หมู่บ้านที่กู้ชิงฮั่นพูดถึงนั้นไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ริมหมู่บ้านอยู่ตรงตีนเขา บนเขามีต้นการบูรกับต้นโอ๊กเต็มไปหมด ของเหล่านี้เป็ของที่ขาดไม่ได้เลยในการเผาไหม้ จริงๆ แล้วต้นการบูรเป็ต้นที่หาได้ทั่วไป ที่นี่ขึ้นชื่อเื่การผลิตถ่านการบูร เมื่อถึงฤดูหนาว จะมีการส่งถ่านการบูรไปยังเมืองหลวง
ณ ตีนเขา จะมีบ้านอยู่สิบกว่าหลัง มองจากที่ไกลๆ ก็จะเป็พื้นนากว้างๆ ขณะที่อาทิตย์ใกล้จะตกดิน หยางหนิงกลับเห็นยังมีชาวนาอยู่ในนา ผลผลิตจากนาที่เก็บเกี่ยวไปจนหมดแล้ว เมื่อพระอาทิตย์ตกดินจะมองไม่เห็นอะไรอีกเลย
“ซานเหนียง ใกล้ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เก็บเกี่ยวไปจนหมดแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังมีคนปลูกข้าวอยู่ในนาอีกเล่า?” หยางหนิงอดไม่ได้ที่จะถาม
กู้ชิงฮั่นยิ้มแล้วพูดว่า “เ้าไม่เคยมาที่ไร่นาที่นี่ คงจะไม่ทราบ ว่าเมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว ชาวนาจะมาไถนาไว้ก่อน เพื่อที่ว่าปีหน้าจะปลูกข้าวได้ง่ายขึ้น”
“เป็อย่างนี้นี่เองหรือ”
หลังจากที่ทั้งสองลงจากม้าแล้ว จึงเดินเข้าไปที่นา ชาวนาที่อยู่ในไร่มีไม่มากนัก แต่ว่าเมื่อเห็นคนแปลกหน้าสองคนจูงม้ามา ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
“ซานเหนียง บ้านของท่านที่เจียงหลิงอยู่ที่ใดรึ?” หยางหนิงมองไปที่กู้ชิงฮั่นแล้วมองไปมองมา จากนั้นจึงถามว่า “ไกลจากตรงนี้มากหรือไม่?”
“ไม่ไกลนัก” กู้ชิงฮั่นเหมือนจะอารมณ์ดียิ่งนัก “บ้านตระกูลกู้ก็เหมือนกับบ้านตระกูลฉี เป็ตระกูลใหญ่ในเจียงหลิง ความสัมพันธ์ของสองตระกูลนั้นดียิ่งนัก ในตอนนี้ เป็รองแค่ตระกูลฉีตระกูลเดียวเท่านั้น”
หยางหนิงเข้าใจในทันที ตอนนั้นท่านสามของตระกูลฉีแต่งกับกู้ชิงฮั่น ก็เพราะว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูล แล้วก็เพื่อที่จะทำให้เจียงหลิงมีความมั่นคง กู้ชิงฮั่นพูดอย่างสบายๆ แต่หยางหนิงรู้ว่าบารมีของตระกูลกู้ยังเป็รองตระกูลฉีอยู่ แสดงว่าบ้านตระกูลกู้ก็มีอิทธิพลที่แข็งแกร่งยิ่งนักในเจียงหลิง
ตระกูลฉีมีบารมีมากในเจียงหลิง นี่เป็เื่ที่เข้าใจได้ จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นถือเป็เสาหลักของต้าฉู่ อย่าว่าแต่เจียงหลิงเล็กๆ ต่อให้เป็ทั่วทั้งต้าฉู่ จะหาตระกูลไหนมาเทียบกับตระกูลฉีคงยาก
หากตัดตระกูลฉีทิ้งไป ตระกูลกู้ก็ถือเป็ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเจียงหลิง
“ไร่นาของตระกูลฉีอยู่ทางทิศเหนือของเจียงหลิง หรือไม่ก็คือพื้นที่เมืองจิงโจวแห่งนี้” กู้ชิงฮั่นอธิบายต่อว่า “ส่วนตระกูลกู้อยู่ทางทิศใต้ของเจียงหลิง จากเมืองจิงโจวมุ่งไปยังทางใต้ ไม่เกินสิบลี้จะเจอแม่น้ำสายหนึ่ง ที่ชื่อว่าแม่น้ำจิ้งเยวี่ย หลายปีก่อน เพียงข้ามแม่น้ำไป พื้นที่ทั้งหมดนั้นทั้งหมดถือเป็เขตแดนของตระกูลกู้”
อำนาจราชสำนักมาไม่ถึงชนบท
คำพูดแบบนี้หยางหนิงเคยได้ยินมานานมากแล้ว แล้วก็เข้าใจความหมายนั้นดี ที่ดินในสมัยโบราณอิทธิพลของตระกูลเศรษฐีเหนือกว่าราชโองการของฮ่องเต้ เมื่อราชสำนักออกกฎหมายที่ดินมา ขุนนางท้องที่จะต้องทำการเจรจากับคหบดีในชนบทเสียก่อน หากไม่ได้รับความร่วมมือของคหบดีในชนบท ขุนนางท้องที่ก็จะจัดการได้อย่างยากลำบาก
เื่นี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไม่ว่าจะตระกูลฉีหรือตระกูลกู้ หลายปีก่อนก็น่าจะเป็คหบดีในชนบทประจำเจียงหลิง มีสิทธิ์และอำนาจในการพูดหรือทำสิ่งใด
จากที่กู้ชิงฮั่นพูด ก่อนหน้าที่ตระกูลฉีจะรุ่งเรือง ที่เจียงหลิงตระกูลฉีกับตระกูลกู้ก็น่าจะมีศักดิ์เสมอกัน ตระกูลฉีมีอิทธิพลทางเหนือของเจียงหลิง ส่วนตระกูลกู้ก็น่าจะยิ่งใหญ่ในเขตทางใต้ แต่ว่าต่อมาตระกูลฉีกลายมาเป็ศักดินาใหญ่ของต้าฉู่ ตระกูลกู้จึงไม่สามารถเทียบกับพวกเขาได้อีก แต่ก็ยังถือว่าเป็รากฐานที่มั่นคงของเจียงหลิง
หยางหนิงคิดในใจว่าครอบครัวของกู้ชิงฮั่นมีภูมิหลังเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่จะได้แต่งเข้าจวนโหว แล้วก็ได้รับความไว้วางใจจากไท่ฮูหยิน เป็คนดูแลทุกอย่างในจวน
เห็นข้างหน้ามีชายชราผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ริมที่นา หยางหนิงก็เดินเข้าไปหา แล้วยิ้มว่า “ท่านลุง ท่านยังไม่เลิกงานอีกหรือ?”
ชายชราเห็นทั้งคู่นานแล้ว หยางหนิงท่าทางไม่แปลกสักเท่าไหร่ แต่ว่ากู้ชิงฮั่นหน้าตาหล่อเหลาเอาการ ผิวขาวเนียน ชายแก่รู้ทันทีว่าทั้งคู่น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา จากนั้นเขายิ้มแล้วก็พูดว่า “ท่านทั้งสองจะไปที่ไหนกันรึ? เดินหลงทางกันรึ?”
เขาคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะตั้งใจเดินมาถึงที่นาแห่งนี้ อาจจะเดินหลงทางเข้ามา
“ใช่แล้ว เรามาท่องเที่ยวยังเจียงหลิง เดินหลงทางมาถึงที่แห่งนี้” หยางหนิงพูด อีกด้านกู้ชิงฮั่นก็มองหยางหนิงแปลกๆ ในใจก็แอบคิดว่าเ้าเด็กคนนี้ไม่เพียงสมองหายเป็ปกติ แต่มีความกะล่อนเพิ่มขึ้นด้วย พูดอะไรเหลวไหลได้เป็ตุเป็ตะ ดูเป็ธรรมชาติ
“แล้วจะไปที่ไหนกันเล่า? ข้ารู้จักแถวนี้ดี ช่วยบอกทางพวกเ้าได้” ชายชราพูดด้วยความเป็มิตร
หยางหนิงคิดในใจว่ากู้ชิงฮั่นพูดถูก คนที่นี่เรียบง่าย ชายชราผู้นี้ก็ดูจิตใจดี จากนั้นก็เดินไปนั่งยองๆ ข้างๆ ชายชรา มองแล้วถามว่า “ท่านลุง ปีนี้พืชพันธุ์งอกเงยดีใช่หรือไม่? เก็บเกี่ยวหมดแล้วหรือ?”
“ผลผลิตปีนี้ก็งอกเงยดี” ชายชรายิ้มแล้วพูดว่า “ผลผลิตเก็บแล้ว นาก็ไถดินรอปลูกปีหน้าแล้วล่ะ”
“ผลผลิตเก็บหมดแล้ว ปีใหม่ก็คงมีมากพอที่จะเอาไว้กินไว้ใช้ใช่หรือไม่?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าที่ดินของพวกท่านเป็ของจิ่นอีโหว เก็บภาษีถูกกว่าที่อื่นตั้งเยอะ”
ระหว่างทางหยางหนิงรู้มาจากกู้ชิงฮั่นแล้วว่า ที่ดินศักดินาสามพันไร่ของจิ่นอีโหว ภาษีทุกอย่างเป็อำนาจการควบคุมของจิ่นอีโหว ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของราชสำนัก
ฮ่องเต้ต้าฉู่เองก็ทรงมีเมตตาต่อราษฎร หลายปีก่อนเก็บภาษีสามส่วน แต่ว่าหลายปีมานี้ทำศึกบ่อยครั้ง เลยเพิ่มการเก็บภาษีเป็สี่ส่วน ส่วนที่ดินศักดินาสามพันไร่ของจิ่นอีโหว เก็บในอัตราสองส่วนมาโดยตลอด ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในบรรดาขุนนางที่ได้รับที่ดินศักดินา จิ่นอีโหวเก็บภาษีต่ำที่สุดแล้ว
สำหรับจิ่นอีโหวแล้ว จวนจิ่นอีโหวไม่ได้มีความหรูหรา ที่ดินศักดินาก็เป็บ้านเกิดบ้านเก่า ที่ดินก็เป็ของพ่อแม่ปู่ย่าตายายทั้งนั้น ดังนั้นก็ถือได้ว่าจิ่นอีโหวได้ทำประโยชน์ให้กับญาติพี่น้องในท้องที่
ชายชรายิ้มแล้วพูดว่า “ก็แค่พอให้ผ่านไปได้เท่านั้น”
กู้ชิงฮั่นเองก็ยืนอยู่ข้างๆ นางเป็คนฉลาด มองจากสีหน้าท่าทางแล้ว ชายชราผู้นี้พูดอย่างฝืนๆ ดูก็รู้ทันทีว่ามันจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่อย่างแน่นอน นางจึงถามกลับไปว่า “บ้านของท่านลุงมีกี่คนรึ?”
“มีลูกชายสองคน รวมๆ แล้วก็เก้าชีวิต” สีหน้าของชายชราเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“แล้วมีที่นากี่ไร่รึ?” กู้ชิงฮั่นอย่างไรเสียก็เป็หญิง จะให้ไปนั่งยองๆ เช่นหยางหนิงก็คงจะไม่เหมาะ ทำได้แค่ยืนถามข้างๆ ชายชราเท่านั้น
ชายชรายกมือแล้วชี้ไปข้างหน้า “ที่นาของข้าก็คือตรงนี้ทั้งหมดแปดไร่”
กู้ชิงฮั่นพยักหน้า นางพอจะรู้คร่าวๆ เกี่ยวกับที่นี่ ตอนที่อดีตฮ่องเต้ประทานที่ดินศักดินาให้ ได้เลือกที่นาที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ทั้งหมดสามพันไร่ ชาวบ้านที่นี่สามารถมีที่นาได้หนึ่งไร่ขึ้นไป แต่อย่างน้อยจะต้องมีที่นาสี่ถึงห้าไร่ขึ้นไป จิงโจวถือเป็พื้นที่ปลูกข้าวที่ใหญ่ที่สุด ที่นี่มีที่นามาก ชาวบ้านที่นี่ ที่นามากสุดก็มีราวสิบกว่าไร่ น้อยสุดก็มีสี่ถึงห้าไร่
ชายชรามีที่นาถึงแปดไร่ ถือได้ว่าเป็ครอบครัวที่มีฐานะพอตัว
“ที่นาหนึ่งไร่ ได้ผลผลิตประมาณเท่าไหร่หรือ?” กู้ชิงฮั่นถามอย่างละเอียด
ชายชราไม่ได้คิดเลยว่ากู้ชิงฮั่นจะมีอย่างอื่นแฝงอยู่ด้วย คิดแค่ว่าพวกเขาสองคนผ่านมาแล้วเกิดสนใจเท่านั้น จึงอธิบายต่อว่า “สองปีที่ผ่านมานี้ฟ้าฝนเป็ใจ ผลผลิตก็ไม่ได้แย่ ข้ามีที่ดินแปดไร่ แต่ละไร่ก็น่าจะได้ข้าวประมาณสองสามกระสอบ”
หยางหนิงรู้ว่า ข้าวหนึ่งกระสอบก็น่าจะมีประมาณหกสิบกิโล หรือประมาณหนึ่งร้อยกิโล ชายชรามีผลผลิตสามร้อยกิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเทียบกับในยุคปัจจุบัน สามร้อยกรัมถือว่าน้อยยิ่งนัก แต่ว่าในยุคสมัยนี้ เนื่องจากข้อจำกัดในนวัตกรรม หนึ่งไร่สามารถได้สามร้อยกรัม ก็ถือว่าสูงมากแล้ว
“หากเป็เช่นนั้นแปดไร่ ในหนึ่งปีก็น่าจะได้ผลผลิตกว่ายี่สิบกระสอบใช่หรือไม่?” กู้ชิงฮั่นพูดว่า “ได้ยินมาว่าจิ่นอีโหวเก็บภาษีแค่สองส่วน แล้วพวกที่เหลืออยู่มีเท่าไหร่ น่าจะพอให้กินอิ่ม”
หยางหนิงยังคงพูดปกติเช่นเคย ในหนึ่งปีหักภาษีออกไปแล้ว ชายชราก็น่าจะยังเหลือผลผลิตราวสองพันกิโล ถึงแม้ในบ้านจะมีถึงเก้าคน แต่ก็น่าจะพอให้กินอิ่มนอนหลับได้สบาย
ชายชราถอนหายใจแล้วพูดว่า “หากเป็อย่างนั้น ก็ไม่ต้องมาคิดมากเื่กินเื่ใช้แล้ว”
“ท่านลุง ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นมองหน้ากัน แล้วรีบถามว่า “หรือว่าไม่ได้เป็เช่นนั้นรึ?”
ชายแก่ส่ายหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่พูดดีกว่า พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ตกลงพวกเ้าจะไปไหนกันรึ?”
กู้ชิงฮั่นรู้แล้วว่ามีปัญหาแน่ๆ ไม่มีทางไปง่ายๆ แน่นอน นางพูดกลับไปอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านลุง เห็นท่าทางของท่านแล้ว หรือว่าในปีหนึ่ง ท่านมีผลผลิตเหลือไม่ได้ขนาดนั้นหรือ?”
ชายชราเห็นท่าทางและน้ำเสียงอ่อนโยน ก็ยิ้มเจื่อนๆ ว่า “ปีหนึ่งได้ข้าวยี่สิบกระสอบ มันพอแน่นอนสำหรับบ้านเรา ประหยัดหน่อย ก็เพียงพอที่จะมีฐานะที่ดีได้ แต่ว่า... เฮ้อ แต่ในปีหนึ่ง เหลือไม่ถึงสิบกระสอบ คนในบ้านก็มาก ข้าวสวยกินน้อยหน่อย กินข้าวต้มมากขึ้นก็พอผ่านไปได้”
“เป็เช่นนี้ได้อย่างไร” กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้ว “ทำไมถึงได้เหลือเพียงสิบกระสอบเล่า?”
ชายแก่ยังไม่ทันได้พูด อีกด้านหนึ่งไม่ไกลนักก็มีการตีฆ้องดังขึ้น หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นมองไป เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังตีฆ้องร้องเสียงดังว่า “เ้าคนแซ่หลัวมาแล้ว ทุกคนกลับหมู่บ้านเร็ว เ้าคนแซ่หลัวมาแล้ว ทุกคนกลับหมู่บ้านเร็ว...!” เสียงของเขาดังกังวาน
ชายชราที่นั่งอยู่ขอบไร่ก็รีบลุกขึ้นมา แต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกหยางหนิงว่า “พวกเ้าออกจากหมู่บ้านไปก่อน ที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน” เขาไม่ได้พูดอะไรมาก จากนั้นก็วิ่งไปทางคนตีฆ้อง ไม่เพียงแค่เขา หยางหนิงกับกู้ชิงฮั่นเห็น ทุกคนที่อยู่ในไร่ต่างก็ถืออุปกรณ์ทำนา แล้ววิ่งไปที่คนตีฆ้อง
“ซานเหนียง เหมือนจะมีเื่ในหมู่บ้านเกิดขึ้น” หยางหนิงขมวดคิ้ว “เราไปดูกันดีกว่า”
สีหน้าของกู้ชิงฮั่นในตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อได้ยินหยางหนิงพูด ก็รีบพยักหน้า “เราไปดูกัน เ้าคนแซ่หลัวคือผู้ใดกัน? เหมือนพวกเขาจะวิ่งไปหาคนแซ่หลัวกันหมด”
เห็นกลุ่มชาวนารวมตัวกัน ตอนนี้ทุกคนต่างวิ่งไปที่ตีนเขา ไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ ราวกับว่าบ้านไฟไหม้