ดวงตาขององค์ชายใหญ่จ้าวหยางวาบประกายแสงชั่วร้ายพลางครุ่นคิดในใจ
จ่านเฉินมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือก เขาเองก็ไม่นึกว่าคนไร้ค่าขั้นรวมชี่จะเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้แล้วเข้าสิบอันดับแรกของงานชุมนุมหวงปั่งได้ แต่สิ่งที่ทำให้จ่านเฉินรับไม่ได้คือท่าทีที่ผู้าุโเฉียนมีต่อเย่เฟิง ทุกครั้งที่ผู้าุโเฉียนเอ่ยปากชมเย่เฟิง จ่านเฉินก็ยิ่งรับไม่ได้
อีกสองศึกสุดท้ายจบลง ดังนั้นรายชื่อของผู้เข้ารอบสิบอันดับแรกของงานชุมนุมหวงปั่งจึงได้ปรากฏขึ้น นั่นคือโอวหยางเจิน จ้าวซิง ต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ มู่เยี่ยน ยวี่ม่อ เย่เฟิง ลู่เฟิง ฉวยเถี่ยจู้ อีชิ่นเสวี่ย และฟางอวิ๋นเฮ่อ
สิบคนนี้คือผู้โดดเด่นและเก่งกาจที่สุดในบรรดาอัจฉริยะทั่วทั้งอาณาจักรจ้าว อย่างเช่น ฉวนเถี่ยจู้อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลฉวนแห่งเมืองหลวง อายุเพียง 18 ปีก็บรรลุขั้นยุทธ์แท้ เขามีพละกำลังมหาศาล ในการวัดพลังรอบที่หนึ่ง เขาก็อาศัยพลังกายอันแกร่งกล้าทำให้ไฟบนหินวัดพลังสว่างทั้งหมดแปดดวง ถือได้ว่านอกจากเย่เฟิงนั่น ยังเป็อีกหนึ่งคนที่ทำให้ไฟสว่างแปดดวงได้
เมื่อครู่นี้ฉวนเถี่ยจู้อาศัยพลังแกร่งกล้าเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 9 ในรายนามเทียนกัง เข้าสู่สิบอันดับแรกแห่งงานชุมนุมหวงปั่ง ถือว่ากลายเป็ม้ามืดคนหนึ่ง ซึ่งนอกจากฉวนเถี่ยจู้แล้ว ลู่เฟิง อีชิ่นเสวี่ย และฟางอวิ๋นเฮ่อก็ยังมีฝีมือร้ายกาจ
ลู่เฟิงเชี่ยวชาญทักษะดาบ เป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลลู่ เขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 อำนาจดาบก็บรรลุขั้นผันแปร่ต้นแล้ว เขาจึงเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 10 ในรายนามเฟิงอวิ๋น และเข้าสิบอันดับแรกของงานชุมนุมหวงปั่ง
อีชิ่นเสวี่ยคือหญิงสาวหนึ่งเดียวในสิบอันดับแรกครั้งนี้ นางสวมอาภรณ์สีขาว หน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลดุจหิมะ ร่างอรชรอ้อนแอ้น สิ่งที่นางเชี่ยวชาญคือพลังน้ำแข็ง นางสามารถผนึกน้ำแข็งได้ในความคิดเดียว และยังอยู่ขั้นยุทธ์แท้เช่นเดียวกัน
ฟางอวิ๋นเฮ่อร้ายกาจไม่แพ้กัน เขาว่องไวและแม่นยำ มักจะทำให้คู่ต่อสู้ของเขาคาดเดาตำแหน่งของเขาได้ยาก เขาจึงชนะได้อย่างง่ายดาย
“รอบต่อไปจะเป็การคัดออก โดยใช้วิธีจับสลากเป็สามกลุ่ม ทุกกลุ่มจะมีสามคน แต่มีหนึ่งคนจะได้เข้ารอบต่อไปทันที สามคนในกลุ่มที่จับสลากได้จะต้องสู้กันเอง ผู้ชนะในแต่ละกลุ่มจะเป็ผู้เข้ารอบ ซึ่งมีทั้งหมดสี่คนที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย”
ขุนนางใหญ่ผู้ดำเนินการอธิบายกฎในการแข่งขันรอบนี้ ยิ่งถึงการแข่งขันรอบสุดท้าย การต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือด อีกอย่างในสิบคนนี้ไม่มีใครที่อ่อนแอเลยสักคน ไม่ว่าใครสู้กับใครก็ล้วนเป็บททดสอบอันใหญ่หลวง
ผู้คนที่ชมอยู่บนอัฒจันทร์ต่างดูตื่นเต้น พวกเขาเริ่มคาดเดาเกี่ยวกับการจัดอันดับครั้งสุดท้าย ซึ่งไม่นานนักการจับสลากก็เสร็จสิ้น
ผลลัพธ์คือกลุ่มที่หนึ่งมีโอวหยางเจิน ฟางอวิ๋นเฮ่อ และลู่เฟิง กลุ่มที่สองมีเย่เฟิง มู่เยี่ยน และอีชิ่นเสวี่ย กลุ่มที่สามมีต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ ยวี่ม่อ ฉวนเถี่ยจู้ ส่วนจ้าวซิงได้เข้ารอบต่อไปในทันที
“น่าสนใจ น่าสนใจยิ่งนัก!” หลังจากรู้ผลการจับสลาก หลาย ๆ คนก็เผยสีหน้าสนใจขึ้นมา
แต่ก็มีบางคนเริ่มคาดเดาชื่อสี่คนที่จะผ่านเข้ารอบสุดท้าย จู่ ๆ ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “กลุ่มแรก พลังของโอวหยางเจินไม่เป็ที่กังขา ส่วนฟางอวิ๋นเฮ่อกับลู่เฟิงแม้จะเก่ง แต่ก็ไม่มีทางสู้กับโอวหยางเจินได้ โอวหยางเจินน่าจะชนะสองศึกแล้วผ่านเข้ารอบได้อย่างง่ายดาย กลุ่มสองค่อนข้างละเอียดอ่อน ก่อนหน้านี้เย่เฟิงเอาชนะได้แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ถึงสองคน มู่เยี่ยนก็มีฝีมือเก่งกาจ ส่วนอีชิ่นเสวี่ยดูเหมือนจะด้อยกว่าเย่เฟิงกับมู่เยี่ยน ระหว่างเย่เฟิงกับมู่เยี่ยน ข้าเดาว่ามู่เยี่ยนชนะ เขาเป็ถึงผู้บัญชาการองครักษ์หลวง พลังย่อมไม่ใช่สิ่งที่เย่เฟิงจะทัดเทียม ดังนั้นคนที่จะผ่านเข้ารอบสุดท้ายในกลุ่มสองน่าจะเป็มู่เยี่ยน ส่วนรูปแบบของกลุ่มสามชัดเจนมาก ต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่แข็งแกร่งกว่าฉวนเถี่ยจู้และยวี่ม่อมาก เช่นนั้นคนที่จะผ่านเข้ารอบต้องเป็เขาอย่างแน่นอน”
ผ่านการวิเคราะห์ของผู้คน ผลที่ออกมาคือสี่คนที่จะผ่านเข้ารอบสุดท้าย ได้แก่ โอวหยางเจิน มู่เยี่ยน ต้าเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ และจ้าวซิง สี่คนนี้ต่างได้รับการยอมรับจากผู้คนมากมาย ทั้งยังอยู่อันดับต้น ๆ ในรายนามเฟิงอวิ๋น หากผ่านศึกคัดออกนี้ไปได้ก็ถือว่าเป็เื่ปกติ
เมื่อเหล่าผู้ฝึกยุทธ์สำนักศึกษาเสินเจียงเห็นเย่เฟิงจับกลุ่มได้มู่เยี่ยนต่างก็เหยียดยิ้ม พวกเขาอยากให้มู่เยี่ยนสั่งสอนเย่เฟิงหนัก ๆ ขณะนั้นมู่เยี่ยนยิ้มหยันแล้วกล่าวกับเย่เฟิงว่า “ในที่สุดเ้ากับข้าก็ได้เจอกันเสียที ข้าจะทำให้เ้ารู้ถึงความห่างชั้นระหว่างเรา และด้วยพลังของเ้าก็ไม่คู่ควรอยู่ใกล้องค์หญิง!”
น้ำเสียงของมู่เยี่ยนดูกระตือรือร้นอย่างมาก เพราะเขารอคอยเวลาที่จะได้สั่งสอนเย่เฟิงมานานแล้ว บัดนี้เขากับเย่เฟิงจับสลากได้อยู่กลุ่มเดียวกัน พอนึกถึงภาพฉากสั่งสอนเย่เฟิงบนเวที มู่เยี่ยนก็อดตื่นเต้นดีใจไม่ได้
จ้าวซินอี๋คือนางในดวงใจของมู่เยี่ยน แม้ทางอาณาจักรเว่ยจะมาสู่ขอถึงที่นี่ แต่มู่เยี่ยนก็ไม่ยอมปล่อยจ้าวซินอี๋ไปง่าย ๆ และไม่อนุญาตให้เย่เฟิงอยู่ใกล้นางเด็ดขาด
“วาจาโอหัง แล้วเจอกันที่เวทีประลอง!” เย่เฟิงแสยะยิ้ม ดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวมู่เยี่ยนเลยสักนิด
“จะตายอยู่รอมร่อก็ยังปากดีแบบนี้ รนหาที่ตายเสียจริง!” ผู้าุโใหญ่อวิ๋นซื่อเทียนกล่าว
“ผู้าุโอวิ๋น เด็กคนนี้โอหังนัก อีกเดี๋ยวท่านกำชับมู่เยี่ยนให้สั่งสอนเย่เฟิงหนัก ๆ เลย!” ผู้าุโใหญ่โม่ไห่เฟิงกล่าวกับอวิ๋นซื่อเทียน
“แน่นอนอยู่แล้ว” อวิ๋นซื่อเทียนพยักหน้า ทั้งสองต่างยิ้มกริ่มให้กัน และยังเห็นความเย็นเยือกในดวงตาของทั้งสองฝ่าย
ไม่นานนักการประลองก็เริ่มขึ้น ฟางอวิ๋นเฮ่อและลู่เฟิงจากกลุ่มหนึ่งสู้กัน ทั้งสองต่างมีความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะได้เข้ารอบต่อไป แต่ใครเข้าสิบอันดับแรกได้ ทั้งสองก็ภาคภูมิใจในตัวเองแล้ว เพราะเหตุนี้ทั้งสองจึงต่อสู้กันอย่างดุเดือด เพื่อสำแดงศักยภาพของตนออกมา เพียงพริบตาก็ผ่านไปหลายสิบกระบวนท่า
ฟางอวิ๋นเฮ่อเคลื่อนไหวด้วยความว่องไว การโจมตีแต่ละครั้งถือได้ว่าลึกลับซับซ้อน ซึ่งเขาว่องไวจนลู่เฟิงตามไม่ทัน แต่ดาบของลู่เฟิงแม่นยำและอำนาจดาบยังอยู่ขั้นผันแปร ทุกครั้งที่กวัดแกว่งดาบจะสำแดงพลังอันน่าทึ่ง อีกอย่างความรู้ที่ลู่เฟิงมีต่อดาบก็ยังลึกซึ้ง เรียกได้ว่าเป็นักดาบคนหนึ่งที่มากความสามารถเลยทีเดียว และในฐานะนักดาบก็ย่อมมีประสาทััล้ำเลิศ แต่ในสถานการณ์ที่ฟางอวิ๋นเฮ่อว่องไวกว่า ลู่เฟิงจึงอาศัยประสาทััของตนหลบหลีกการโจมตีของฟางอวิ๋นเฮ่อ และรอคอยจังหวะลงมือ
“ชิ้ง!” หลังจากรอคอยมาสักพัก ในที่สุดลู่เฟิงก็ลืมตาขึ้นพร้อมกวัดแกว่งดาบ พลันรังสีดาบสว่างจ้า
“อ้าก!” ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องดังขึ้น ฟางอวิ๋นเฮ่อถูกฟันจนล้มลงกับพื้น บริเวณหน้าอกของเขายังปรากฏรอยเืเป็ทางยาว พร้อมกับมีเืไหลออกมา
“ขอบคุณที่ยั้งมือ!” ฟางอวิ๋นเฮ่อลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าย่ำแย่พร้อมคำนับลู่เฟิง เขารู้ว่าหากลู่เฟิงไม่ยั้งมือ ดาบนี้คงคร่าชีวิตของเขาไปแล้ว
เมื่อเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลลู่เห็นฉากนี้ต่างก็จิตใจฮึกเหิม อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลลู่ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังจริง ๆ
“ความรู้ที่ลู่เฟิงมีต่อดาบลึกซึ้งมาก อายุแค่ 17 ปี อำนาจดาบก็บรรลุขั้นผันแปร่ต้นแล้ว หากบ่มเพาะให้ดี ๆ ภายภาคหน้าต้องนักดาบมากฝีมือแน่นอน!” บนอัฒจันทร์หลัก มีนักดาบผู้หนึ่งกล่าวพลางลูบเคราของตน เหมือนสนใจลู่เฟิง คนผู้นี้มีนามว่าเจี้ยนหลัน เป็นักดาบมากฝีมือคนหนึ่งของอาณาจักรจ้าว ระดับตบะคือจุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ อำนาจดาบก็บรรลุขั้นกายาแล้ว
อำนาจคือพลังประเภทหนึ่งที่เกิดจากความเข้าใจของผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อมีพลังแห่งอำนาจก็สามารถยกระดับพลังโจมตีและพลังป้องกันได้ แต่เมื่อบรรลุอำนาจอย่างแท้จริง พลังที่สำแดงออกมาจะเหนือกว่าพลังของตัวผู้ฝึกยุทธ์หลายพันหลายร้อยเท่า ซึ่งอำนาจแบ่งออกเป็ขั้นพื้นฐาน ขั้นผันแปล ขั้นกายา ขั้นจิต ขั้นิญญา และทุกขั้นจะแบ่งออกเป็่ต้น ่กลาง ่ปลาย
เช่นเดียวกับเย่เฟิง เขามีอำนาจสองประเภทก็คืออำนาจหอกและอำนาจฟ้าดิน ซ้ำยังบรรลุขั้นผันแปร่ปลายแล้วทั้งสิ้น
ต้องทราบก่อนว่ายอดฝีมือที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้อย่างเจี้ยนหลันและอำนาจดาบยังอยู่ขั้นกายา เขาถือว่าเป็ปรมาจารย์แห่งดาบที่มีชื่อเสียงของอาณาจักรจ้าว
ส่วนเย่เฟิง อำนาจทั้งสองของเขาบรรลุขั้นผันแปร่ปลายตอนอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 5 ลองไตร่ตรองดูได้เลยว่าสติปัญญาจะน่ากลัวมากเพียงใด ซึ่งเขามีอำนาจสองประเภทที่บรรลุขั้นผันแปร่ปลาย มีคุณสมบัติร่างพลังเก้าธาตุ ร่างกายได้รับการชำระล้างจากสองเคล็ดวิชาบ่มเพาะกายา ได้ฝึกเคล็ดวิชาท่าร่างที่น่าอัศจรรย์อย่างย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ มีเก้าวัชรหุนหยวนที่เหนือธรรมชาติ และวิชากลมาร คนประเภทนี้หากบอกว่าเขาอ่อนแอ เกรงว่าคงจะไม่มีใครเชื่อ
ขณะนั้นเจี้ยนหลันหันไปมองลู่เฟิง ก่อนจะกล่าวว่า “เ้ายินดีเป็ลูกศิษย์และร่วมศึกษาค้นคว้าวิถีแห่งดาบกับข้าหรือไม่?”
เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ผู้าุโคนหนึ่งของตระกูลลู่เผยสีหน้าปลื้มปีติ ก่อนจะกล่าวกับลู่เฟิงว่า “ลู่เฟิงยังไม่รีบคารวะท่านปรมาจารย์เจี้ยนหลันอีก!”
“คารวะปรมาจารย์เจี้ยนหลัน ผู้น้อยยินดีเป็ลูกศิษย์ของท่าน” ลู่เฟิงรีบทำความเคารพเจี้ยนหลันอย่างรวดเร็ว ฉากนี้ทำให้หลาย ๆ คนในที่แห่งนั้นอิจฉาริษยา เจี้ยนหลันนั้นเป็บุคคลมีชื่อเสียงและฐานะสูงส่ง การที่คารวะเป็ศิษย์ของเขาได้ก็เท่ากับว่าได้เปิดทางให้อนาคตของตัวเองแล้ว และอนาคตจะต้องรุ่งเรืองอย่างแน่นอน
ผู้คนที่เข้าร่วมงานชุมนุมหวงปั่งหลายครั้งต่างทราบกันดีว่า งานชุมนุมหวงปั่งไม่เพียงแต่เป็บททดสอบของคนรุ่นเยาว์แห่งอาณาจักรจ้าว แต่ยังเป็เวทีหนึ่งที่สำนักดัง ๆ จะเลือกศิษย์เข้าสำนักของตน
งานชุมนุมหวงปั่งทุกครั้งจะมีผู้มากความสามารถรับลูกศิษย์ไปหลายคน เช่นเดียวกับผู้าุโเฉียนจากสำนักชิงอวิ๋น เขาได้รับความไว้วางใจจากเ้าสำนักให้มาเข้าร่วมงานนี้เพื่อค้นหาคนรุ่นเยาว์มากพร์และมีฝีมือเก่งกาจเข้าเป็ศิษย์สำนักชิงอวิ๋น
นี่คือสาเหตุหนึ่งที่คนรุ่นเยาว์บางคนพยายามแสดงฝีมือของตนในเวทีงานชุมนุมหวงปั่ง หากตนเองถูกผู้มากความสามารถให้ความสนใจและรับเป็ศิษย์ ภายภาคหน้าอาจจะมีอนาคตที่สดใสและรุ่งเรือง
จบศึกของลู่เฟิงและฟางอวิ๋นเฮ่อ ก็ถึงตาของเย่เฟิง ซึ่งคู่ต่อสู้ของเขาคืออีชิ่นเสวี่ย ทั้งสองเดินขึ้นเวที แต่อีชิ่นเสวี่ยเป็ฝ่ายโจมตีเย่เฟิงก่อน นางวาดฝ่ามือโจมตีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พร้อมกับมีไอเย็นพวยพุ่งออกมา ก่อนจะเข้าปกคลุมร่างเย่เฟิงในพริบตา
“พลังน้ำแข็งของหญิงผู้นี้แกร่งมาก ดูเหมือนจะบรรลุขั้นผันแปร่ต้นแล้ว!”
เย่เฟิงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะตัดสินระดับพลังของอีชิ่นเสวี่ยได้ในทันทีทันใด
