ณ ตัวเมืองกรุงเทพ ถึงจะมืดค่ำดวงตะวันลาลับท้องนภาไปแล้ว แต่ผู้คนก็ยังไม่ได้หลับนอนยังคงใช้ชีวิตในเงาของฝูงชนผู้คนต่างใช้ชีวิต ได้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังทำงานในตลาดอย่างแข็งขันพร้อมกับทักทายเหล่าพ่อ้าแม่ขายอย่างสดใส สองมือผลักดันรถเข็นผักไปมาอย่างขมักเขม่น เขามีชื่อว่า กิ่ง อายุ21ปี เป็นักศึกษาที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง
“ช่วยได้มากเลยนะไอ้หนูเอ้านี่แรงวันนี้ ประหยัดใช้หน่อยล่ะ่นี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ค่าอะไรๆก็ขึ้นตามกันไปหมดเห้อ.......” เสียงแห้งทุ่มของชายแก่บ่นดังขึ้นพร้อมเอาเงินออกมาจากกระเป๋าสตางค์ แล้วเอาเงินให้กับเด็กหนุ่ม
“ขอบคุณมากครับลุงไว้พรุ่งนี้จะมาใหม่นะครับ” เด็กหนุ่มรับเงินค่าแรงมาแล้วรีบไปเพราะไม่อยากได้ยินลุงบ่นเื่เงินสักเท่าไหร่และวันนี้ดูแหมือนจะมีซีรี่ย์ที่ชอบฉาย เค้าจึงรีบกลับที่พักโดยเร็ว
ระหว่างทางที่กลับเขาก็ไม่ลืมที่จะซื้อเครื่องดื่มชูกำลังกับน้ำอัดลมสีใสและของกินจุกจิกเล็กน้อยติดมือไปด้วย ขณะที่เดินทางใกล้ถึงหอพักเค้าก็เจอกับขอทานคนหนึ่งด้วยความที่มีเงินน้อยนิดจึงได้เอาขนมปังที่ซื้อติดมือมาให้ลุงขอทานแทนก่อนจะเดินจากไป
ทันทีที่เข้าห้องพักก็รีบเตรียมของกินขนมเทรวมกันในชามเดียว และนำแก้วน้ำขนาดใหญ่ออกมาใส่น้ำแข็งที่แช่ไว้ในตู้เย็น ลงไปในแก้วตามด้วยเทเครื่องดื่มชูกำลังและน้ำอัดลมสีใสลงไปผสมกันหวังว่าจะดูซีรี่ย์จนกว่าจะจบไม่หลับไม่นอน
“วันนี้จะยิงยาวจนกว่าจะจบเลย มีเรียนแค่บ่ายด้วยสบายเลย ฮิๆ”
เด็กหนุ่มขนทุกอย่างขึ้นมาที่เตียงนอนก่อนที่จะเปิดโน๊ตบุกเครื่องเก่าแล้วเสียงสายหูฟังนอนดู พร้อมมือที่หยิบขนมมากินแล้วดื่มน้ำตาม หนึ่งตอนผ่านไป สองคนตอนผ่านไป เวลาล่วงเลยไปนานไหนก็ไม่สามารถรู้ได้ จนทุกอย่างมืดดับลง ไร้เสียงใดๆ จนไม่นานนักแสงสว่างก็ส่องสว่างขึ้น
“เอ๋....มืดจัง...นี่เราเผลอหลับสินะ...ต้องรีบตื่นแล้วสิให้ตายเถอะล่ะนั้นแสงอะไรถ้าเอาไปตีเป็หวยจะได้มั้ยนะฮ่าๆๆ”
เด็กหนุ่มผู้ไร้เดียนสาได้พูดพร้อมกับหัวเราะแสงสว่างค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้เค้าเรื่อยๆจนได้ยินเสียงเรียกบางอย่าง
“นายท่าน...นายท่าน” ในแสงสว่างนั้นมีเสียงต่างๆดังขึ้นต่างเรียกเค้าด้วยนามเดียวกัน เขาค่อยๆเอื้อมมือไปใกล้แสงนั้น แล้วทันใดนั้นร่างของกิ่งก็โดนดูดเข้าไปในแสงสว่างทันทีพร้อมกับใบหน้าที่ใ
“อะไรเนี่ยอืดอัดจัง....นิเรากำลังจะตายงั้นเหรอ...ไม่นะ...ยังไม่ได้บอกลาหลวงพ่อที่อุส่าเลี้ยงเรามาเลย” ทุกอย่างค่อยๆมืดดับลงไปอีกครั้ง
“อาการนายท่านยังไม่ดีขึ้นงั้นเหรอ”
“ตอนนี้ทุกอย่างของนายท่านกลับมาปกติแล้วขอรับท่านชาย แต่ว่า...เกรงว่าพลังมาร5ใน10ส่วนจะกลับมาไม่สมบูรณ์หากนายท่านตื่นขึ้นแล้ว จะต้องไม่พอใจในความสามารถของกระหมอบเป็แน่” เสียงบทสนทนาของคนทุ้มหนุ่มที่กับพูดคุยเสียงของชายชราดังกึ่งก้องในหัวของกิ่ง
“เสียงใครพูดน่ะ....ซีรี่ย์ที่เราเปิดค้างไว้หรือป่าวนะ....ปวดหัวจัง...หนักตัวไปหมดเลยแฮะ..”
ในห้วงความคิดของกิ่งที่กำลังวิเคราะห์บทสนทนา พร้อมกับค่อยๆหลุดออกจากห้วงนิททา พร้อมกับค่อยๆลืมตาขึ้น เค้าจ้องมองเพดานที่ไม่คุ้นเคย ก่อนที่จะหลับตาและลืมตาใหม่เพราะคิดว่ายังติดในความฝันอยู่ เสียงบทสนทนาเงียบลง
“นะ..นายท่านฟื้นแล้ว!! ท่านหมอมาร รีบดูอาการนายท่านเร็วเข้า”
ก็ตกในความวุ่นวาย เด็กหนุ่มมองทุกอย่างด้วยความมึนงง ร่างของเขาถูกประครองขึ้นให้นั่งพิงเตียงก่อนที่จะมีผู้คนที่แต่งตัวเหมือนทหารและขุนนางโบราณในหนังจีนมาคลุกเข่าคำนับ นับสิบคนในห้องที่แปลกตา
“หนึ่งมารเหนือหมื่น์ หนึ่งคำเหนือชีวิต ข้าน้อยขอถวายชีพ แด่ท่านเทพมาร ไป๋เยี่ยนหรง ขอให้มารจงรุ่งเรืองนับหมื่นหมื่นปี! ”
เสียงเหล่าผู้คนสอดประสานกันพร้อมกับก้มลงหมอบกราบแทบเท้าของเด็กหนุ่มที่พึ่งลืมตาตื่นขึ้น เขาได้รับรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่ความฝันและเขาก็ได้ย้ายมาในโลกที่วุ่นวายยิ่งวกว่ากรุงเทพเสียแล้ว
ชายหนุ่มนั่งมองตนเองอยู่หน้าคันฉ่องในมือของข้ารับใช้ที่นำมา ที่ทำจากแผ่นเหล็กขัดจนขึ้นเงาสามารถใช้ส่องแทนกระจกได้ ชายหนุ่มค่อยๆเอื่อยมือจับใบหน้าตนเองที่ดูไม่คุ้นเคยพร้อมครุ่นคิดในใจ
“เวรเอ้ยยยยยย.....เกิดบ้าอะไรขึ้นกับฉานนนนนนนนน!!” เสียงในใจได้ดังขึ้นภายใต้ใบหน้าที่เรียบนิ่ง
[ทุกกอย่างผ่านไปเกือบอาทิตย์]
ตนนั้นยืนดูคันฉองอยู่สักพัก สำรวจดูร่างกายของตนสูงราวๆเกือบ2เมตร มีมัดกล้ามชัดเจน เรือนผมดำยาวดั่งรัตติกาล ดวงตาคมเฉียบดั่งคมดาบ นัยตาสีแดงดุจโลหิตสวมอาภรณ์สีดำสนิทลายัทองสะท้อนศักดิ์ศรีสูงส่ง เป็ดั่งจอมมารผู้เหยียบใต้หล้าด้วยสายตาเพียงครั้งเดียว ก่อนที่จะถอนหายใจเบา
“นะ...นายท่านไม่พอใจสิ่งใดขอรับ หากอาภรณ์มิถูกใจข้าจักรีบนำมาเปรียบให้” ชายหนุ่มรีบก้มลงหมอบก้มพร้อมกับความสั่นกลัว พร้อมเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้า
“ลุกขึ้นเถอะหลางหนิง ข้ามิได้เป็อะไร จงพาข้าไปที่ศาลาจิตมารซ่อนเร้น” ไป๋เยี่ยนหรงทอดสายตามองคนที่กำลังหมอบกราบด้วยความหวาดกลัวในตน พร้อมกับนึกในใจ “เอาล่ะตอนนี้เราไม่ใส่กิ่งแต่เป็เทพมารแห่งลัทธิมาร ไป๋เยี่ยนหรง และนั้นคือหลางหนิง คนรับใช้คู่กายคนที่ 27 ที่เข้ามาในปีนี้ ก่อนที่ไป๋เยี่ยนหรงคนเก่าจะพ่ายแพ้ให้กับสัตว์ศักสิทธิ์แห่งเทือกเขาหัวซาน ไป๋เยี่ยนคนเก่าเนี่ยดูไร้สมองกว่าที่คิดหรือศักศรีมันค่ำคอนะ.....ถึงไม่ถอยหนี ความทรงจำของร่างนี้กลับมาจนทำให้เราสามารถแสดงเป็ไป๋เยี่ยงได้ง่ายขึ้น ”
“ขอรับนายท่าน ว่าแต่จะไปศาลามารซ่อนเร้นทำไมหรือขอรับ”
หลางหนิงค่อยๆลุกขึ้นพร้อมกับมือกุมต่ำ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นแล้วตั้งคำถามกับอีกฝ่าย
“วันนี้ข้ามีแขกล่ะ เ้าปากมากว่าที่ข้าคิดนะหลางหนิง”
ไปเยี่ยนหรงทอดสายตาที่เ็าไปยังข้ารับใช้ที่ตั้งคำถามกับตนเอง หลางนิงมองพร้อมใบหน้าที่ถอดสีก่อนที่จะรีบเดินนำทางไป๋เยี่ยงหรงไป จนถึงศาลามารซ่อนเร้น ภาศานอกดูเหมือนศาลาธรรมดาๆที่พบเห็นได้ตามซีรี่ย์โบราณทั่วๆไป แต่ภายใต้ความธรรมดานั้นกลับมีสิ่งที่น่ะพิศวงอยู่ มันจะสร้างมิติภาพลวงขึ้นมาตามจิตใจของผู้ที่เดินเข้าใกล้ศาลา และหากใครมีจิตมุ่งร้ายต่อเทพมาร จะถูกเหล่าอสูรที่สถิตในศาลากัดกิน
“เ้าไปได้แล้วข้า เ้าไม่จำเป็ต้องอยู่แล้วล่ะ” ตนได้ไล่คนใช้ให้ไปที่อื่นก่อนที่จะค่อยๆก้าวเดินขึ้นไปนั่งพำนักอยู่บนศารา ก่อนที่จะเอื้อมมือเท้าคางแล้วถอนหายใจเบา
“เหนื่อยซะมัดการเก๊กอยู่ตลอดนิมันยากจริงๆว่าแต่นี้คือศาลามารซ่อนเร้นเหรอเนี่ย ในความทรงจำของหมอนี่คนส่วนใหญ่จะก้าวมาไม่ถึงทางขึ้นด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะถ้าวันหนึ่งฉันต้องฆ่าคนก็ต้องฆ่าสินะ ขอโทษนะครับหลวงตาเมื่อว่าหลานจะทำบาปแน่ๆ”
คอตกเล็กน้อยพร้อมกับพึมบ่นเบาๆ ก่อนที่จะเงียบแล้วเงยหน้าขึ้นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าก้าเข้ามาในพื้นที่ศาลา ก่อนที่เขาจะหันหน้ามองไปตามเสียงเห็นร่างของ หญิงสาวผู้มีเรือนผมดำยาวเกล้าสูงประดับปิ่นผีเสื้อมุกงาม ดวงตาอ่อนโยนดั่งธารใส ผิวพรรณขาวเนียนละมุนดุจหยกน้ำแข็ง สวมอาภรณ์สีขาวเรียบห่มคลุมแนบเนื้อไร้สิ่งปรุงแต่ง มือเรียวประคองลูกประคำหยก สะท้อนความสงบเยือกเย็นและสูงส่ง ดั่งเซียนธิดาผู้บำเพ็ญเพียรเหนือแดนมนุษย์ และภาพที่ศาลาสะท้อนให้เห็นคือพื้นเต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้าเป็ทิวทัศที่แสนงดงาม ก่อนที่หญิงสาวจะก้าวขึ้นมาบนศาลาแล้วคลุกเข่าคำนับและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล และ“หนึ่งมารเหนือหมื่น์ หนึ่งคำเหนือชีวิต ข้าน้อยขอถวายชีพ แด่ท่านเทพมาร ไป๋เยี่ยนหรง ขอให้มารจงรุ่งเรืองนับหมื่นหมื่นปี”
“ลุกขึ้นเถิด อีกอย่างเ้ามิใช่คนของสำนักมิควรกล่าวคำว่าจะถวายชีวิตแต่ข้า เชิญนั่งตามสบายเถิด” ตนมองดูหญิงสาวที่แสนงานงามตรงหน้าก่อนที่จะหยิบกาน้ำชาขึ้นมาแล้วค่อยๆรินให้
“ขออภัยและขอบคุณเ้าคะ ข้ามีนามว่า ฟ่ง หลิงซี เป็คนของสำนักใต้ที่ขอพบกับท่านผู้ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้อยากได้ความช่วยเหลือจากลัทธิมารเ้าคะ” หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเบาๆแต่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ
“ช่างเป็คนที่กล้ายิ่งนัก แล้วสำนักมารจะช่วยอะไรเ้าได้ล่ะแล้วหากข้าช่วยเ้า...ทั้งตัวข้าและสำนักไม่สิลัทธิมารจะได้ประโยชน์อันใด?.....แล้วก็เท่าที่ข้าดูเ้าคงไม่มีสิ่งใดมาแลก ” ไป๋เยี่ยนหรงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเ็าพร้อมกับค่อยๆยกชาขึ้นจิบ แม้ภายนอกเค้าจะนิ่งและสมเป็ประมุขมารแต่ว่า ภายในใจเค้านั้นแทบจะอยากร้องกรี๊ด
“อ่ะ.....” หญิงสาวใแล้วหน้าถอดสีเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวข้น “สิ่งที่ข้าอยากขอร้องก็คือ โปรดให้ทัพของท่านไปพิชิพหุ่มเขาทางใต้ที่นามว่าหุบเขาดอกโบตั๋นด้วยเถิด หากท่านพิชิตที่แห่งนั้นได้ดินแดนมารก็จะกว้างใหญ่ขึ้น และอีกอย่างที่ท่านจะได้จากข้าคือ...”
กำสร้อยประคำหยกในมือเอาไว้แน่นพลางก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และจริงจัง “ ฟ่ง หลิงซี จะยอมตกเป็สตรีของท่านและนำพาท่านและลัทธิพิชิตฟ้าดินเองคะ!”
เสียงของหญิงสาวดังก้องขึ้นภายในศาลาราวกับสายลมแรงผัดผ่านจากคำพูดนั้นทำให้ไป๋เยี่ยนหรงซะงักเล็กน้อยก่อนที่จะวางแก้วน้ำชาลงเบาๆ และคำพูดนั้นก็ทำให้ในจิตใจใช้ความคิดอย่างหนักเช่นกัน เขาทอดสายตามองใบหน้าสาวอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
“ข้าจะให้คนพาเ้าไปพักที่เรือนรับรองแขกของสำนักก่อนไว้มีข้อเสนอดีๆกว่านี้ค่อยมาว่ากันใหม่ พิชิตใต้หล่าขอทานยังกล่าวได้ แต่ในด้านการกระทำนั้นชั่งยากเย็นยิ่งกว่าการเป็เซียน อีกอย่างข้ามีร่างกายเ้า......”
ก่อนที่ไป๋เยี่ยนหรงจะเดินจากไปและทิ้งหญิงสาวให้นั่งล่องลอยอยู่คนเดียวในศาลามารซ่อนเร้น
[ 3 วันต่อมา ณ ตำหนักเทพมาร ]
ไป๋เยี่ยนนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทองพร้อมทอดสายตาต่ำมองดูเหล่าผู้คนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งราวกับคนไร้อารมณ์ คนที่กำลังนั่งคลุกเข่าให้ตนอยู่ตอนนี้คือ ฟ่ง หลิงซี และเหล่าผู้ที่ติดมามาด้วย5คนรวมนางด้วย
“ ข้าน้อย ฟ่ง หลิงซีและเหล่าศิษย์ของสำนักใต้ขอคำนับ เทพมารผู้ยิ่งใหญ่....วันนั้นข้าคิดน้อยไปต้องขออภัย ที่พวกข้ามาที่นี่ในวันนี้ข้าน้อยอยากจะเล่าความจริงเ้าคะ”
“เช่นกล่าว” ไป๋เยี่ยนหรงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเ็า
“ขอพระคุณเ้าคะ เดิมทีสำนักข้าเป็สำนักที่มีวิถีคล้ายเต๋าเป็สำนักเล็กๆทางใต้ของหุบเขาดอกโบตั๋นแต่วันหนึ่งนักเราถูกฝ่ายธรรมะโจมตี ศิษย์รวมสำนักนับ20ชีวิตถูกสังหารรวมถึงอาจารย์ของข้า....พวกนั้นกล่าวว่าอาจารย์เรานั้นฝักไฝ่ฝ่ายมารจึงต้องกวาดล้างสำนัก พวกเราหนีตายออกมาได้5คนรวมข้า พวกเราตามสืบจนรู้ความจริงว่า นั้นเป็เพียงข้ออ้างเพื่อที่จะได้ยืดครองหุบเขาดอกโบตั๋น ของสำนักกระบี่ัฟ้า ข้าจึงมาที่นี่เพื่อของร้องสำนักมาร....เ้าคะ”
ไป๋เยี่ยนหรงหลับตาลงสักครู่ก่อนที่จะเอ่ยวาจาขึ้น “จงล่ะทิ้งสิ่งที่พวกเ้าฝึกมาแล้วเข้ารวมกับมาร....รับมารไปเป็วิชาของตนซะ”
ฟ่ง หลิงซีและเหล่าศิษย์ต่างหน้าถอนสีตัวสั่นราวกับกำลังหวาดกลัว เหล่าขุนนางมารและศิษย์ตนก็ต่างแสดงท่าทีใออกมา
“แค้นของผู้ใดก็จงชำระเอง ศัตรูของตนก็ต้องสังหารด้วยมือตนมิใช่รึ การที่พวกเ้าแพ้ให้กับสำนักกระบี่ัฟ้านั้นแสดงว่าวิถีของพวกเ้านั้นอ่อนแอ จงทิ้งมันและก้าวสู่วิถีของมารซะ” ไป๋เยี่ยนหรงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนที่จะแสยะยิ้มขึ้นบนใบหน้าที่เรียบนิ่งทุกอย่าง
กลับเข้าสู่ความเงียบสักพักก่อนที่ เสียงของกลุ่ม ฟ่ง หลิงซีจะดังขึ้นพร้อมกัน “หนึ่งมารเหนือหมื่น์ หนึ่งคำเหนือชีวิต ข้าน้อยขอถวายชีพ แด่ท่านเทพมาร ไป๋เยี่ยนหรง ขอให้มารจงรุ่งเรืองนับหมื่นหมื่นปี!”
“บัดนี้เป็ต้นไป ข้า ฟ่ง หลิงซี และเหล่าศิษท์จากสำนักใต้ที่ล้มสลายจะขอละทิ้งทุกอย่างไว้เื้ัและขอก้าวสู่วิถีมาร”
หญิงสาวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ภายใต้ความเงียบสงัดชีวิตของพวกที่กำลังจะเปลี่ยนไปหลังจากนี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้