เซี่ยเจิงเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนอย่างลวกๆ ไปสองสามที หลังจากที่เช็ดจนแห้งแล้วจึงหันหลังกลับมาประคองใบหน้าของชวีเสี่ยวปอเอาไว้
ชวีเสี่ยวปอลืมตาขึ้นมามองเขา พร้อมทั้งส่งเสียงพึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“นายเมาแล้วสินะ” เซี่ยเจิงพูดขึ้นเสียงเบา
“พอได้อยู่ หึหึ” ชวีเสี่ยวปอสะบัดศีรษะไปมา “นายฟังดูสิ”
ใบหน้าของเซี่ยเจิงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม : “ฟังอะไร? ”
“ก็ให้นายฟังดูว่ามันมีเสียงอะไรไหม” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “แสดงว่าหัวของฉันไม่ได้กลวงสินะ”
เซี่ยเจิง : “......” ฉันเชื่อนายก็บ้าแล้ว
“นี่” ผ่านไปครู่หนึ่ง ชวีเสี่ยวปอเริ่มรู้สึกว่าท่านี้ไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่ เขาจึงยกคางขึ้นไปวางบนไหล่ของเซี่ยเจิง “นายล้างเสร็จยัง”
“เสร็จแล้ว” เซี่ยเจิงรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจเขาที่กำลังลดลงมาบนต้นคอของตัวเอง จึงตบบั้นท้ายของเขาไปอย่างไม่เกรงใจ “นายเมาแล้วแน่ๆ ”
“ฉันไม่ได้เมา”
“ปกติคนเมาก็พูดว่าตัวเองไม่เมาทั้งนั้นแหละ” เซี่ยเจิงพูด
“งั้นฉันเมาแล้วก็ได้” ชวีเสี่ยวปอยอมรับออกมาทันที “แต่ถ้าฉันเมาฉันจะอาละวาดนะ ทางที่ดีนายรีบให้ฉันดูเดี๋ยวนี้เลย”
เซี่ยเจิง : “......” ทำไมยังไม่จบกับเื่นี้อีกเนี่ย?
เซี่ยเจิงไม่มีทางถอดกางเกงให้ชวีเสี่ยวปอดูในห้องครัวจริงๆ แน่นอน ถึงแม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้อาละวาดออกมาจริงๆ เซี่ยเจิงไม่ให้เขาดูก็ไม่เป็ไร ชวีเสี่ยวปอพิงซบเขาอยู่แบบนั้นพักหนึ่ง จากนั้นจึงกลับเข้าห้องนอนไปก่อน
ท้ายที่สุดเซี่ยเจิงก็ทำงานเสร็จเรียบร้อย เขาเก็บกวาดขยะทั้งหมดแล้วนำไปวางไว้ที่หน้าประตูบ้าน ในตอนที่กลับเข้ามาก็เห็นชวีเสี่ยวปอกำลังนั่งถือส้อมคันเล็กอยู่บนเตียง ทั้งยังจิ้มลงไปบนเค้กก้อนนั้นอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
“กินไม่อิ่มเหรอ? ” เซี่ยเจิงเข้าไปนั่งลงข้างๆ เขา
“กินอิ่มแล้ว” ขณะที่พูดชวีเสี่ยวปอก็วางส้อมลง ยื่นปลายนิ้วไปตักครีมขึ้นมาก้อนหนึ่ง พร้อมทั้งมองเซี่ยเจิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
เซี่ยเจิงรู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร เพราะชวีเสี่ยวปอแทบจะเขียนคำว่า “ฉันจะทำเื่ไม่ดี” เอาไว้บนใบหน้าอยู่แล้ว
ทว่าเซี่ยเจิงไม่ได้หลบ ทั้งยังไม่ได้คิดที่จะหลบด้วย
ปล่อยให้ชวีเสี่ยวปอค่อยๆ ป้ายครีมก้อนเล็กนั้นลงบนแก้มของเขาตามสบาย
“ทางนี้สามขีด” ขณะป้ายไปชวีเสี่ยวปอก็พูดพึมพำขึ้นมาด้วย เมื่อครีมในมือไม่พอเขาก็จิ้มเพิ่มขึ้นมาใหม่ “ทางนี้ก็ต้องสามขีด”
เซี่ยเจิงไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่ในใจเขากลับคิดขึ้นมาว่า นี่กำลังใช้หน้าฉันแทนกระดานวาดรูปอยู่เหรอ
“ต้องเติมบนจมูกด้วยนิดนึง” สุดท้ายชวีเสี่ยวปอก็แต้มลงไปบนปลายจมูกของเซี่ยเจิง ถึงจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดกล้องหน้าให้เซี่ยเจิงส่องดูตัวเอง “แมวน้อยตัวลาย”
เซี่ยเจิงมองดูตัวเองในโทรศัพท์ พลางเอื้อมมือไปโอบของคอของชวีเสี่ยวปอเอาไว้ จนทำให้แก้มของทั้งสองคนแนบชิดเข้าด้วยกัน “มาถ่ายไว้สักรูปเถอะ”
เมื่อสิ้นเสียงพูด เสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้นมาทันที
“ให้ตายเถอะ ถ่ายฉันได้น่าเกลียดมาก” ชวีเสี่ยวปอแย่งโทรศัพท์กลับคืนมา อดไม่ได้ที่จะวิจารณ์ขึ้นว่า : “ฝีมือการถ่ายรูปของนายนี่เป็แบบชายแท้จริงๆ ”
“พูดซะเหมือนว่านายไม่ใช่ชายแท้อย่างงั้นแหละ” หลังจากพูดจบทั้งคู่ก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ชวีเสี่ยวปอหัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ในตอนที่หยุดลงเขาก็ใช้มือกุมท้องที่หัวเราะจนปวดเอาไว้ด้วย “นายทำให้ฉันเปลี่ยนมาชอบผู้ชายอย่างนายซะขนาดนี้แล้ว”
เซี่ยเจิงหยิกแก้มเขาไปทีหนึ่ง “พูดความจริงสิ ฉันเป็คนทำเหรอ? ”
“ใช่นายทำ นายนั่นแหละ” ชวีเสี่ยวปอถูกหยิกแต่ก็มีความสุข ทั้งยังพูดเสริมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง “แต่ฉันก็เต็มใจ”
สถานการณ์แบบนี้จะไม่จูบกันได้ยังไง?
ทั้งสองคนประกบปากจูบกันจนครีมที่อยู่บนใบหน้าของเซี่ยเจิงเลอะไปบนหน้าของชวีเสี่ยวปอครึ่งหนึ่ง
“สุขสันต์วันเกิดนะเซี่ยเจิง” ชวีเสี่ยวปอกดจูบลงไปบนริมฝีปากของเซี่ยเจิงอีกหนึ่งครั้ง “ฉันยังไม่ได้พูดเลย”
“ตอนเที่ยงคืนบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ” ตอนเที่ยงคืนเซี่ยเจิงได้รับข้อความอวยพรวันเกิดจากชวีเสี่ยวปอแล้ว
“อันนั้นไม่ได้พูดต่อหน้า” ชวีเสี่ยวปออธิบาย ขณะพูดก็ชี้ไปยังกล่องกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ “ตอนนี้ไปแกะของขวัญกันเถอะ”
………………………….
ทั้งๆ ที่ในห้องก็เปิดไฟสว่างโร่ แต่เซี่ยเจิงก็ยังเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟบนโต๊ะ ราวกับว่าถ้าเปิดไฟแล้วจะทำให้มองเห็นขวัญได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“นี่มันคือ...” เซี่ยเจิงค่อยๆ หยิบแก้วออกมาจากกล่องอย่างระมัดระวัง พร้อมทั้งมองดูอย่างละเอียดภายใต้แสงไฟ จากนั้นจึงถามออกไป “กระบอกน้ำชา? ”
“......” ชวีเสี่ยวปอจ้องเขาตาเขม็ง “เอาคืนมาก็ได้นะ” ขณะที่พูดเขาก็ลุกขึ้นจากเตียงกำลังจะเอื้อมตัวไปแย้งกลับมา
เซี่ยเจิงพลิกตัวหลบอย่างรวดเร็ว ในตอนที่เอี้ยวตัวหันไปด้านข้างเล็กน้อยเขาก็จุ๊บลงไปบนแก้วหนึ่งที จากนั้นก็พูดกับชวีเสี่ยวปอด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า : “ให้แล้วจะมาเอาคืนได้ไง กระบอกน้ำชาใบนี้เป็ของขวัญวันเกิดฉันเลยนะ”
“มันเป็แก้วน้ำ !” ชวีเสี่ยวปอพูดแก้ “แค่ทำให้ใหญ่กว่าปกตินิดเดียวเอง”
“รู้แล้ว” ดวงตาของเซี่ยเจิงแฝงไปด้วยรอยยิ้ม “แก้วน้ำชา”
……………………………
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้โต้เถียงเขาในเื่นี้แล้ว โดยยึดถือหลักการที่ว่า “วันเกิดเขา เขาใหญ่ที่สุด” ชวีเสี่ยวปอชี้ไปยังกล่องของขวัญ พลางพูดว่า :
“ในนั้นยังมีอะไรอีกอย่างด้วยนะ”
เซี่ยเจิงค่อยๆ วางแก้วลงอย่างระมัดระวัง เปิดการ์ดที่สอดอยู่ข้างใต้ออกมา
“เซี่ยเจิง สุขสันต์วันเกิด”
นอกจากประโยคนี้แล้ว ด้านล่างยังมีตัวอักษรเล็กๆ อยู่อีกหนึ่งบรรทัด
“ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญนะ ฉันจะอยู่เคียงนายเอง”
ประโยคนี้ชวีเสี่ยวปอไม่ได้เขียนที่ร้านเซรามิก แต่เขามาแอบเขียนเพิ่มไว้เองทีหลัง
วันนั้นในสมุดโน้ต เขาก็เขียนประโยคนี้ให้ตัวเองเหมือนกัน ในเวลานั้นมันยังเป็เพียงความในใจของเขา แต่ตอนนี้กลับได้บอกเซี่ยเจิงอย่างตรงไปตรงมาแล้ว
มือของเซี่ยเจิงข้างที่ถือการ์ดเอาไว้ค่อยๆ กำแน่นขึ้นมาช้าๆ
“ถ้าสามเดือนก่อน ฉันบอกว่าจะสอบเข้ามหาลัย ฉันคงจะคิดว่าฉันพูดออกมาตอนฝันอยู่แน่ๆ ” ชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นขึ้นมาอย่างคงที่ เขานึกว่าตัวเองจะตื่นเต้นมากกว่านี้ แต่ตรงกันข้ามมันกลับสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด บางทีอาจเป็เพราะว่าคำพูดเหล่านี้อัดอั้นอยู่ในใจเขามานานมากแล้ว เขาเองจึงเตรียมพร้อมมาเป็อย่างดี และสิ่งที่เขา้าก็คือผู้ฟังที่ดีที่สุดอย่างเซี่ยเจิง
เซี่ยเจิงจ้องมองเขาอย่างนิ่งเงียบ อีกทั้งยังไม่แสดงสีหน้าใดใดออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่การ์ดกลับถูกเขาขยำจนเป็รอยยับขึ้นมามุมหนึ่งแล้ว
“ฉันไม่ได้ทำไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แล้วก็ยิ่งไม่ใช่เพราะอยากจะทำดีกับนายแค่ในตอนนี้” ชวีเสี่ยวปอเกาศีรษะ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองสร่างเมาขึ้นมาทันที ไม่มีตอนไหนที่จะตื่นตัวมีสติเท่าตอนนี้อีกแล้ว “เซี่ยเจิง ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด สอบเข้ามหาลัย สอบเข้ามหาลัยเดียวกับนาย”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของชวีเสี่ยวปอ ทั้งตัวของเขาก็ถูกเซี่ยเจิงดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด เขาเงียบเสียงลง ศีรษะของเขาซบไปบนหน้าอกของเซี่ยเจิง จากนั้นจึงพูดขึ้นเสียงแ่เบาว่า :
“ทำไมฉันถึงชอบนายมากขนาดนี้นะ? ”
แน่นอนว่าคืนนี้ชวีเสี่ยวปอไม่ได้กลับบ้าน
ด้วยเหตุผลที่เพียงพอมากเลยทีเดียว
คือเขาเมาแล้ว
และแน่นอนว่าเซี่ยเจิงเองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะให้เขากลับไปเช่นกัน
หลังจากที่ชวีเสี่ยวปออาบน้ำเสร็จ เขาก็วิ่งเหยาะๆ มาตลอดทางพลางบ่นพึมพำว่าหนาว อีกทั้งยังบอกว่าฮีตเตอร์อุ่นไม่พอ เขาจึงสะบัดรองเท้าแตะทิ้งแล้วะโขึ้นเตียงไปทันที
ขณะนั้นเซี่ยเจิงนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงแล้ว ส่วนชวีเสี่ยวปอก็คลานเข้ามาด้วยท่าทางราวกับปลาดุก เซี่ยเจิงยื่นมือไปลูบแผ่นหลังของชวีเสี่ยวปอ พลางพูดขึ้นว่า : “ยังเช็ดตัวไม่แห้งเลย แล้วอย่างนี้จะไม่หนาวได้ไง? ”
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมา แต่กลับจามออกมาอย่างแรง
เซี่ยเจิงจึงต้องดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม้าให้เขา
ชวีเสี่ยวปอเองก็พาดขาขึ้นไปบนหน้าแข้งของเซี่ยเจิง เพื่อให้เขาััถึงอุณหภูมิของตัวเอง “ฉันเช็ดตัวไม่แห้งเหรอ แล้วนายว่ามันเย็นรึเปล่า”
เย็นมากจริงๆ ด้วย
เซี่ยเจิงตัดสินใจกดขาของชวีเสี่ยวปอให้ลงไปอยู่ใต้ขาของตัวเอง ช่วยให้เขาอุ่นขึ้นมาสักหน่อย แต่น่าเสียดายที่ชวีเสี่ยวปออยู่ไม่นิ่งเลยสักนิด ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็กลายเป็ว่าขาของเขาทั้งคู่พันเกี่ยวกันไปเป็ที่เรียบร้อย
ถ้าเปิดผ้าห่มขึ้นมาคงจะเป็เหมือนท่าทางของปลาหมึกั์ เพราะพวกเขาสองคนแทบจะเอาขาเกี่ยวกันไว้จนผูกเป็โบว์ได้อยู่แล้ว
เป็เื่ยากที่ไฟจะไม่ลุกโชนขึ้นมา
ตอนแรกเขาสองคนก็ยังทำเพียงนายโดนฉัน ฉันก็เตะนายคืน แต่ตอนหลังเซี่ยเจิงกลับตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ชวีเสี่ยวปอเองก็หยุดลงแล้วเช่นกัน
เซี่ยเจิงเหลือบมองชวีเสี่ยวปอ “......”
ชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องละสายตามองไปทางอื่น
ทั้งๆ ที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่เขาก็รู้สึกเขินขึ้นมาแล้ว
“นอนไหม? ” เซี่ยเจิงถาม
“ถ้างั้นปิดไฟ? ” ชวีเสี่ยวปอเอื้อมมือไปตบสวิตช์ไฟให้ปิดลง
เงียบสงัดอยู่ในความมืดได้เพียงไม่กี่วินาที ชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า :
“นายขอพรไปว่าอะไรเหรอ? ”
ยังไม่ทันได้รอเซี่ยเจิงพูดออกมา เขาก็พูดเองเออเองออกมาอีกครั้ง : “ช่างเถอะๆ ไม่ต้องบอกแล้วดีกว่า บอกแล้วเดี๋ยวไม่ศักดิ์สิทธิ์”
เซี่ยเจิงที่กำลังจะอ้าปากพูดรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาทันที เขารู้สึกได้ว่าชวีเสี่ยวปอกำลังประหม่า เนื่องจากเขาคนนี้พอประหม่าทีไรก็จะมีอาการแสดงออกมาอย่างเด่นชัด เขาจะกลายเป็คนพูดมากขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งยังพูดแต่เื่ไร้สาระอีกด้วย
แล้วก็เป็อย่างที่คิด ผ่านไปเพียงไม่นาน ชวีเสี่ยวปอก็ถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง :
“นายหลับหรือยัง? ”
“ยัง” เซี่ยเจิงตอบขึ้นมาทันควัน
“ฉันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอเบิกดวงตากว้างภายใต้ความมืดมิด “งั้นก็ นายเล่าเื่ตลกให้ฉันฟังดีไหม? ”
เซี่ยเจิง : “...ขำขึ้นมาแล้วจะนอนหลับเหรอ? ” นี่มันความคิดอะไรของนายเนี่ยไอ้เ้าบ๊อง
ชวีเสี่ยวปอขยับตัวยุกยิกไปมาอยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็บีบแขนของเซี่ยเจิงไปเล็กน้อย
เซี่ยเจิง : “นายทำอะไรเนี่ย”
“เปล่า” หลังจากพูดจบชวีเสี่ยวปอก็เปิดประเด็นนี้ขึ้นมาอีกครั้ง “ที่จริงฉันมีเื่จะถามนิดหน่อย คือว่า ทำไมฉันไม่เห็นอันนั้นเลยอะ นายเอาไปวางไหนเหรอ? ”
“อันไหน? ” เซี่ยเจิงถามออกมาทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังแกล้งถามได้แเีสุดๆ
“ก็อันนั้นอะ” หลังจากพูดจบชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าตัวเองอาจจะพูดเป็นัยมากเกินไป จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจแล้วว่า : “ถุงยาง !”
“จะะโทำไมเนี่ย” เซี่ยเจิงยื่นมือไปปิดปากของเขาเอาไว้ ขณะที่ในใจคิดขึ้นมาว่านายเป็คนยั่วฉันเองนะ
ความจริงแล้วในตอนที่เซี่ยเจิงซื้อสิ่งนี้มา เขาวางแผนเตรียมที่จะทำเื่อะไรบางอย่างจริงๆ นั่นแหละ ทว่าหลังจากที่ซื้อมาแล้ว เห็นท่าทีของชวีเสี่ยวปอดูเหมือนจะค่อนข้างต่อต้าน เซี่ยเจิงจึงคิดว่าช่างมันแล้วกัน เื่แบบนี้มันฝืนบังคับกันไม่ได้ เพราะยังไงเขาสองคนก็ยังมีอนาคตอีกยาวไกล ยังมีเวลาและโอกาสอีกมาก
แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เขาน่าจะกังวลมากเกินไป
หากชวีเสี่ยวปอไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น เขาก็คงจะไม่ถามออกมา
“ไม่ได้ะโ ฉันแค่ถามดูเฉยๆ ” ชวีเสี่ยวปอส่ายหน้าไปมา พร้อมทั้งดันมือของเซี่ยเจิงออกไป
“อยู่นี่” เซี่ยเจิงสอดมือเข้าไปคลำที่ใต้หมอน จนกระทั่งหยิบของสิ่งนั้นออกมาโยนไว้ตรงกลางระหว่างเขาสองคน
ชวีเสี่ยวปอ : “...ให้ตายเถอะ”
เซี่ยเจิงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ถึงแม้ว่าจะปิดไฟแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถนึกภาพสีหน้าราวกับถูกบีบบังคับให้ยอมจำนนของชวีเสี่ยวปอในตอนนี้ได้ว่าเป็อย่างไร “นายให้ตายเถอะอะไร ก็นายเป็คนอยากได้เองไม่ใช่เหรอ”
ชวีเสี่ยวปอปากแข็ง : “ฉันอยากได้ที่ไหนกันเล่า นายเป็คนซื้อมาไม่ใช่หรือไง” ถึงยังไงในตอนนี้ก็สมควรโยนการความผิดให้เซี่ยเจิงที่สุดแล้ว “ฉันไม่ได้หน้าหนาแบบนายนะ”
เซี่ยเจิงหัวเราะขึ้นมาเสียงเบา
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกถึงความผิดปกติ ราวกับว่าเสียงนี้เป็สัญญาณเตือนว่าภัยอันตรายกำลังจะมาเยือนแล้ว