ราวกับว่า่เวลาอันไกลโพ้นได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง หลายปีก่อน เซียวเหยียนถูกเหล่าสนมของบิดาข่มเหง และเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาอาศัยอยู่ที่ชายแดน จากนั้นเขาก็แทบจะกลายเป็คนไร้ตัวตน ผู้คนมากมายเห็นเขาเป็แค่ขอทานตัวเล็กๆ ที่ไม่มีที่มาที่ไป
อย่างไรก็ตามอ๋องอวิ๋นเมิ่งกลับซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เขา
เขาไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
เขาอาศัยอยู่ที่ชายแดน ซึ่งตั้งอยู่บนเขตแดนที่ค่อนข้างไม่สงบของเมืองหวยโจว
แต่อ๋องอวิ๋นเมิ่งผู้นี้กลับเปิดเผยตัวตนกับเขาอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังดูแลเขาเป็อย่างดี
ตอนนั้นเซียวเหยียนยังไร้เดียงสา เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง เหตุใดแม่ทัพที่มีชื่อเสียงที่สุดจึงยื่นมือช่วยเหลือองค์ชายจากแคว้นศัตรู?
“อย่ากลัวเลย ข้าชื่ออวิ๋นเซียว ข้าไม่ชอบเป็ศัตรูกับเด็กๆ เช่นเ้า”
ใช่แล้ว คู่ต่อสู้ของเขาคือทหารม้าเกราะเหล็กแห่งซินหลัว
เซียวเหยียนรู้สึกประหลาดใจแต่ยังคอยติดตามอยู่ข้างกายของชายผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นเสมอ เขามีโอกาสได้เห็นชีวิตความเป็อยู่ของอ๋องอวิ๋นเมิ่ง ใจหนึ่งเขาก็เต็มไปด้วยความเทิดทูน ส่วนอีกใจก็หวาดกลัวว่าวันหนึ่งแม่ทัพผู้แข็งแกร่งจะฆ่าเขาที่เป็ทายาทของศัตรู
จนกระทั่งวันหนึ่งแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เมามายอยู่ในจวนของตัวเอง
นั่นเป็ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เซียวเหยียนเห็นอ๋องอวิ๋นเมิ่งหมดสภาพความเป็แม่ทัพผู้เกรียงไกร
“เหวินฮวาจะไม่มีทางรู้ตลอดชีวิตว่านางคือลูกสาวของข้า ลูกสาวเพียงคนเดียวของข้า”
“ข้าเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว เซียวเหยียนครั้งนี้ข้าต้องต่อสู้กับแม่ทัพของแคว้นซินหลัวที่ชายแดนเมืองหวยโจว ข้าเกรงว่าข้าจะไม่สามารถปกป้องเ้าได้ เ้าหนีไปเถอะ ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”
“อาว่าน ข้าคิดถึงเ้าเหลือเกิน”
เขากล่าวสามประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
สามวันต่อมา อ๋องอวิ๋นเมิ่งสิ้นพระชนม์ในสนามรบ
การต่อสู้ครั้งนั้นอวิ๋นเมิ่งเป็ฝ่ายพ่ายแพ้
หลังจากนั้นแม่ทัพเจิ้นหนานก็ถูกย้ายจากเมืองอวิ๋นเมิ่งมาประจำการที่ชายแดน
หลายปีหลังจากนั้นซินหลัวและอวิ๋นเมิ่งก็ต่อสู้กันหลายครั้ง ทั้งศึกใหญ่และเล็ก โดยผลลัพธ์ก็แตกต่างกันไป
จนกระทั่งปีที่สิบสองของรัชศกเฉิงกวง เย่เช่อบุตรชายของเย่เซียงและหลานชายของแม่ทัพเจิ้นหนานได้ขับไล่ทหารของซินหลัวที่ชายแดนหวยโจวออกไปและบุกยึดเมืองหลายสิบแห่งในซินหลัว ซินหลัวจึงส่งคนไปยังอวิ๋นเมิ่งเพื่อเจรจาสงบศึก ตำนานเกี่ยวกับอ๋องอวิ๋นเมิ่งจึงค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา
อ๋องอวิ๋นเมิ่งถูกกำหนดให้กลายเป็ตำนาน
ไม่ว่าจะเป็ในอวิ๋นเมิ่งหรือซินหลัว เมื่อคนส่วนใหญ่กล่าวถึงอ๋องอวิ๋นเมิ่งก็มักเป็คำชม เพราะเขาอุทิศทั้งชีวิตให้กับทหารนับล้านที่ชายแดน
เทพาที่มีจิตใจเมตตาย่อมควรค่าแก่การชื่นชม
ความคิดของเซียวเหยียนหยุดชะงักเมื่อเห็นสายตาที่ครุ่นคิดของหญิงสาวตรงหน้า เขายิ้มบางๆ และกล่าวว่า “แน่นอนเ้าย่อมรู้อยู่แล้ว เหตุใดเ้าถึงพยายามหลีกเลี่ยงมัน?”
อวิ๋นจื่อไม่ตอบแต่กลับกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ข้าจะรู้หรือไม่ย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับเ้า เซียวเหยียนเ้ากลับไปเถอะ”
บรรยากาศระหว่างทั้งสองค่อนข้างเ็า
เซียวเหยียนรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขามองอวิ๋นจื่อด้วยดวงตาที่ลุกโชน “ไม่สำคัญว่าตอนนี้เ้าจะพูดอะไร บางทีครั้งหน้าที่เราพบกัน เราทั้งคู่อาจอยู่ที่ตำหนักเหวินฮวาก็เป็ได้”
หลังจากเซียวเหยียนพูดจบ ร่างของเขาก็หายไป
อวิ๋นจื่อดึงสติของตัวเองกลับมาอีกครั้ง นางส่งเสียงเรียกเซียวเหยียน
แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ
อวิ๋นจื่อรู้สึกงุนงงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นนางก็ส่งเสียงเรียกหงหลิงและบอกอีกฝ่ายให้เช็ดหน้าให้นาง
ขณะที่หงหลิงบิดผ้าเช็ดหน้า เสียงของอวิ๋นจื่อก็ดังขึ้น
“หงหลิง นายเก่าของเ้าเป็คนแบบใด?”
ขณะที่กำลังเช็ดหน้าให้กับนายหญิงอย่างแ่เบา หงหลิงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เหตุใดจู่ๆ คุณหนูถึงถามเื่นี้? ตอนอยู่ที่ชายแดนท่านอ๋องของเรายิ่งใหญ่และมีเกียรติมาก ถ้าไม่ใช่เพราะา ท่านอ๋องอาจยังมีชีวิตอยู่จวบจนปัจจุบัน”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นจื่อก็หวนนึกถึงเหตุการณ์บางอย่าง
นางไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัชศกเทียนโหย่วมากนัก ตอนที่นางทานขนมและดื่มชาในห้องทรงอักษร เหตุการณ์สำคัญใน่เวลานั้นที่เสด็จพ่อกล่าวถึงมักเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาตามประสาเด็ก ปัญหาเกี่ยวกับาชายแดนดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด แถมยังมีเื่ขององค์ชายที่ทำผิดศีลธรรม ทำให้วันที่หนึ่งเดือนหนึ่งของทุกปีราชวงศ์ต้องทำพิธีบวงสรวง์ที่วิหารบนูเาเทียนไถ ตอนนั้นนางยังเด็ก นางจึงไม่ค่อยเข้าใจนัก และเสด็จพ่อก็ดูเหมือนจะไม่สนใจด้วยว่านางจะตั้งใจฟังหรือไม่ เขาเพียงปล่อยให้นางวิ่งเล่นในห้องทรงอักษร
ทันใดนั้นหัวใจของอวิ๋นจื่อเหมือนถูกแทงด้วยอะไรบางอย่าง “องค์ชายที่ทำผิดศีลธรรม” ถ้อยคำนี้ผุดขึ้นในความคิดของนาง
ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน
เสด็จอาได้รับตำแหน่งอ๋องอวิ๋นเมิ่งในปีที่สามสิบสองของรัชศกเทียนโหย่ว และถ้านางจำไม่ผิด มีการบันทึกไว้ว่าเสด็จอาได้รับตำแหน่งรัชทายาทในปีที่ยี่สิบแปดของรัชศกเทียนโหย่ว
อย่างไรก็ตาม ในปีที่สามสิบแปดของรัชศกเทียนโหย่ว เสด็จอาได้สิ้นพระชนม์ในสนามรบ
องค์ชายในรัชศกเทียนโหย่วหรืออดีตไท่จื่ออวิ๋นเมิ่งก็คือเสด็จอานั่นเอง!
เสด็จแม่ที่จะได้แต่งเป็ไท่จือเฟยในไท่จื่ออวิ๋นเมิ่งจึงต้องแต่งให้ไท่จื่อคนใหม่
เดิมทีอวิ๋นจื่อ้าซ่อนเื่ราวเหล่านี้ไว้ลึกที่สุด แต่หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ นางก็ดูเหมือนจะมีมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม
อวิ๋นจื่อจำได้ว่าภายหลังมีการบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ว่า “ในรัชศกเทียนโหย่ว องค์ชายอวิ๋นเมิ่งสิ้นพระชนม์ องค์ชายอีกคนจึงรับตำแหน่งไท่จื่อแห่งตำหนักบูรพา” สิ่งที่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนดูเหมือนจะได้รับการเปิดเผยแล้วในเวลานี้
หงหลิงเช็ดหน้าให้อวิ๋นจื่ออย่างเอาใจใส่ ท่าทางของนางเหมือนกับจินเหนียงมาก นี่ทำให้อวิ๋นจื่อรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย นางถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เ้าอยู่กับเสด็จอามาหลายปีแล้วหรือ?”
หงหลิงกล่าวอย่างมีความสุข “ข้าพบท่านอ๋องที่เมืองฉินโจวในปีที่ยี่สิบหกของรัชศกเทียนโหย่ว ข้าจึงติดตามพระองค์ั้แ่นั้นเป็ต้นมา”
“เมืองฉินโจว” เป็ชื่อที่ฟังดูอบอุ่นและนุ่มนวลจนทำให้ดวงตาของอวิ๋นจื่อชื้นขึ้นเล็กน้อย นางสงบสติอารมณ์สักครู่ก่อนจะกล่าวว่า “เรียกหงจินมาหาข้าที”
ทันทีที่หงจินเข้ามาอวิ๋นจื่อก็กล่าวว่า
“หงจิน ส่งข่าวหาประมุขตระกูลมู่ว่าข้าอยากพบนาง”
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ อวิ๋นจื่อรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ไม่แน่ว่าอาจเป็เพราะการตายของจินเหนียง นางจึงรู้สึกตื่นตระหนกมากกว่าเดิม
หวังฉีอวิ๋นที่แวะมาหาต้องเรียกอยู่หลายครั้งกว่าอวิ๋นจื่อจะรู้ตัว นางรีบกล่าวขอโทษด้วยรอยยิ้ม
หวังฉีอวิ๋นถามไถ่นางเล็กน้อย เพราะอยากรู้ว่าหญิงสาวสองคนนั้นไว้ใจได้หรือไม่ อวิ๋นจื่ออธิบายความเป็มาของพวกนาง และถามด้วยรอยยิ้มว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
จากนั้นหวังฉีอวิ๋นก็ผุดรอยยิ้มที่ดูลึกลับและกล่าวว่า “พิธีประชันสาวงามที่หอจุ้ยฮวนกำลังจะมาถึงในไม่ช้า ครั้งนี้ข้า้าให้เ้าเป็ตัวแทนของศาลาฉีอวิ๋น”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้