งานเลี้ยงในคืนนี้มีแขกจากนอกด่านผู้หนึ่ง ก็คือซือเยี่ย อายุสิบเจ็ดปี เขาอายุน้อยกว่าเหยียนชิงหนึ่งปี สูงพอๆ กับเหยียนชิง แต่ดูบอบบางและอ่อนแอกว่า มีผิวขาวเนียนเป็อย่างมาก ผิวขาวราวกับจะส่องแสงออกมาได้ ในยามที่สวมชุดสีขาวนวลเช่นตอนนี้ยิ่งขับผิวในงดงามราวกับหยก ผมยาวหยักศกเล็กน้อยถูกมัดด้วยผ้าผูกผมอย่างง่าย ๆ ริมฝีปากสีแดงและฟันขาวใส ใบหน้ามีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือดูมีความประณีตล้ำลึก งดงามจนแยกไม่ออกว่าเป็ชายหรือหญิง
หากไม่ใช่เพราะคิ้วดาบคู่หนาบวกกับน้ำเสียงในแบบชายหนุ่ม แค่เห็นหน้าคนก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็หญิงสาวแล้ว เมื่อมองลงไป กลับมีาแรุนแรงที่ลำคอซึ่งเสื้อผ้าไม่อาจปิดกั้นได้ ตรงด้านใต้ลูกกระเดือกยังคงมีรอยจางๆ เหยียนชิงนึกย้อนกลับไปหลังจากเห็นาแ
แม้ว่าในยามที่เหยียนลั่วแนะนำซือเยี่ยให้ทุกคนรู้จัก เหยียนลั่วได้เล่าไว้ว่าเขาเป็เด็กกำพร้าที่บิดามารดาเสียชีวิตลงจากเหตุการณ์โรคระบาดในเมืองชายแดน จะอยู่ในจวนตระกูลเหยียนสักพักจนกว่าจะพบที่พักพิงที่เหมาะสม แต่เมื่อครู่เว่ยซูหานบอกเขาว่าซือเยี่ยเป็เชลยของอ๋องฉางอันแห่งเมืองหนานฮั่นที่เหยียนลั่วช่วยชีวิตเอาไว้ ชายหนุ่มที่ทั้งหล่อและสวยผู้นี้มีตัวตนที่สูงส่งในต่างแคว้น
แต่เนื่องจากสามารถถูกส่งให้มาเป็เชลยได้ เกรงว่าในสถานการณ์จริงจะไม่ดีเท่ากับตัวตนที่เขาเป็ ดังนั้นหลังจากที่ซือเยี่ยได้รับการช่วยเหลือจากเหยียนลั่วแล้ว เขาจึงไม่สามารถจากไปได้ แม้ว่าเหยียนลั่วจะขู่ว่าจะส่งตัวเขาให้ตี้จวินเขาก็ไม่ยอมจากไป จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาเขากลับมาด้วย
อย่างไรก็ตามเว่ยซูหานได้เผยแพร่ข่าวออกไปแล้วว่าเชลยที่ส่งให้ อ๋องฉางอันได้เสียชีวิตลงไปแล้วเช่นเดียวกับอ๋องฉางอัน สิ่งนี้สามารถทำให้สถานการณ์มั่นคงได้ชั่วคราว
ไม่รู้ว่าสายตาของเหยียนชิงชัดเจนเกินไปหรือไม่ จึงทำให้ถูกซือเยี่ยสังเกตเห็นเข้า ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงข้ามจึงยิ้มให้เขาเล็กน้อย คิ้วคมดูมีความอ่อนโยน เป็การแสดงออกที่เขินอายเพื่อเอาใจเขา
เหยียนชิงมองไปยังรอยแผลเป็ตรงลำคอที่ดูตัดกับรอยยิ้มของเขาอย่างเห็นได้ชัด อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย าแเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง เด็กคนนี้พยายามฆ่าตัวตาย คนเราต้องรู้สึกสิ้นหวังมากเพียงใดถึงจะอยากฆ่าตัวตาย เหยียนชิงเข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้ง
ด้วยสถานการณ์นี้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้ซือเยี่ยอยู่ไปเถอะ
หลังอาหารเย็น เหยียนชิง เหยียนลั่ว และเว่ยซูหานร่วมกันหารือเกี่ยวกับการอาศัยอยู่ที่นี่ของซือเยี่ย เมื่อฮูหยินเหยียนเห็นซือเยี่ยแล้วก็รู้สึกลำบากใจ แต่ยังยอมตกลงโดยไม่พูดอะไร แค่แสร้งทำเป็ไม่รู้ตัวตนของซือเยี่ย แล้วปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็คนทั่วไป เื่อื่นค่อยว่ากันทีหลัง
สำหรับซือเยี่ยเพื่อที่จะตอบแทนบุญคุณที่เหยียนลั่วช่วยชีวิตเขาเอาไว้และเพื่อปิดหูปิดตา[1]ผู้คนแล้ว เขาแนะนำให้ตนเองเข้ามาเป็บ่าวรับใช้ของเหยียนลั่ว ต่อไปก็อาศัยอยู่กับเยี่ยหลานที่เรือนเซียวเหยาคอยรับใช้เหยียนลั่วในการใช้ชีวิตประจำวัน ประกอบกับครั้งนี้เยี่ยหลานมีบางอย่างที่ต้องไปจัดการจึงไม่ได้กลับมาพร้อมกับพวกเขา เหยียนลั่วจากจวนไปเป็เวลานาน และฮูหยินเหยียนก็ได้มอบหมายให้บ่าวรับใช้ที่เคยดูแลเหยียนลั่วมาก่อนไปทำอย่างอื่นแล้ว ในตอนนี้ก็ให้ซือเยี่ยทำไปก่อนชั่วคราว
ทุกคนไม่มีความเห็น ในเมื่อซือเย่ไม่สนใจเกี่ยวกับตัวตนของตนเองแล้วพวกเขาจะพูดอะไรได้อีก อีกทั้งนี้คือวิธีการปกปิดที่ดีที่สุด เนื่องจาก้าอยู่ในระยะยาว การเป็บ่าวรับใช้ย่อมต่ำต้อยกว่าการเป็แขก
มีเพียงใบหน้าของเหยียนลั่วเท่านั้นที่ไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากที่คิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วจึงทำได้เพียงยอมเห็นด้วย แต่เขากลับเตือนซือเยี่ยอย่างจริงจังว่าให้เขาอยู่อย่างสงบอย่าสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลเหยียน เดิมทีเขาไม่อยากพาซือเยี่ยกลับมาด้วย และท้ายที่สุดเขาไม่ใช่คนที่มีตัวตนสะอาดมากนัก คราวนี้ไม่รู้ความจริงที่ซือเยี่ยลงมือปลิดชีวิตตนเองจึงได้เข้าช่วยเหลือเอาไว้ เขาไม่้าสร้างกิ่งก้านสาขาที่ไม่ควรมี หากหลังจากนี้มีคนรู้เื่นี้เข้า ผู้ที่จะเดือดร้อนก็คือตระกูลเหยียน
เขาไม่สนว่าตนเองจะถูกลากลงไปหรือไม่ แต่คนในตระกูลคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขา
อย่างไรก็ตาม เขาไม่้าที่จะจัดการกับมัน แต่ไม่รู้ว่าเว่ยซูหานสูดลมแบบไหนเข้าไป[2] หลังจากได้ยินซือเยี่ยร้องไห้พูดถึงความอับอายจากการถูกจองจำก็เกิดความเห็นอกเห็นใจขึ้นมา ยืนกรานที่จะพาคนกลับมาด้วยโดยไม่ฟังคำเตือนของพี่ใหญ่อย่างเขาเลยสักนิด
สำหรับคำเตือนของเหยียนลั่ว ซือเยี่ยสัญญาว่า เขาจะก้มหัวลงแล้วมองด้วยสายตาที่เชื่อฟังและจะประพฤติตัวให้ดี เขาถูมือเบา ๆ พร้อมกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เหยียนชิงบังเอิญเหลือบไปเห็นรอยแผลเป็เก่าบนข้อมือของเขา รู้สึกเจ็บที่หัวใจขึ้นมาอีกครั้ง มองไปที่เว่ยซูหาน คนด้านหลังพยักหน้าให้เขาอย่างเข้าอกเข้าใจ นี่อาจเป็เหตุผลที่เว่ยซูหานรู้สึกสงสารซือเยี่ย อย่ามองแค่ว่าฮูหยินของเขาดูดีรูปงามเพียงเท่านั้น แม้เขาจะดูเฉยเมยไปบ้าง แต่เขาก็มีจิตใจที่อ่อนโยน
และแน่นอนว่าเขายังเข้าใจถึงความเฉยเมยของพี่ชายคนโตที่มีต่อซือเยี่ย ในฐานะบุตรชายคนโตของตระกูลเหยียน แม้พี่ใหญ่จะไม่รอบคอบ แต่ไม่ว่าในเวลาใดก็ตามความปลอดภัยของตระกูลและคนในตระกูลย่อมเป็สิ่งสำคัญเป็อันดับแรก เขาไม่้าที่จะสร้างปัญหาให้กับตระกูลเหยียน แต่ว่า เขาจะทำมันให้ดี ในชีวิตนี้ทุกคนจะต้องปลอดภัย โศกนาฏกรรมอย่างชีวิตก่อนหน้านี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก
คนเพียงไม่กี่คนอยู่ในห้องหนังสือเพื่อพูดคุยมากมายเกี่ยวกับเื่ของเมืองหนานฮั่น และยังมีประสบการณ์มากมายที่เหยียนลั่วได้รับจากการออกไปภายนอกในครั้งนี้ ในท้ายที่สุดพูดถึงการที่อิ้งหลีได้เป็ราชครูขององค์ชายก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้
โดยเฉพาะเว่ยซูหาน หลังจากรู้ว่าอิ้งหลีได้รับแต่งตั้งจากตี้จวินให้เป็ราชครูขององค์ชายก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคชะตาของชิงเอ๋อร์ ในชีวิตนี้ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็ของอิ้งหลีแล้ว ดีมาก หินก้อนใหญ่ในใจของเขาในที่สุดก็สามารถวางลงได้เสียที ในใจคิดว่าตี้จวินถูกใจอิ้งหลีเป็เื่ที่ดีที่สุด ความกังวลของเขาถูกขจัดออกไปโดยสิ้นเชิง
เหยียนชิงเห็นว่าฮูหยินของเขาจู่ ๆ ก็นึกดีใจขึ้นมา มีความสุขในเื่ของอิ้งหลี ไม่เข้าใจจิตใจที่ซับซ้อนของเขาเลยจริง ๆ
“ชิงเอ๋อร์ เ้าและข้าสองพี่น้องไม่ได้พบกันมานาน คืนนี้พระจันทร์สว่างไสว เหตุใดเ้าไม่อยู่คุยกับพี่ของเ้าแล้วดื่มสักสองสามจอกกันตามลำพังเล่า?”
หลังจากออกจากห้องหนังสือเหยียนลั่วชวนเขาด้วยรอยยิ้ม แค่คิดตามที่เขาพูด เว่ยซูหานก็ไม่พูดอะไรมาก แน่นอน เขายังคงประเมินต่ำไปว่าเว่ยซูหานสามารถอวดดีได้มากเพียงใด...
เหยียนชิงยังไม่ทันตอบกลับ คนที่ดึงเขาเอาไว้ก็พูดขึ้นมาว่า
“พี่ใหญ่หลังจากเดินทางไกลจนเหนื่อยไปทั้งตัวท่านยังต้องพักผ่อนให้มากนะขอรับ การพูดคุยเอาไว้พรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ในค่ำคืนที่เงียบสงบเช่นนี้ ข้าไม่ได้พบชิงเอ๋อร์มานานแล้ว หวังว่าพี่ใหญ่จะเข้าใจถึงความไม่สะดวกของคนที่แต่งงานแล้วนะขอรับ”
ใช้คำพูดที่ละเอียดอ่อน แต่มีความหมายตรงไปตรงมา สิ่งนี้ทำให้เหยียนชิงหยิกเขาซ้ำ ๆ เหยียนลั่วที่ผ่านลมวสันต์มาอย่างยาวนานใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็ย่อมเข้าใจถึงความหมายของเขาได้ จึงพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะดับไฟ ถูกเขาพูดเช่นนั้นใส่จึงรู้สึกว่าตนเองราวกับเป็คนโง่เง่าที่ไร้สมอง
ดีมาก อย่ารอช้าที่จะพบเขาข้างนอก เพราะเมื่อเขากลับมาที่จวนตระกูลเหยียนแล้วจะต้องรู้สึกเกรงใจที่จะวิ่งเข้าหาเขา ภรรยาชายของน้องชายผู้นี้ช่างเกรงใจกันเหลือเกิน!
ใบหน้าของเหยียนชิงเปลี่ยนเป็สีแดง ทำเพียงมองดูเหยียนลั่วและเว่ยซูหานจ้องตากันเท่านั้น ซือเยี่ยที่ก้มหน้าเดินตามอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เหยียนลั่วโกรธมากจนรู้สึกแน่นหน้าอก แต่เมื่อมองเหยียนชิงที่กำลังเขินอายก็ยังเลือกที่จะถอยกลับ โบกมือแล้วพูดว่า
“เป็ข้าที่ไม่คิดให้รอบคอบ หวังว่าน้องสะใภ้จะให้อภัย เช่นนั้นพี่ไม่รบกวนแล้ว”
พูดจบก็โบกมือแล้วเดินจากไป ซือเยี่ยที่เดินตาม หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเว่ยซูหานด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ระหว่างทางเขาได้สอบถามกับหลินชวนมามากมายถึงต้นเหตุของการพัวพันระหว่างเว่ยซูหานกับเหยียนลั่ว เขารู้ความจริงถึงแปดเก้าส่วน อย่างไรก็ตามหลังจากมาถึงจวนตระกูลเหยียนแล้วก็ได้เห็นเื่น่าประหลาดใจที่เหยียนชิงเอาอกเอาใจเว่ยซูหาน
ว่ากันว่าแตงที่ฝืนเด็ดจากต้นจะไม่หวาน แต่คู่นี้กลับหวานมาก
ไม่ว่าจะเป็ที่ไหน ภรรยาชายล้วนไม่เป็ที่น่าพอใจ เดิมทีเขาคิดว่าการที่เว่ยซูหานดีกว่าผู้อื่นคงเป็เพราะสถานะดั้งเดิมและความสามารถของเขา แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีอำนาจถึงเพียงนี้ ในทางกลับกันเหยียนชิงผู้มีฐานะเป็ทายาทสายตรง ผู้นำในอนาคตของตระกูลเหยียน กลับดูเหมือนเป็ลูกสะใภ้ตัวน้อยที่มีสีหน้าเขินอายพร้อมกับขมวดคิ้วอยู่ในอ้อมแขนของเว่ยซูหาน
เชิงอรรถ
[1] ปิดหูปิดตา (掩人耳目) อุปมาถึงการสร้างความสับสนและหลอกลวงผู้อื่นด้วยภาพลวงตา
[2] ไม่รู้ว่าสูดลมแบบไหนเข้าไป (抽什么风) หมายถึงพฤติกรรมของผู้คนที่ผิดปกติและเข้าใจยาก ส่วนมากจะแปลว่าคุณบ้าหรือเปล่า
