วันแต่งงานของฟางเสิงกับจ้าวหงยู่ได้กำหนดขึ้นในวันที่สองเดือนสิบสอง
ทั้งสองฝ่ายได้ปรึกษาและชี้ขาดกันดีแล้วว่าให้หวังซื่อเป็แม่สื่อให้ฟางเสิง
ฟางเสิงเป็เด็กกำพร้ามาั้แ่เล็ก ไม่มีบรรพบุรุษและญาติพี่น้องเชื้อสายเดียวกัน ส่วนท่านอาจารย์ของสำนักเพราะด้วยบุญคุณความแค้นในยุทธภพทำให้มอดม้วยดับไปเมื่อหลายปีก่อน ขณะนี้นอกจากอาชิงก็ไม่มีญาติและเพื่อนฝูงแล้ว
ทั้งครอบครัวของจ้าวสี่เหวิน พึงพอใจในตัวของฟางเสิงเป็พิเศษ อายุห่างกันไม่มาก หน้าตาคมร่างกายแข็งแรง ฝีมือการต่อสู้ทั้งมีอยู่ติดกายและยังสามารถหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ จำนวนคนในครอบครัวเรียบง่าย ห่างจากบ้านไม่ไกล หลังสองคนแต่งงานกันหงยู่สามารถช่วยงานอยู่บ้านสกุลหูต่อไปได้อีก ฟางเสิงเป็ตัวเลือกที่ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้ได้อีกแล้วจริงๆ
สามีภรรยาสูงวัยแทบอยากจะให้สองคนแต่งงานกันโดยทันที เพื่อจะวางก้อนหินก้อนใหญ่ในใจลงได้
ฟางเสิงกำลังนั่งอยู่ใต้ชายคาของระเบียง แกะสลักท่อนไม้ในมืออย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ
นี่เป็ไม้จันทน์แดงหนึ่งชิ้นเล็ก เขาตั้งใจให้อาชิงไปหามาจากช่างไม้หลู่โดยเฉพาะ
พิษภายในร่างกายของเขากำจัดออกไปหมดจดั้แ่หนึ่งปีก่อนแล้ว อาการาเ็เก่าบนมือและเท้าก็ดีขึ้นด้วยห้าระดับ เดินเหินออกแรงล้วนไม่ติดขัด แต่เทียบกับตอนที่รุ่งโรจน์ก็ไม่ได้มีเรี่ยวแรงว่องไวเพียงนั้น
แต่เขารู้จักพอในสิ่งที่มีมากแล้ว
แม้แต่ท่านหมอจางก็ล้วนทอดถอนใจ พิษที่เขาโดนเป็ชนิดที่รุนแรง มีน้อยคนมากที่จะกำจัดออกไปได้หมด กรณีพิเศษของฟางเสิงทำให้เขารู้สึกสนใจเป็อย่างมาก แต่การจับชีพจรทุกรอบและการติดตามอาการทุกครั้งของเขา ยังไม่สามารถเข้าใจสาเหตุได้ชัด จึงทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความดวงดีของฟางเสิง
ท่านหมอจางล้วนหามูลเหตุได้ไม่ชัดเจน ฟางเสิงก็ย่อมไม่มีทางสืบสาวได้เช่นกัน
เขาเพียงแน่ชัดอยู่เล็กน้อยว่านี่ไม่ใช่เป็เพราะเขาใช้กำลังภายในกำจัดออกไปอย่างแน่นอน
หากกำลังภายในสามารถกำจัดพิษเกลี้ยงได้เช่นนี้ ตอนแรกเขาคงไม่มีทางปล่อยให้สภาพตนเองน่ารันทดเช่นนั้นได้แน่
แต่เขาอาศัยอยู่หมู่บ้านวั้งหลินมาสามปีแล้ว พบว่าหมู่บ้านนี้มีความมหัศจรรย์อยู่บ้างจริงๆ โดยเฉพาะบ้านสกุลหู
โดยรวมแล้วไม่ค่อยเห็นคนตกอยู่ในสภาพเจ็บป่วยเล็กน้อยอย่างปวดศีรษะเป็ไข้เลย
พวกเขาเหล่านี้ตอนที่เพิ่งมาถึง ส่วนใหญ่ใบหน้าผอมตอบผิวซีดเหลือง สภาพหน้าซีดมีอาการอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรง ทว่าใช้ชีวิตอยู่บ้านสกุลหูไม่นาน สภาพจิตใจและร่างกายนับวันก็ยิ่งดีขึ้น
ยังไม่ต้องพูดถึงเขากับอาชิงเลย
ทั้งครอบครัวซิ่วฉายหยาง ตอนพักอยู่ในวัดเฉิงหวงก็มักจะเจ็บป่วยทานยากันเป็ส่วนใหญ่ กว่าเงินของซิ่วฉายหยางจะสะสมได้ไม่ง่ายเลย แต่ทั้งหมดกลับต้องเทลงไปในค่าใช้จ่ายยาสมุนไพรต้มทั้งสิ้น
ทว่านับั้แ่มาถึงหมู่บ้านวั้งหลิน ทั้งครอบครัวพวกเขาสามคน กลับไม่เคยเชิญท่านหมอมาเพราะอาการป่วยเลย หนึ่งเดือนก่อนเคยเชิญมาครั้งหนึ่ง แต่เป็เพราะภรรยาของซิ่วฉายมีอาการเบื่ออาหารและรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย หลังจับชีพจรจึงได้พบว่าที่แท้เป็เพราะตั้งครรภ์มาสองเดือนกว่าแล้ว
ซิ่วฉายหยางดีใจอย่างยิ่ง พร้อมกับกังวลใจในร่างกายภรรยาของเขา ภรรยาของซิ่วฉายมีปัญหาโรคหัวใจมาั้แ่เด็ก ครั้งแรกตอนคลอดอาหยุน อีกนิดก็เกือบเหมือนกลิ่นหอมจางหายและหยกพลันสลาย [1] ท่านหมอเคยเอ่ยแล้ว ว่านางไม่เหมาะให้ตั้งครรภ์อีก
ซิ่วฉายหยางตั้งใจพาภรรยาของเขาไปจับชีพจรที่ฝูอันถังในเมืองโดยเฉพาะ ท่านหมอที่นั่งตรวจกล่าวว่า ปัญหาโรคหัวใจของภรรยาซิ่วฉายดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว ฟื้นฟูอย่างระมัดระวังน่าจะไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร
ใน่เวลาสามปีนี้ทั้งครอบครัวซิ่วฉายหยางไม่เคยออกจากหมู่บ้านวั้งหลินเลย ภรรยาของซิ่วฉายก็ไม่เคยดื่มยาสมุนไพรต้มเพื่อรักษาอาการโรคหัวใจเป็พิเศษด้วย เช่นนั้นอาการป่วยดีขึ้นเองหรืออย่างไร?
ฟางเสิงกลับไม่เชื่อ เื่ราวทั้งหมดล้วนต้องมีเหตุจึงจะมีผล ในระหว่างนี้ต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน แค่พวกเขาไม่รู้เท่านั้นเอง
แล้วยังมีพวกหลิงเสี่ยนปู่หลานทั้งสามคนอีก ตอนเพิ่งมาล้วนผอมจนเห็นกระดูก ท่าทางกำลังวังชาแย่เป็อย่างมาก ผู้าุโหลิงยังมีแรงกำลังวังชาค้ำจุนอยู่บ้าง แต่เด็กสองคนนั้นกลับมีสีหน้าและจิตใจห่อเหี่ยวดูเฉื่อยชาไม่ค่อยพูดจาเล็กน้อย คิดไปแล้วคงอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นเลยถูกขัดเกลาจนสูญเสียความมีชีวิตชีวาไป
แต่ ณ ตอนนี้ผู้าุโมีชีวิตชีวาและกำลังวังชามากขึ้นทุกวัน ขณะที่สอนบรรดาผู้ชายของสกุลหูเล่าเรียน เสียงใสกังวาน กลิ่นอายสงบและมั่นคง พอฟังก็รับรู้ถึงจิตใจและกำลังที่คึกคักมีชีวิตชีวาของเขาได้
เด็กชายหลิงซีและเด็กสาวพานเสวี่ยหลัน ล้วนได้เปลี่ยนแปลงความกลัวและขี้ขลาดในตอนมาครั้งแรกจนหายไป ดวงตาดูมีชีวิตชีวาจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง กิริยามารยาทสุขุมเรียบร้อยการกระทำละเอียดรอบคอบ
การเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ทำให้คนพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในระหว่างนี้ อาหารประเภทเนื้อทุกชนิดของสกุลหูค่อนข้างมีผลสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก
เว้นสามวันห้าวัน ไม่ใช่เนื้อกวางก็เป็เนื้อแพะ ทุกวันทำการเคี่ยวน้ำแกงกระดูกแต่ละอย่างราวกับไม่กลัวสิ้นเปลืองไม้ฟืน พวกเขาสามครอบครัวพึ่งพาอาศัยอยู่สองฝั่งของบ้านสกุลหู ล้วนได้ทานเนื้อซดน้ำแกงตามไปด้วยเกือบทุกวัน
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเลย พอถึง่เข้าสู่หน้าหนาว สกุลหูได้เริ่มทำอาหารหมักประเภทต่างๆ ขึ้น มักเชือดหมูในปริมาณสามสี่ตัวทุกวัน สิ่งของที่เหลืออย่างกระดูกหมู เครื่องในหมู หนังหมูและมันหมู กองซ้อนกันในระดับที่กลายเป็ูเาขนาดย่อมเล็กๆ เลยทีเดียว
ย่อมเป็ธรรมดาที่จะแจกมาให้บ้านพวกเขามากไปด้วย ทานจนขนาดที่ว่าเมื่อพูดถึงหมูขึ้นมาพวกเขาต่างก็หวาดกลัวเล็กน้อย
ภายหลังสกุลหูบริโภคเนื้อมากมายเพียงนั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงให้หญิงชราสกุลหูตั้งแผงเล็กๆ อยู่หน้าบ้าน โดยใช้ราคาขั้นต่ำของตลาด แล้วขายให้กับคนในหมู่บ้านด้วยราคาถูก
สรุปแล้วพวกเขาในขณะนี้ร่างกายแข็งแรง มีชีวิตชีวาสดชื่น ไม่ได้ห่างหายไปจากความสัมพันธ์กับสกุลหูเลย
แต่ฟางเสิงรู้สึกว่า นอกจากสาเหตุอาหารดีของสกุลแล้วน่าจะยังมีองค์ประกอบพิเศษอื่นอีก ที่ทำให้ร่างกายของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปยังทิศทางที่ดีขึ้นได้
แต่องค์ประกอบนี้ ฟางเสิงยังไม่อาจหาได้พบ
...ปิ่นปักผมลวดลายโค้งเป็มงคลในมือค่อยๆ มีรูปร่างขึ้น ภายในใจของเขาถูกความรู้สึกอ่อนโยนหนึ่งสายโอบอุ้ม
การปรากฏออกมาของจ้าวหงยู่ ทำให้ชีวิตจืดชืดน่าเบื่อของเขามีสีสันเปล่งประกายไม่เหมือนเดิม
สตรีอบอุ่นและชุ่มชื้นดั่งสายน้ำ ทุกอิริยาบถล้วนทำให้เขารับรู้ได้ถึงความงดงามของโลกใบนี้
เป็ครั้งแรกที่เขามีความคิด้าจะแต่งงาน
เื่ที่ผ่านมาของนางเขาไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย และยิ่งไม่สนใจสายตาของผู้อื่นด้วย เขารู้เพียงว่าสตรีผู้นี้ทำให้เขามีความรู้สึกของการเป็ครอบครัว
เขาหวังว่าบั้นปลายของชีวิตจะไม่ร่อนเร่พเนจรอีก และจะหยุดอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางูเาแห่งนี้เพื่อนาง
การแต่งงานของสองบ้าน ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยในหมู่บ้านวั้งหลิน
มีการอวยพรแสดงความยินดีอย่างจริงใจ ก็ต้องมีการแสดงออกอย่างอิจฉาเช่นกัน
จ้าวหงยู่เป็เพียงหญิงสาวที่มีฐานะหย่าร้าง กลับสามารถแต่งงานใหม่กับอาจารย์ฟางที่ไม่เคยแต่งงานได้ ย่อมมีคำพูดในทำนองว่าสองคนไม่เหมาะสมกัน
ทั้งหมดเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของทั้งสองบ้านเลย
รวมแปดตัวอักษร [2] เลือกวัน ส่งมอบของขวัญและหมั้นหมาย การแต่งงานของสองฝ่ายก็เป็อันว่าตัดสินชี้ขาดแล้ว
มนุษย์มักมีความปีติยินดีเมื่อพบเื่น่ายินดี หลายวันมานี้บนใบหน้าของพานซื่อประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา เดินไปไหนมาไหนล้วนกระฉับกระเฉงเป็พิเศษ
ประจวบเหมาะนักที่ภรรยาของซิ่วฉายถูกตรวจพบว่าตั้งครรภ์ วิชาฝึกคัดตัวอักษรในตอนบ่ายจึงหยุดไปสักระยะหนึ่ง
พานซื่อฉวยโอกาสจูงจ้าวหงยู่เข้าเมืองไปซื้อผ้าสีสันสวยงามเล็กน้อย
บุตรสาวตนเองสวมเสื้อผ้าสีเข้มไร้ชีวิตชีวาแบบเดิมั้แ่ยังเป็เด็กสาว นางในฐานะที่เป็มารดาในใจไม่ต้องเอ่ยเลยว่าเป็ทุกข์เพียงใด ตอนนี้ดีแล้ว สามารถสวมเสื้อผ้าใหม่สีสันสว่างสดใสตัดเย็บประณีตงดงามได้แล้ว
หวังซื่อใจกว้างยิ่งกว่า มอบผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดระดับสูงให้หลายชิ้น ในชิ้นเ่าั้เป็ผ้าฝ้ายสีแดงเนื้อละเอียดลายดอกสีเข้ม สามารถทำชุดแต่งงานใหม่ให้จ้าวหงยู่ได้หนึ่งชุดพอดี
“หงยู่ เ้าฝีมือดี พอมีเวลาว่างก็เร่งทำชุดแต่งงานใหม่ออกมาก่อน ผ้าชิ้นนี้ท่านป้าสะใภ้หูของเ้ามอบให้สีสวยมากจริงๆ ชุดแต่งงานที่ทำออกมาต้องงดงามอย่างแน่นอน แม่จะทำชุดใหม่ให้เ้าสวมตอนกลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่หลังแต่งงาน รอให้เร่งทำชุดใหม่แล้วยังต้องทำเสื้อผ้าและรองเท้าให้ฝั่งอาจารย์ฟางอีก เวลากระชั้นชิดยิ่งนัก” พานซื่อยุ่งกับการจับนั่นจับนี่ไปพลาง กล่าวกับบุตรสาวไม่หยุดไปพลาง
จ้าวหงยู่ใบหน้าแดงเกือบจะเท่าผ้าฝ้ายในมืออยู่แล้ว
“ท่านแม่ หนึ่งเดือนกว่านี้เร่งทำเสื้อผ้าใหม่กับชุดเครื่องนอนของน้องก่อนดีกว่า อย่างอื่นล้วนเอาวางไว้เป็การชั่วคราวก่อนนะเ้าคะ” ติงซื่อเย็บปักเสื้อผ้าอยู่ด้านข้าง วันนี้ไม่ได้เข้าเวร สามารถช่วยเร่งทำงานได้อยู่บ้าง
“ใช่ๆ ยังมีชุดเครื่องนอนอีก เฮ้อ... เวลาหนึ่งเดือนกว่านี่น่ากังวลหน่อยแล้ว แต่แม่ดีใจจริงๆ ตลอดทั้งคืนที่เร่งทำล้วนรู้สึกดีใจอย่างมาก บุตรสาวของข้าในที่สุดก็จะหลุดพ้นจากความเลวร้ายเสียที” พานซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นอยู่เล็กน้อย
“ท่านแม่” จ้าวหงยู่เบ้าตาแดงตามขึ้นมาทันที
“ไอ๊หยา ท่านแม่ ท่านอย่าทำให้น้องร้องไห้สิ เวลาของพวกเราล้วนจะไม่ทันแล้ว อย่ามัวเสียเวลาร้องไห้เลยเ้าค่ะ” ติงซื่อรีบกล่าวโน้มน้าวสองแม่ลูก
พานซื่อได้ยินดังนั้นรีบระงับจิตใจไว้ “ใช่ แม่แค่ดีใจเกินไป หงยู่ พวกเราไม่ร้องนะ นี่เป็เื่น่ายินดี ต้องยิ้มเข้าไว้สิ”
“อื้ม!” จ้าวหงยู่พยักหน้าอย่างหนักแน่น
...ขณะที่บรรดาชาวบ้านกำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์เื่การแต่งงานของจ้าวหงยู่ จ้าวเอ้อร์หม่าจื้ออยู่ข้างหลังกลุ่มคนด้วยใบหน้าอึมครึม
หลายปีมานี้เขาออกไปทำมาหากินอยู่ข้างนอกตลอด เริ่มติดตามขบวนพ่อค้าไปทำการค้าขายสินค้าทั้งเหนือใต้ ผลกำไรของการซื้อมาในราคาต่ำและขายไปด้วยราคาสูง ทำให้เขาได้ประสบกับรสชาติชีวิตของการหาเงิน เขาติดตามขบวนพ่อค้าเดินทาง ทั้งค่อยคุ้มกันและติดตามขบวนสินค้าที่ซื้อเข้ามา หาเงินได้มาก ขาดทุนน้อย ดังนั้นจึงสะสมเงินได้เยอะจำนวนหนึ่ง
จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อวิ่งเต้นอยู่ข้างนอกเป็เวลานาน เห็นกลุ่มคนมากมายและเหตุการณ์หลากหลายจนคุ้นชิน เขาตระหนักได้มากขึ้นว่าจ้าวหงยู่ที่อบอุ่นอ่อนโยนและสามารถสร้างความเป็ระเบียบให้กับบ้าน เป็หญิงสาวที่หาได้ยากมากเพียงใด
เขาเคยกลับมาในหมู่บ้านครั้งหนึ่งเมื่อสองเดือนก่อน จำได้ว่าในตอนนั้นสกุลจ้าวไม่ได้คิดจะให้จ้าวหงยู่แต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่เพิ่งผ่านไปเวลาสั้นๆ สองเดือน ทำไมเื่แต่งงานถึงได้กำหนดขึ้นแล้ว
เดิมคิดว่าปีนี้สะสมเงินมาได้ไม่น้อย จะกลับหมู่บ้านมาซ่อมแซมสร้างขยายบ้านตนเองใหม่สักรอบ ซื้อของใหม่เข้าย้ายของเก่าออกให้ดูดีสักหน่อย แล้วค่อยเชิญพ่อสื่อแม่สื่อลองไปสู่ขอบ้านสกุลจ้าวดู
ตอนนี้ทุกอย่างล้วนละลายกลายเป็ฟองไปหมดแล้ว
จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อก้าวเท้าไปยังทางเข้าหมู่บ้านอย่างหนักหน่วง
ฟางเสิง คนผู้นี้เขาเคยเจออยู่สองสามครั้ง ใบหน้าอวดดี ลักษณะท่าทางแข็งทื่อเ็า สายตาแหลมคม เป็คนโดดเดี่ยวและหยิ่งยโสที่มีวรยุทธ์
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพึงพอใจในตัวจ้าวหงยู่เข้า
จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อออกไปทำมาหากินอยู่ข้างนอก เคยเห็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงฝีมือไม่ธรรมดามามาก พวกเขาส่วนใหญ่ตาสูงราวหัว [3] ต่อชาวบ้านทั่วไปที่ไม่มีวรยุทธ์ ในใจย่อมมีความถือตัวสูงส่งกว่าคนทั่วไป
ฟางเสิง ดูไปแล้วก็เหมือนกันกับพวกเขา แต่ทำไมเขาถึงขอฟู่เหรินหย่าร้างคนหนึ่งแต่งงานล่ะ? สำหรับเขาแล้ว หาก้าขอแม่นางน้อยงดงามอายุสิบห้าหรือสิบหกแต่งงาน ก็มีผู้หญิงมากมายยินดีจะแต่งงานกับเขา
แม้จ้าวหงยู่จะหน้าตาไม่ได้แย่ แต่อย่างไรเสียก็มีฐานะที่ไม่ค่อยเหมาะสม เขาไม่สนใจเลยหรือ?
จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อคิดไปเดินไป ฝีเท้ามาหยุดอยู่หน้าประตูสถานที่ฝึกการต่อสู้อย่างควบคุมไม่ได้
ประตูใหญ่แง้มอยู่ครึ่งบาน จากร่องประตูที่เปิดอ้าไว้สามารถมองเห็นด้านในได้ ด้านในมีเด็กประมาณสิบคนกำลังถือดาบไม้ แบ่งกลุ่มฝึกกันเป็คู่ๆ
ฟางเสิงยืนตัวตรงอยู่ข้างหนึ่ง ดวงตาสองข้างมองเหล่าเด็กน้อยที่ฝึกการต่อสู้อย่างมีชีวิตชีวา
“ฮึบ”
“ฮ่า”
เสียงอ่อนวัยของบรรดาเด็กน้อยดังก้องอยู่ในลาน
“อ๊า...” เด็กคนหนึ่งส่งเสียงร้องแหลมหนึ่งทีอย่างกะทันหัน
เขาไม่ได้ควบคุมการออกแรงให้ดี ดาบไม้ในมือจึงลอยละลิ่วดิ่งไปทางเด็กอีกคนหนึ่งในลาน มองแล้วต้องกระทบโดนเด็กคนนั้นแน่
ฟางเสิงเคลื่อนกายเข้าไปทันทีในชั่วพริบตา และกุมดาบไม้ไว้อย่างมั่นคง
“จับอาวุธไว้ไม่มั่นคง ดูท่าว่าฝึกน้อยไป จ้าวเสี่ยวเหล่ย ไปตั้งท่าหม่าปู้หนึ่งก้านธูป”
“ขอรับ อาจารย์ฟาง”
เด็กยืนตัวตรงแล้วไปตั้งท่าหม่าปู้ขึ้นข้างกำแพง ด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างสำนึกได้
สายตาแหลมคมของฟางเสิงกวาดผ่านประตูลาน
ร่างจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อแข็งทื่อ มีความรู้สึกเหมือนถูกงูพิษจ้องมองก็ไม่ปาน เขาใจนรีบถอยหลังไปหลายก้าว ความเย็นวาบนั้นถึงได้ค่อยๆ หายไป
ช่างร้ายกาจจริงๆ เมื่อครู่การกระทำเคลื่อนย้ายกายออกไปคว้าดาบไว้ เขายังมองไม่ทันเลย เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าห่างออกไประยะหนึ่ง แต่กลับเข้าไปกุมดาบไม้ไว้ได้อย่างรวดเร็วเพียงนั้น
สายตาเ็าของเขาที่มองมาแวบหนึ่งเมื่อครู่นี้ ทำเอาจิตใจคนเกิดความกลัวยิ่ง เป็ผู้มีวรยุทธ์ฝีมือสูงส่งจริงๆ ด้วย
สีหน้าจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อเศร้าสลดไปเล็กน้อย
เชิงอรรถ
[1] กลิ่นหอมจางหายและหยกพลันสลาย อุปมาถึง ความตายของหญิงงาม
[2] รวมแปดตัวอักษร หมายถึง ประเพณีการแต่งงานดั้งเดิมพื้นเมืองของชาวจีน มักใช้กับประเพณีการแต่งงานในสมัยก่อน สมัยโบราณเรียกว่า ปู่จี๋ (卜吉 หมายถึง การเลือกวันแต่งงานที่เป็มงคล) การรวมตัวอักษรทั้งหมดแปดตัวในการแต่งงานของสมัยโบราณ เป็ขั้นตอนที่ค่อนข้างสำคัญอย่างมาก หากคนทั้งสองมีตัวอักษรทั้งแปดไม่เข้ากัน การแต่งงานก็จะไม่สำเร็จ การรวมแปดตัวอักษรจะคำนวณจากเวลา วัน เดือน ปีและจักรราศีที่สองคนเกิด ตรวจสอบว่าดวงจะส่งเสริมหรือขัดกันหรือไม่
[3] ตาสูงราวหัว หมายถึง วิสัยทัศน์ล้ำเกินไป หรือทะนงตัว เย่อหยิ่งเกินไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้