หากบอกว่าเื่ที่จิ่งเหวินซานทำแล้วรู้สึกเสียใจภายหลังที่สุดในชีวิตนี้คืออะไร นั่นก็ต้องเป็การจัดงานประลองยุทธ์นี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความมืดครึ้มราวกับเมฆดำที่เคลื่อนมารวมตัวกันก่อนที่ฝนจะตก และพร้อมจะผ่าเปรี้ยงลงมาได้ตลอดเวลาของจิ่งเฟิงกั๋ว ส่วนคนที่ยืนอยู่ใต้สายฟ้านั่นก็ต้องเป็จิ่งเหวินซานอย่างไม่ต้องสงสัย
หากไม่ใช่ว่าตอนนี้มีเื่มากมายให้ต้องจัดการจนเขาไม่อาจไม่ยืนหยัดต่อได้ เขาก็อยากจะเป็ลมเพราะความโกรธไปให้เสียรู้แล้วรู้รอด
หากว่าเฉินหวางสองตระกูลนี้ไม่ยอมเลิกรา เช่นนั้นตระกูลจิ่งก็ต้องถูกผลักไปอยู่บนปากคลื่นปากพายุแล้ว หลังจากนั้นก็จะถูกพวกสิงสาราสัตว์ชั่วร้ายถือโอกาสบุกเข้ามา รุมทึ้งอย่างรุนแรง ส่วนตัวเขานั้นก็จะกลายเป็คนบาปพันปีของตระกูลจิ่งไป!
และเฉินหวางสองตระกูลนี้ก็คงจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่!
ทุกคนเดินทางออกจากบริเวณไหล่เขาอย่างรีบร้อนจนมาถึงบ่อน้ำร้อน เทียบกับลักษณะการตายของหวางฮวายเหล่ยแล้ว ทุกคนกลับพบว่าเฉินเปิ่นฉียังถือว่าตายได้ดูดีกว่า ดวงตาเบิกกว้าง เืไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ดวงตาคู่นั้นที่กลายเป็สีเทาขาวแล้วราวกับยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าก่อนตายไปเจอเื่น่ากลัวอะไรเข้า อีกทั้งข้างกายเขายังมีแม่นางรูปร่างเร่าร้อนนอนอยู่ข้างๆ ลักษณะการตายเหมือนกันกับเขา คนทั้งสองเปลือยกายอยู่ครึ่งหนึ่ง บนร่างสวมเสื้อตัวในที่แทบจะปกปิดอะไรไม่มิด โชคดีที่เด็กรับใช้ของหวางฮวายเหล่ยรู้ความจึงรีบเอาผ้ามาคลุมร่างทั้งสองเอาไว้
แต่ว่าต่อให้จะมีชุดคลุมไว้อยู่ ทุกคนก็ยังมองเห็นท่าทางอันบิดเบี้ยวของหวางฮวายเหล่ยและแม่นางผู้นั้นได้อย่างชัดเจน อเนจอนาถไม่น่ามองเป็อย่างยิ่ง
ห่างจากพวกหวางฮวายเหล่ยไปสองเมตรก็มีผู้คุ้มกันของเขานอนอยู่สองคนคือ หวางลี่และหวางจิน หวางลี่นั้นพวกอ๋าวหรานเคยเจอมาก่อน ซึ่งก็คือคนที่ปะทะกับพวกเขาตอนที่พวกเขาอยู่ที่หมู่บ้านด่านล่างหุบเขาตระกูลจิ่ง แต่หวางจินนั้นไม่รู้จัก คาดว่าคงจะแอบซ่อนอยู่ในเงามืด คอยปกป้องหวางฮวายเหล่ยอย่างลับๆ
คนผู้นี้ค่อนข้างมีอายุ เคราไม่ยาวแต่กลายเป็สีขาวแล้ว ผมที่เริ่มคลายออกก็ถูกหวีอย่างเรียบร้อย
พวกหวางจินไม่ได้ดวงตาเบิกกว้าง ตายตาไม่หลับเหมือนหวางฮวายเหล่ย แต่สีหน้าหวาดกลัวและยากจะเชื่อนั้นไม่ได้เหือดหายไปเพียงเพราะเ้าตัวสิ้นลมไปแล้ว แต่กลับดูขวัญผวายิ่งกว่าเดิม
ครั้งนี้ไม่รอให้จิ่งเฟิงกั๋วที่โกรธอย่างบ้าคลั่งจนแทบะเิและใจสั่นไหวนั้นพยายามข่มความโกรธแล้วพูดอะไรอีก ลูกหลานจากตระกูลต่างๆ ก็โพล่งขึ้นมาก่อนแล้ว
หนุ่มน้อยผู้หนึ่งมีสีหน้าร้อนรน น้ำเสียงแสดงความสงสัยอย่างรุนแรง “ท่านผู้าุโจิ่ง คืนเดียวตายไปถึงสองศพ ท่านอย่าบอกพวกเราเชียวว่าเป็เพียงแค่อุบัติเหตุ!”
จิ่งเหวินซานเห็นสีหน้าของจิ่งเฟิงกั๋วยิ่งดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ เนื้อบนใบหน้าก็ยิ่งสั่นไหวจึง รีบก้าวขึ้นหน้ามา “ทุกท่าน เื่ของคุณชายเฉินและคุณชายหวางทั้งสองนี้คงทำให้ทุกท่านได้รับความใแล้ว พูดตามตรงเราตระกูลจิ่งก็รู้สึกเหลือรับเช่นกัน ยังไม่ต้องพูดถึงคุณชายเฉิน คุณชายหวางฮวายเหล่ยนั้นนับเป็หลานแท้ๆ ของข้า ตระกูลจิ่งของข้าจะลงมือกับหลานแท้ๆ ได้อย่างไร”
หนุ่มน้อยผู้นั้นหัวเราะอย่างเ็า “ดังนั้นหวางฮวายเหล่ยไม่ใช่พวกเ้าตระกูลจิ่งเป็คนลงมือ แต่กับเฉินเปิ่นฉีก็ไม่แน่ใช่หรือไม่?”
จิ่งเหวินซานถึงกับพูดอะไรไม่ออก จู่ๆ ก็อยากจะตบบ้องหูตัวเองขึ้นมาทันใด
หนุ่มน้อยผู้นั้นไม่รอให้เขาพูดอะไรอีกก็พูดต่อว่า “ตลอดมาตระกูลจิ่งไม่ค่อยออกสู่โลกภายนอก และราวกับจะไม่สอดมือเข้าไปยุ่งกับเื่ต่างๆ บนแผ่นดินใหญ่ แต่ครั้งนี้กลับรวมตัวลูกหลานจากตระกูลต่างๆ ให้มาประลองแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กัน เดิมทีพวกข้ายังคิดอย่างไร้เดียงสาว่าตระกูลจิ่งอยากจะออกสู่โลกภายนอกเพื่อปรากฏสู่สายตาของผู้คนทั้งแผ่นดินใหญ่ หึ! แต่ตอนนี้ดูแล้วน่าจะมีแผนการอื่นอยู่ในใจกระมัง!”
หินก้อนเดียวทำให้เกิดคลื่นนับพัน ลูกหลานจากตระกูลทั้งหลายต่างพากันสุมหัวถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กัน มีไม่น้อยที่ถอยหลังออกห่างจากคนตระกูลจิ่งแล้วไปรวมกันเป็กลุ่ม ท่าทางเหมือนพร้อมจะโจมตีทุกเมื่อ
คนตระกูลจิ่งถูกเหตุการณ์นี้ทำให้ตกตะลึงจนแข็งเป็ท่อนไม้ สีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจและหวาดกลัว เหมือนตกอยู่ในสถานการณ์น่าหวาดหวั่นเฉกเช่นลูกหลานจากตระกูลอื่นๆ
จิ่งเหวินซานเห็นการแบ่งกลุ่มอย่างชัดเจนนี้จนสายตาเริ่มมืดมัว หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป เกรงว่าตระกูลจิ่งคงไม่ได้เป็แค่ศัตรูกับตระกูลเฉินและหวางแค่สองตระกูลแล้ว แต่เกรงว่าทั้งแผ่นดินใหญ่อาจจะเป็ศัตรูกับตระกูลจิ่งแล้วตอนนี้
จิ่งเหวินซานรีบก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว “ทุกท่าน...”
“คุณชายเฉินและหวางทั้งสองท่านแท้จริงแล้วถูกผู้ใดสังหารก็หาได้เกี่ยวอะไรกับพวกข้าไม่ แต่ชีวิตและความปลอดภัยของพวกข้าก็ไม่อาจฝากไว้ในมือตระกูลจิ่งแล้ว” หนุ่มน้อยที่ตั้งข้อสงสัยมาั้แ่แรกนั้นตัดบทของจิ่งเหวินซาน เขายืนอยู่หน้ากลุ่มลูกหลานจากตระกูลอื่น ไม่ได้ดูโดดเด่นนัก แต่บรรยากาศรอบตัวก็นับว่าน่าเชื่อถือไม่น้อย “การประลองครั้งนี้คงต้องขอให้ท่านผู้าุโจากตระกูลจิ่งทุกคนอภัยให้ด้วย ข้าคงไม่อาจเข้าร่วมได้แล้ว วันนี้ก็ขอบอกลาตรงนี้เลยแล้วกัน”
เขาเพิ่งพูดจบ ด้านหลังก็มีหลายคนพากันพยักหน้ารับ
“ข้าเองก็ไม่อยากแข่งอีกต่อไปแล้ว”
“อย่างไรเสียเมื่อวานข้าก็แพ้ไปแล้ว รั้งอยู่ที่นี่ไปก็เปล่าประโยชน์ มิสู้กลับบ้านไปจะปลอดภัยกว่า”
“มีผู้ใดอยู่ทางใต้บ้างหรือไม่ ร่วมทางไปกับข้าได้หรือไม่ ข้ารู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง”
“ข้าก็ด้วย...”
“ข้าอยู่ทางใต้!”
“...”
อ๋าวหรานมองดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ ตรงหน้าก็รู้สึกกังวลขึ้นมา เขายื่นมือไปดึงชายเสื้อของจิ่งฝานแล้วถามว่า “เ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะสามารถสืบหาว่าผู้ใดเป็ฆาตกร? คนที่ลาดตระเวนตอนกลางคืนไม่พบอะไรบ้างเลยหรือ?”
จิ่งฝานราวกับใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จู่ๆ ก็ถูกอ๋าวหรานทำลายความคิดอันล่องลอยนั้น อดก้มลงมองมือขาวลออคู่นั้นที่จับชายเสื้อตัวเองอยู่ไม่ได้ นิ้วเรียวยาวงดงาม ในสมองของจิ่งฝานปรากฏสีขาวของนิ้วและสีแดงของเล็บอ๋าวหรานสลับไปมาอยู่ในหัว งดงามน่ามองทั้งสองอย่าง เมื่อเงยหน้ามองเ้าของเล็บนี้ ปรากฏว่ามีสีหน้ากังวลเป็อย่างยิ่ง คิ้วขมวดมุ่นน้อยๆ ในดวงตาดำขลับกลับมีแววกังวลและคิดหนัก “เ้ากังวลอันใด?”
อ๋าวหรานรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกขึ้นมากะทันหัน จะไม่กังวลได้หรือ หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป ตระกูลจิ่งก็จะกลายเป็เป้าหมายให้ทุกคนโจมตี แต่ว่า... “เ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าฆาตกรเป็ผู้ใด?”
ไม่เช่นนั้นเหตุใดถึงได้ดูไม่สนใจถึงเพียงนี้
จิ่งฝานส่ายหน้า “ไม่รู้”
อ๋าวหราน “...”
อ๋าวหราน “เช่นนั้นเ้าคิดอะไรออกบ้างหรือไม่? หรือว่ามีคนที่สงสัยอยู่?”
จิ่งฝานมีสีหน้าสงบนิ่ง “ไม่มี”
“แต่ว่าเฉินเปิ่นฉีนี่น่าจะเป็ฝีมือของคนตระกูลจิ่ง เพราะวรยุทธ์ที่เด็ดขาดหมดจดเช่นนี้...คนนอกที่เรียนแค่ผิวเผินคงยากจะทำได้ แต่จะมีคนบงการมาหรือไม่ อันนี้ก็ไม่รู้แล้ว” เมื่อเห็นสีหน้าอ๋าวหรานร้อนรนยิ่งกว่าเดิม ในที่สุดจิ่งฝานจึงใจดียอมบอกให้อีกหนึ่งประโยค เมื่อพูดจบก็เหล่ตาไปทางหวางฮวายเหล่ย มุมปากยกขึ้นน้อยๆ สายตาลึกล้ำมองไม่เห็นก้นนั้นเหมือนจะมีสีแดงพาดผ่านไป แต่แค่ชั่วขณะเดียวก็หายไปแล้ว “ส่วนหวางฮวายเหล่ยนั้น ข้าก็เดาไม่ถูกแล้ว”
อ๋าวหรานได้ยินแล้วไม่รู้สึกเบาใจลงสักนิด “ถ้าหากว่ามีแค่เฉินเปิ่นฉีก็ช่างเถิด ตอนนี้กลับมีหวางฮวายเหล่ยอีก เกรงว่าคงจะรับมือได้ยากแล้ว หวังว่าฆาตกรจะเป็ผู้อื่น ตระกูลหวางจะเห็นแก่ที่ทั้งสองตระกูลเป็ญาติกัน ไม่มาหาเื่สร้างความลำบากให้”
จู่ๆ จิ่งฝานก็อยากจะหัวเราะออกมา แต่เขายังไม่คิดจะทำเกินเลยจึงทำแค่เพียงยกริมฝีปากยิ้มน้อยๆ “วางใจเถิด”
วางใจเถิด เ้าหวางชวนที่มีใจทะเยอทะยานอย่างที่สุดนั้นไม่มีทางยอมง่ายๆ แน่ ส่วนอาของเขานั้นก็กลายเป็คนของตระกูลอื่นนานแล้ว ไม่ย้อนมือกลับมาแทงเราก็นับว่าดีมากแล้ว
จิ่งเซียงได้ยินแล้วก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย “พี่ มีคน้าจะใส่ร้ายเราหรือไม่ พวกเขาคงจะไม่ร่วมมือกันมารังแกเราหรอกใช่หรือไม่?”
จิ่งฝานมองนางอย่างปลอบโยน พูดแค่ประโยคเดียวว่า “ไม่เป็ไรหรอก”
เมื่อได้รับคำรับรองและคำปลอบใจแล้ว ใจของจิ่งเซียงที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ค่อยๆ กลับเข้ามาแล้วมองดูเงาร่างสูงใหญ่ของพี่ชาย เงาของเขาเหมือนจะบังนางไว้จนมิดราวกับกำแพงที่ไม่มีวันพังทลาย ทำให้รู้สึกปลอดภัยเป็อย่างยิ่ง ในที่สุดจิ่งเซียงจึงพยักหน้า “อืม!”
ความร้อนจากน้ำในบ่อพวยพุ่งขึ้นมา ไอร้อนที่ระเหยขึ้นทำให้เหนือผิวน้ำรวมถึงพืชพรรณรอบข้างมีไอน้ำปกคลุมแลดูงดงาม แต่รอยเืบนพื้นนั้นก็ช่างทำลายบรรยากาศเสียจริง ศพของพวกหวางฮวายเหล่ย จิ่งเฟิงกั๋วก็สั่งให้คนยกออกไปชันสูตรแล้ว าแที่ชัดเจนว่าไม่ใช่ฝีมือของคนตระกูลจิ่ง ตอนนี้พวกเขาจำเป็ต้องตรวจดูเสียหน่อย
เสียงถกเถียงของบรรดาลูกหลานจากตระกูลต่างๆ ดังจนกดไว้ไม่อยู่แล้ว
ผมและคิ้วของจิ่งเฟิงกั๋วราวกับถูกย้อมไปด้วยสีขาว แค่เวลาครึ่งวันก็ดูราวกับแก่ไปถึงสิบปี พยายามกดเืที่แทบจะทะลักออกมาจากหัวใจลงไป จากนั้นจิ่งเฟิงกั๋วก็เดินขึ้นหน้ามาสองสามก้าว “ทุกท่าน!”
น้ำเสียงของเขาช่างทรงพลังจนทะลุเหล่าแมกไม้และต้นไม้โดยรอบ บรรดาลูกหลานตระกูลต่างๆ ที่ตอนแรกเอาแต่แสดงความกังขาอย่างโอหังก็เงียบลงทันใด แล้วจิ่งเฟิงกั๋วก็ค่อยๆ พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบนี้ “เื่ในวันนี้ไม่ว่าฆาตกรจะเป็คนตระกูลจิ่งของข้าหรือไม่ พวกข้าก็ล้วนยากที่จะปัดความรับผิดชอบและทำเป็ไม่สนใจได้ ส่วนสาเหตุที่เชิญทุกท่านมาเข้าร่วมงานแข่งขันประลองยุทธ์ในครั้งนี้ เดิมทีก็หวังว่าจะให้ลูกหลานในตระกูลได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงการมีอยู่ของบรรดาคุณชายรุ่นเยาว์จากตระกูลต่างๆ ที่ทั้งสง่างามและมากความสามารถ ทั้งนี้เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างได้ผูกสัมพันธ์คบหากันเป็สหายเท่านั้น ไม่เคยคิดว่าจะเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น ถือว่าพวกเราตระกูลจิ่งนั้นไม่รอบคอบแล้ว ไม่ว่าทุกท่านจะจากไปหรือรั้งอยู่ พวกเราตระกูลจิ่งจะไม่ขัดขวางอย่างแน่นอน และจะจัดเตรียมรถม้า เงิน และอาหาร ไปส่งพวกท่านลงจากเขาด้วยตัวเอง การประลองครั้งนี้จะอย่างไรก็คงจัดต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจิ่งเฟิงกั๋วต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย ลำบากทุกท่านจริงๆ ที่ต้องรอนแรมมาตั้งไกลแล้วยังต้องมาพบกับเื่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ข้าต้องขออภัยจากใจจริง!”
จิ่งเฟิงกั๋วสาดสายตาไปยังทุกคนในที่นั้น “แต่ว่า...าแของคุณชายหวางชัดเจนว่าไม่ใช่ฝีมือของคนตระกูลข้า อีกอย่างตระกูลจิ่งของเราและตระกูลหวางก็ได้เกี่ยวดองกันมานานแล้ว เขาเป็ญาติพี่น้องที่มีความสัมพันธ์ทางสายเืกับเรา เขาเองก็มาถึงก่อนทุกท่าน ตลอดเวลาที่อยู่ในตระกูลจิ่งนี้ก็ไม่ได้ไปผูกใจเจ็บกับผู้ใดเลย วันนี้ตายอย่างเป็ปริศนา ฆาตกรแท้จริงแล้วเป็ผู้ใด ต่อให้ข้าจะไม่ทำเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตัวเองก็ต้องให้ความเป็ธรรมกับเขาให้ได้!”
อ๋าวหรานอดยกนิ้วชมเชยจิ่งเฟิงกั๋วเงียบๆ ไม่ได้ ประโยคนี้พูดเพื่อให้ผู้คน ณ ที่นี้ และตระกูลหวาง รวมถึงเด็กรับใช้ผู้นั้นของหวางฮวายเหล่ยฟัง ที่เหลือก็แค่รอให้ประโยคนี้ลอยไปถึงหูของหวางชวนและจิ่งเหวินเยว่เท่านั้น ทำเช่นนี้ก็จะได้กระชับความสัมพันธ์ของสองตระกูล และยังถือเป็การผลักโทษนี้ไปให้ผู้อื่นได้อย่างแยบยล
แต่ว่าก็ถือเป็การล่วงเกินทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้อยู่เหมือนกัน เมื่อจิ่งเฟิงกั๋วพูดจบก็มีคนออกมาถามว่า “ความหมายของท่านผู้าุโจิ่งก็คือ...ฆาตกรคือหนึ่งในพวกเราอย่างนั้นหรือ?”
จิ่งเฟิงกั๋วสีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย “ก็ไม่ใช่เสียทั้งหมด คนที่สามารถฆ่าหวางจินได้นั้น ในที่นี้เกรงว่าคงมีไม่กี่คน”
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก ในขณะเดียวกันก็อดรู้สึกโกรธเคืองไม่ได้ ประโยคนี้ช่างบาดใจคนเสียจริง
ทางเต๋อรั่วมองจิ่งเฟิงกั๋วแล้วก็พูดขึ้นว่า “ประโยคนี้ของท่านผู้าุโจิ่งหมายความว่าเช่นไร? หมายความว่าในใจมีคิดไว้แล้วใช่หรือไม่?”
จิ่งเฟิงกั๋วมองกลับมา แม้แต่หนังตาที่หนักอึ้งก็ยังปิดบังความแหลมคมราวกับมีดอันวาววับในดวงตาของเขาไม่ได้ “ไม่ทราบว่าคุณชายทางมีความเห็นใดหรือไม่?”
ทางเต๋อรั่วมีสีหน้าเรียบเฉย ในน้ำเสียงไม่มีความสั่นไหวใดๆ “ไม่มี”
อ๋าวหรานหันศีรษะมามองจิ่งฝานกะทันหัน ดวงตาเคร่งขรึมนั้นราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาอันรุนแรงนี้ จิ่งฝานก้มหน้าลงมองไปยังดวงตาดำขลับดั่งขนกาที่ราวกับบรรจุท้องฟ้ายามค่ำคืนไว้ แต่เปล่งประกายสว่างไสว แฝงไปด้วยแววลังเลสงสัยและความล้ำลึกที่ไม่สมอายุ จิ่งฝานยกริมฝีปากยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ยิ้มขึ้น “เป็อันใด”
อ๋าวหรานจ้องแบบนี้อยู่เป็นาน ประกายในดวงตาถึงค่อยๆ อ่อนลง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความสงสัย “ข้ากำลังสงสัยว่าหวางฮวายเหล่ยนี่...ทางเต๋อรั่วเป็คนลงมือใช่หรือไม่?”
แววตาของจิ่งฝานล้ำลึกจนคนมองไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “แล้วเ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ไม่รู้” อ๋าวหรานหยุดไปเล็กน้อย “แต่ว่า ถ้าไม่มีประโยชน์อันใด เขาก็คงไม่ทำกระมัง?”
จู่ๆ จิ่งฝานก็ยื่นมือมาวางลงบนดวงตาคู่นั้น อ๋าวหรานจึงอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ส่วนจิ่งฝานก็หาได้ขวางไม่ “หลบอันใด?”
อ๋าวหรานงง “แล้วเ้ามาปิดตาข้าทำอะไร?”
จิ่งฝานหัวเราะเบาๆ “เพราะตาเ้าโตกว่าตาข้า”
อ๋าวหราน “...”
จิ่งฝานนั้นตาลึกและค่อนข้างยาวรี สายตาคมกริบแวววาวจึงทำให้ดูลึกลับน่าค้นหา ส่วนตาของอ๋าวหรานนั้นค่อนข้างกลม หางตากว้างอยู่สักหน่อยจึงทำให้แลดูน่าดึงดูด
