บนลานฝึกในเมืองนักดาบพเนจร เหล่าอัศวินที่แบ่งกลุ่มสามถึงห้านายกำลังพากันพักผ่อน
ฉีเอ่อร์เท่อแอบขยับเข้ามากระซิบข้างหูเก๋อหลิน “นี่ เ้าได้ข่าวหรือไม่ เมื่อไม่กี่วันก่อนดูเหมือนท่านหัวหน้าจะอารมณ์ดีมิน้อย”
“ห๋า? ใบหน้าดังก้อนน้ำแข็งในทุกสถานการณ์ของเขา เ้าดูออกได้อย่างไร?” เก๋อหลินเช็ดกระบี่พลางหันไปมองฉีเอ่อร์เท่อด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เอ่อ...ลางสังหรณ์?” ฉีเอ่อร์เท่อเกาหัว จากนั้นหันไปทางหูฝูที่อยู่ด้านข้าง “มิเชื่อเ้าก็ถามตาเฒ่า เขาจะต้องััได้แน่นอน”
“เคร้ง” หนึ่งเสียง หูฝูใช้หอกยาวเคาะหมวกเกราะของฉีเอ่อร์เท่ออย่างแรง “ผู้ใดชื่อตาเฒ่า? หลังกลับไปคัดมารยาทของอัศวินสิบรอบ”
เพียงแต่ระยะนี้เ้าเด็กเจียนั่วแลดูมีชีวิตชีวาขึ้นจริงๆ ถึงแม้จะมิอาจดูออกจากใบหน้าก้อนน้ำแข็ง ทว่าเมื่อลองสังเกตอย่างละเอียดกลับััได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน --- ยามก่อนทันทีที่การฝึกจบลง โดยปกติแล้วไม่มีผู้ใดหาตัวเขาพบ ทว่าระยะหลังมานี้กระทั่งถึงเวลากินข้าวกลับยังเห็นเ้าเด็กนั่นเหงื่อโชกอยู่ในสนามฝึก
มิเพียงเท่านี้ ในการฝึกต่อสู้ เจียนั่วปกติจะต่อสู้หนึ่งต่อสามด้วยใบหน้านิ่งเฉยกลับขอเพิ่มจำนวนคน ท้ายที่สุดลงไปนอนแผ่อยู่บนพื้นพร้อมกับอัศวินอีกห้านาย เมื่อไม่กี่วันก่อนจอมเวทผู้เป็สหายของท่านเ้าเมืองมาเป็แขกที่จวน เจียนั่วที่มิเคยเรียกร้องสิ่งใดจากท่านเ้าเมืองกลับเป็ฝ่ายขอคำชี้แนะจากจอมเวทท่านนั้น
หลังกลับมาจากเมืองเป้ยเท่อ เจียนั่วมักดูนาฬิกาของตนระหว่างฝึกบ่อยกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด และจากข่าวสารเล็กๆ น้อยๆ ของฉีเอ่อร์เท่อ คล้ายกับในนาฬิกานั่นจะมีกระดาษเขียนเนื้อหาที่มิอาจล่วงรู้เอาไว้ อัศวินทั้งสามยังเคยรวมหัวถกกันว่านั่นอาจเป็จดหมายสารภาพรัก
ฉีเอ่อร์เท่อไม่ลังเลที่จะแขวะเ้านายของตนเสียแล้ว “เขาหน้าตามิเลว เพียงแต่น่ากลัวเกินไป”
เก๋อหลินพยักหน้าสื่อว่าเห็นด้วย “บรรยากาศอึมครึม อีกทั้งยังไม่รู้จักเอาใจใส่ผู้อื่น ไม่เหมาะกับการทำงานเป็กลุ่ม”
ฉีเอ่อร์เท่อแบมือ “ยังเป็ผู้บ้างาน ยามนอนหอกยาวยังมิห่างกาย การฝึกแต่ละครั้งคล้ายจะเอาชีวิต”
เก๋อหลินพยักหน้าอีกครั้ง “มีเพียงยามรู้สึกฮึกเหิมกับทำงานทางราชการจึงจะพูดมากสักหน่อย นิสัยทั้งโผงผางและดึงดัน”
“อะแฮ่ม...” หูฝูเห็นคนทั้งสองยิ่งพูดยิ่งติดลม ทำได้เพียงเอ่ยขัดว่า “ข้าคิดว่าเื่เหล่านี้ล้วนมิสำคัญ แม้นั่นจะเป็จดหมายรักจริง ท่านหัวหน้าเจียนั่วก็เพียงนำออกมาอ่านเป็ครั้งคราวเท่านั้น มิเห็นจะทำอันใดจริงจังสักอย่าง”
“ใช่แล้ว ยามกลับมาก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่ท่านเ้าเมืองให้วันหยุดเขาสามวัน หากเขาชมชอบสตรีผู้นั้นจริง เหตุใดจึงไม่ไปหานางในใจที่เมืองเป้ยเท่อ?” เก๋อหลินเอ่ยคำถามที่น่าสงสัยออกมา
“...หรือว่าค่าใช้จุดวาร์ปแพงเกินไป?” ฉีเอ่อร์เท่อเอ่ยเสียงเบามิต่างกับยุง เมื่อเห็นสายตาแปลกประหลาดของคนทั้งสองจึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “อาจจะเป็เพราะเขามิได้ชอบนางจริงๆ เพียงรู้สึกมีความสุขที่ถูกผู้อื่นมอบจดหมายรักให้?”
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าปากของฉีเอ่อร์เท่อชอบเอ่ยเกินจริงจนเคยชิน กระนั้นหากเหตุผลที่ไร้สาระเกิดเป็บทสรุปที่ถูกต้องขึ้นมาเล่า? คนทั้งสามเ้ามองข้าข้ามองเ้าอยู่ครึ่งค่อนวัน ท้ายที่สุดยังคงมิค่อยเชื่อว่าเจียนั่วเป็พวกหลงตัวเอง ดังนั้นการวิจารณ์เ้านายในครานี้จึงสิ้นสุดลงทั้งที่มิได้บทสรุปเสียแล้ว
ครั้นเห็นสายตาดุดันระคนแน่วแน่ของเจียนั่วยามฝึกฝน หูฝูยกยิ้มเจื่อนอย่างรู้แน่ชัดแล้วว่าตนถูกเ้าโง่สองคนนี้พาหลงประเด็น หากผู้เป็ที่ภาคภูมิใจของพระเ้าท่านนี้ทำสีหน้าท่าทางเช่นนั้นกับสตรีนางหนึ่ง อีกฝ่ายไม่มีทางใจอ่อนยวบ มีแต่จะถูกทำให้ใกลัวจนขาอ่อนยวบเสียมากกว่า
แต่ไหนแต่ไรมา เจียนั่วมักดึงดันจนเกือบจะบ้าคลั่งในเื่ศักยภาพ ทั้งที่เป็ผู้แข็งแกร่งแล้ว กลับยังพยายามฝึกฝนทวีคูณ คล้ายกับจะมิยอมปล่อยโอกาสที่สามารถทำให้ตนพัฒนาไป ทั้งๆ ที่คนผู้นี้มีคุณสมบัติของอัศวิน แต่ทว่าในสายตาของหูฝู นี่กลับยิ่งดูคล้ายกำลังพยายามกดข่มบางสิ่งเอาไว้
กดข่มสิ่งใดไว้? ความปรารถนาหรือ? เจียนั่วมิแตะยาสูบมิแตะสุรา มิเข้าใกล้สตรีทั้งยังมิขอเลื่อนขั้น ร่างทั้งร่างมิต่างกับวงเวทย์ที่หมุนด้วยความเร็ว มีประสิทธิภาพสูงคงที่แม่นยำและมิเข้ากับผู้อื่น หากคนเช่นนี้มีความปรารถนา เช่นนั้นจะคือสิ่งใด? ครองโลกงั้นหรือ?
หูฝูถูกความคิดของตนทำให้รู้สึกขบขันเสียแล้ว มิใช่าาปีศาจเสียหน่อย จะไปมีผู้คิดอยากครองโลกถึงเพียงนั้นได้อย่างไร หากเจียนั่วมีความทะเยอทะยานสูงจริง เช่นนั้นคงไม่มีทางรั้งอยู่ในเมืองแห่งนักดาบพเนจรเป็เวลานาน ด้วยความสามารถในยามนี้ของเขา เข้าร่วมกองทัพของอาณาจักรยังเหลือเฟือ
หรือว่าพบเจอศัตรูที่แข็งแกร่ง หรืออาจมีจุดมุ่งหมายที่ต้องไปให้ถึง?
ท่าทีแปลกประหลาดของเจียนั่วเริ่มปรากฏหลังจากคุ้มกันท่านเ้าเมืองไปเมืองเป้ยเท่อ คงจะบังเอิญพบคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การท้าทายที่นั่นกระมัง? หูฝูยิ่งคิดยิ่งรู้สึกมั่นใจในความคิดนี้
ศัตรูที่สามารถทำให้เจียนั่วรู้สึกถึงอันตรายจะต้องเป็คนเช่นไรกัน...
หูฝูนึกถึงหมูป่าที่ถูกหนึ่งหอกพิโรธสังหารจนตายกลางป่าพลันส่งเสียง “จิ๊” ออกมา ตามด้วยส่ายหน้าหยิบมวนยาสูบขึ้นมาอีกครั้ง
การต่อสู้ของเหล่าทวยเทพเช่นนี้ อย่าวิเคราะห์ซี้ซั้วจะดีกว่า ตนยังหาภรรยามิได้ ยังมิอยากตายเร็วเกินไป
.....
หลังจากเ้าเมืองนักดาบพเนจรจากไป ความเข้มงวดภายในเมืองเป้ยเท่อลดลงเล็กน้อย ทว่าใบประกาศจับของโม่จ้านยังคงติดอยู่บนรั้วประกาศทั่วเมือง เหล่าทหารยังคงจ้องมองใบหน้าผู้เดินทางออกจากเมืองอย่างรอบคอบเพื่อค้นหาอย่างละเอียด การเอาจริงเอาจังเช่นนั้นทำให้โม่จ้านนึกถึงเ้าหน้าที่ตรวจบัตรประชาชนตามรถไฟฟ้าความเร็วสูงใน่สถานการณ์ตึงเครียด
โม่จ้านปิดคริสตัลบันทึกเื่ราวก่อนเริ่มอ่านตำราต่อไป
ตลอดระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ ปาอินยังคงนำข่าวคราวภายในเมืองมารายงานตนอย่างตรงเวลาทุกวัน ฉิวอินเองก็ช่วยโม่จ้านในด้าน ‘การฟื้นฟู’ อย่างเอาใจใส่เช่นกัน นอกจากนั้นยังเอาอกเอาใจด้วยของกินรสเลิศอยู่เสมอ กระทั่งด้วยระดับความหน้าด้านของโม่จ้านยังฝืนทนมิไหว พยายามยัดเงินค่าครองชีพให้ฉิวอินทว่ากลับถูกปฏิเสธเด็ดขาด
“การทำให้ท่านโม่เจ๋อเอ่อร์ฟื้นคืนพลังคือหน้าที่ของข้ารับใช้อย่างพวกเราขอรับ”
สองพี่น้องปีศาจแฝงฝันที่มุ่งมั่นจะทำเพื่อเผ่าปีศาจทำให้มโนธรรมของโม่จ้านที่อยู่ฟรีกินฟรียากสงบ ทำได้เพียงกอดตำราเวทมนตร์และเอากรอกปากอย่างสุดชีวิต เรียนรู้วิธีรับมือพลังเวทให้มากสักหน่อยเพื่อใช้รักษาตัว โม่จ้านที่เรียนทฤษฎีพื้นฐานจบแล้วแอบรู้สึกดีใจ เพียงแต่เมื่อหยิบตำราเล่มใหม่เพื่อเริ่มก้าวเท้าแรกกลับทำเอาเกือบกระอักเืเสียแล้ว
--- หน้าแรกของตำราระดับสูงขึ้นเขียนว่า ‘การวิเคราะห์ความสัมพรรคที่มีต่อพลังธาตุและคู่มือเบื้องต้น โปรดหาจอมเวทขั้นหกขึ้นไปชี้นำเป็การส่วนตัว’
...แล้วที่อ่านทฤษฎีไปเสียมากมายเพียงนั้น ใช้อันใดมิได้เลย? ท้ายที่สุดยังคงต้องหาอาจารย์!
บนหนังสือสีดำกระดาษสีขาวเขียนเอาไว้ว่า ‘ผู้ชี้นำคือหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญยิ่ง เขาสามารถช่วยให้ผู้เรียนที่มีพร์ด้านพลังเวทรับรู้และััได้ถึงพลังธาตุโดยรอบ’ ทว่าจอมเวทขั้นหกคือขั้นสูงสุดของจอมเวทระดับกลาง หรือจอมเวทกึ่งระดับสูง คือ ‘ไอ้แก่ตายยาก’ ที่เก๋อจือเคยพูดเอาไว้ มีหรือจะหาได้ง่ายเพียงนั้น
เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว ในที่สุดโม่จ้านพลันจัดระเบียบความคิดได้สิ้น ใช้การทดสอบพลังธาตุเพื่อคัดคนธรรมดาออก ตามด้วยให้เหล่าจอมเวทช่วยร่อนตะแกรงคัดคนระหว่างกระบวนการชี้นำอีกหนึ่งกลุ่ม ผู้ที่เหลือรอดจะต้องเป็อัจฉริยะอย่างแน่นอน
เห็นทีตนจะโทษโรงเรียนด้วยความเข้าใจผิดเสียแล้ว มิใช่แหล่งเรียนรู้ถูกปิดกั้น ทว่าขาดแคลนทรัพยากรทางการศึกษาขั้นสุด...
ยามโม่จ้านเอ่ยว่าตนอาจจะ ‘ลืม’ วิธีการเหนี่ยวนำพลังธาตุกับสองพี่น้องปีศาจแฝงฝัน ทั้งสองคนใจนแทบสิ้นสติ แสดงออกว่าตนอยากช่วยเหลือหากแต่ไร้ความสามารถอย่างน่าสงสาร --- เผ่าปีศาจสามารถััการมีอยู่ของพลังเวทได้ั้แ่กำเนิด มิเคยเกิดเหตุการณ์ ‘หลงลืม’ เช่นนี้มาก่อน
ยามนี้กระทั่งโม่จ้านเองยังท้อใจเสียแล้ว ด้วยเส้นสายของฉิวอินผู้เป็ ‘บุตรชายท่านเอิร์ลไอเส่อเอ่อร์’ แน่นอนว่าสามารถหาจอมเวทระดับสูงได้ เพียงแต่ความเสี่ยงถูกเปิดโปงก็สูงเช่นกัน มิอาจเอาชีวิตไปล้อเล่นเป็อันขาด
หนทางการเรียนเวทมนตร์ยังคงมิพบบทสรุปอันน่าพอใจ โม่จ้านนึกอยากออกไปวิ่งระบายอารมณ์สักรอบ ถึงแม้อัศวินรักษาการณ์รอบหอพักจะถอนกำลังไปแล้ว กระนั้นยังคงเหลือคนไว้ละแวกโรงเรียนจำนวนหนึ่ง มิอาจออกไปพบหน้าผู้คนดังเดิม
หากยังไม่ฝึกฝนต่อไป แขนขาตนคงจะขึ้นสนิมจริงๆ เสียแล้ว...
ผู้สืบทอดของบรรดาศักดิ์ั้แ่เอิร์ลขึ้นไปมีสิทธิ์มีหอพักส่วนตัวเป็ตึกเล็ก ฉิวอินกับปาอินจงใจเลือกตำแหน่งที่ค่อนข้างห่างไกลเพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คน โม่จ้านมองกระเบื้องมุงหลังคาวางเรียงเป็ระเบียบพลางเปิดหน้าต่างบนหลังคา หากลงจากตึกก็เกรงผู้ใดจะพบเห็น เช่นนั้นนอนอยู่บนหลังคาคงจะมิเป็อันใดกระมัง
แสงแดดอบอุ่นโอบล้อมรอบกายโม่จ้าน รู้สึกสบายไปทั้งกาย โม่จ้านค่อยๆ ผ่อนคลายลงก่อนจะหลับไปโดยมิรู้ตัวเสียแล้ว
