใหญ่บ้านต้องคอยประจำการ เผื่อมีเหตุใดเกิดขึ้นจะได้จัดการได้ทันท่วงที
จัดสรรอาหารและธัญพืชเสร็จก็จะเป็่หยุดพักในฤดูหนาวพอดี
ทั้งคู่เดินเข้าไปในที่ทำการ พอเห็นคุณปู่ผู้ใหญ่บ้าน เซี่ยโม่ก็น้ำตาไหลพราก “คุณปู่คะ”
เมื่อชายชราเห็นเซี่ยโม่ก็เอ่ยถามอย่างเป็ห่วงเป็ใยตามประสาผู้ใหญ่ใส่ใจผู้น้อย “โม่โม่ วันนี้เราไม่ไปเรียนหรือ แล้วร้องไห้ทำไม โดนใครรังแกมา แล้วพ่อหนุ่มนี่เป็ใครกัน”
“คุณปู่คะ พี่คนนี้คือหลานที่คุณตาคุณยายรับเป็หลานบุญธรรมค่ะ แล้วก็เป็พี่ชายบุญธรรมของหนูด้วย” เธอแนะนำซ่งมู่ไป๋ให้คุณปู่ผู้ใหญ่บ้านรู้จัก
ผู้ใหญ่บ้านมองสำรวจคนตรงหน้า ชายหนุ่มคนนี้ดูอายุยังไม่มาก ใบหน้าหล่อเหลาซื่อตรง เพียงแค่มองเขาก็รู้ถึงความคิดของอู๋กวงเต๋อทันที
เขาคิดในใจ สองสามีภรรยาคู่นั้นมองการณ์ไกลใช้ได้ กลัวว่าตัวเองไม่อาจปกป้องหลานชายหลานสาวไปได้ตลอดก็เลยหาว่าที่หลานเขยเตรียมไว้
“คุณปู่คะ ครึ่งปีที่ผ่านมาเื่ระหว่างหนูกับพ่อและแม่เลี้ยง ใครเป็คนถูกใครเป็คนผิดไม่มีใครรู้ มีแต่คุณปู่ที่รู้ดีที่สุด” เซี่ยโม่กล่าวทั้งน้ำตา
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันรู้ดีที่สุด ลำบากพวกเธอสองพี่น้องแล้ว” ชายชราพยักหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ
“คุณปู่คะ คุณปู่ได้ยินเื่ที่เฉินซีตายไปแล้วใช่ไหมคะ”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า “ได้ยินสิ เป็เด็กเซี่ยอวิ๋นนั่นที่ดูแลเด็กอ่อนไม่เป็ น่าสงสารก็แต่เฉินซีที่ต้องมาจากไปก่อนวัยอันควร”
“คุณปู่คะ หนูกับน้องไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการตายของเฉินซีเลย แต่พอแม่เลี้ยงกลับมาจากค่ายแรงงานก็จ้างคนไปทำร้ายน้องหนูที่โรงเรียนเมื่อวานนี้ หนูเห็นเธอแกล้งปลอมตัวเป็ยายแก่หลังค่อมกับตา ได้ยินว่าไปจ้างพวกอันธพาลมาโดยจะให้ข้าวโพดห้าจินเป็ค่ามัดจำ แล้วถ้างานเสร็จจะให้เพิ่มอีกห้าจิน”
ฟังเพียงเท่านี้ผู้ใหญ่บ้านก็เข้าใจเื่ราวทั้งหมดในทันที เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว หวางลี่ลี่โเี้เกินไปแล้ว ถึงกับจ้างพวกอันธพาลไปทำร้ายเด็กคนหนึ่ง หากถูกตำรวจจับขึ้นมาก็มีแต่ต้องติดคุกสถานเดียว
“ต้องเป็เพราะนังเด็กเซี่ยอวิ๋นนั่นแน่ที่ไปใส่ไฟให้หวางลี่ลี่ฟัง ทำไมนั่งเด็กนั่นทำแบบนี้นะ” เขาตบโต๊ะอย่างแรงด้วยความโมโห ก่อนจะหันมาหาเซี่ยโม่ “ที่เรามาที่นี่เพราะอยากให้ฉันช่วยใช่ไหม”
“คุณปู่คะ แค่มีคนในหมู่บ้านนี้ถูกส่งตัวไปทำงานในค่ายแรงงานแค่นี้ก็ทำให้หมู่บ้านขายหน้ามากแล้ว หากมีคนในหมู่บ้านต้องติดคุกอีก ไม่เพียงแค่คุณปู่ที่จะเสียหน้า คนในหมู่บ้านนี้ก็จะเสียหน้าไปด้วย ที่หนูมาวันนี้เพราะอยากให้แม่เลี้ยงได้รู้ความจริง เธอจะได้ไม่มาเล่นงานหนูกับน้องจนต้องไปจบในคุก”
ผู้ใหญ่บ้านมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยแววตาตื้นตัน “แม่เลี้ยงทำเรากับน้องชายถึงขนาดนี้ เรายังไม่ถือโทษโกรธเธออีก ช่างเป็เด็กที่มีเมตตาจริงๆ ฉันจะไปที่บ้านตระกูลเซี่ย ไปบอกความจริงเื่การตายของเฉินซีให้หวางลี่ลี่ฟังเดี๋ยวนี้แหละ”
