“เฮ้อ เหตุใดถึงไม่ฟังคำเตือนของข้าบ้าง ว่าอย่าฝืนใช้วรยุทธ์ไม่เช่นนั้นจะทำให้พิษกำเริบเร็วขึ้น” ท่านหมอทั้งเตือนทั้งบ่นขณะที่กำลังฝังเข็มให้อี้ซวน
“ข้าผิดเองที่ปล่อยให้สายลับของทูเจี๋ย เข้ามาโจมตีนายท่านได้ข้าจะขอไปรับโทษด้วยตัวเองขอรับ” จิ้งถงพูดด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้เ้านายาเ็
“การฝังเข็มเพื่อระงับการกำเริบของพิษ เริ่มใช้เวลานานมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียแล้ว เนื่องจากวิธีนี้มันเริ่มจะไม่ได้ผล ดังนั้นต้องคิดหาวิธีถอนพิษให้เร็วที่สุด” ท่านหมอพูดออกมาด้วยความกังวล ร่างกายของอี้ซวนตอนนี้ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแม้แต่น้อย
“ท่านหมอที่ท่านพูดมาหมายความว่าอย่างไรขอรับ อย่าบอกนะว่าอาจารย์ของข้า...” เซี่ยเฟยเทียนเอ่ยถามด้วยรู้สึกกังวลใจไม่ต่างกัน
“อืม ตอนนี้ร่างกายอาจารย์ของเ้าเริ่มไม่ตอบสนองกับฤทธิ์ยา วิธีการฝังเข็มที่ใช้ก็เริ่มไม่ได้ผล ดังนั้นท่านอาจารย์ของเ้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วล่ะ” ท่านหมอเอ่ยออกมาตามตรง เนื่องจากเขาทำการรักษาอี้ซวนมาแล้วห้าปี จึงไม่มีความจำเป็ต้องปิดบังอะไร
“ผ่านมาตั้งห้าปีไม่มีข่าวเื่ยาถอนพิษเลยหรือขอรับ”
ท่านหมอที่ได้ยินคำถามนี้ก็ทำได้เพียงส่ายหน้าและถอดถอนใจ หลังจากท่านหมอกลับไปภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ จนกระทั่งผ่านไปสองเค่อใบหน้าของอี้ซวนก็เริ่มดีขึ้น อาการพิษกำเริบก็เริ่มลดลงจนเขารู้สึกว่าสามารถเปล่งเสียงพูดได้แล้ว
“เฟยเทียนเ้าอย่าได้เคร่งเครียดจนเกิดไป ตอนนี้อาจารย์ได้พบคนที่บอกว่าสามารถถอนพิษของอาจารย์ได้แล้วล่ะ”
“ท่านอาจารย์ท่านพูดจริงหรือขอรับ แล้วคนผู้นั้นเป็ใคร ตอนนี้เขาอยู่ที่ใดศิษย์จะรีบไปตามเขามารักษาท่าน” เฟยเทียนรีบถามอี้ซวนผู้เป็อาจารย์ด้วยความร้อนรน
“เ้าใจเย็นก่อนเถิด คนที่บอกว่าสามารถถอนพิษได้นางเป็แค่เด็กสาว ที่วันนี้นางช่วยอาจารย์และพาไปส่งโรงหมออย่างไรเล่า” อีกอย่างเขาจะรอให้อาการดีขึ้นอีกสักหน่อย เขาอยากไปดูหน้าสตรีที่ทำแผลให้เขา ด้วยยาที่แสน
จะแสบสันต์นั่น ซึ่งนางยังเป็มารดาของเด็กสาวคนนั้นด้วย
“หา! เ้าตัวแสบงั้นรึ!!” เฟยเทียนพูดขึ้นเมื่อนึกออกว่าเป็ใคร
“เ้ารู้จักนางด้วยเช่นนั้นหรือเฟยเทียน?” อี้ซวนถามด้วยความสงสัยเมื่อลูกศิษย์พูดถึงซินเยว่
“เรียนอาจารญ์ตามตรง ข้าเคยเห็นนางที่จวนของท่านพ่อเมื่อสองสามวันก่อน ไม่ได้รู้จักเป็การส่วนตัวเพียงมองเห็นในระยะไกลเท่านั้นขอรับ”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง ไว้รอให้ร่างกายข้าดีขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย ข้าจะไปพบนางด้วยตัวข้าเอง” รอให้ข้าดีขึ้นกว่านี้แล้วเราจะได้เจอกัน
ภายหลังผ่านเหตุการณ์ได้ยื่นมือช่วยเหลือคนมาหลายวันแล้ว วันนี้เป็วันเปิดร้านเครื่องประทินโฉมของซินเยว่กับมารดา
“พี่ยี่เถียน พี่ยี่หยุน พวกท่านสองคนเตรียมตัวพร้อมหรือยังเ้าคะ”
ซินเยว่ถามลูกจ้างที่เป็สตรีสองคนซึ่งหลัวฮูหยินหามาให้ ที่สำคัญพวกนางเป็ลูกพี่ลูกน้องหน้าตาคล้ายกัน รวมถึงนิสัยใจคอถือว่าผ่าน จึงเหมาะที่จะเป็ลูกจ้างของร้านเครื่องประทินโฉมยิ่งนัก
ทั้งสองคนยังผ่านการอบรมจากมารดาของซินเยว่ เกี่ยวกับการแต่งหน้าและสินค้าของร้านที่ต้องอธิบายวิธีใช้ให้กับลูกค้า และพวกนางยังทำมันออกมาได้ดีไม่มีผิดเพี้ยน
“คุณหนูพวกเราสองคนเตรียมตัวพร้อมนานแล้วเ้าค่ะ” ยี่เถียนผู้เป็พี่ตอบกลับมาด้วยความมั่นใจ
“คุณหนูเ้าคะตอนนี้ทั้งฮูหยินและคุณหนูทั้งหลาย ต่างมาต่อแถวรอซื้อเครื่องประทินโฉม จนหางแถวที่ยืนรอยาวเลยไปสามสี่ร้านเลยนะเ้าคะ” เสี่ยวหลานเข้ามาบอกซินเยว่ด้วยความตื่นเต้น
“อืม แล้วทางท่านแม่เล่าเตรียมตัวเรียบร้อยหรือยังพี่เสี่ยวหลาน” ซินเยว่ถามถึงมารดาที่ต้องอยู่บนชั้นสอง โดยชั้นนี้เปิดเป็การดูแลลูกค้าทั้งแต่งหน้า นวดหน้า ขัดผิว และวันนี้ซินเยว่คิดว่าจะมีการลดราคาให้กับลูกค้าเสียหน่อย นั่นก็คือหากลูกค้าท่านใดมียอดซื้อเครื่องประทินโฉมครบยี่สิบตำลึงเงิน จะได้รับการแต่งหน้าหรือนวดหน้า โดยไม่ต้องเสียเงิน
จำนวนหนึ่งครั้ง
“โอ้โห บ่าวไม่อยากพูดเลยเ้าค่ะ ว่านายหญิงเตรียมพร้อมั้แ่วันก่อนนานแล้วเ้าค่ะคุณหนู” ดูท่าจะจริงอย่างที่เสี่ยวหลานบอก เพราะซินเยว่เห็นมารดาของตนตื่นเต้น ถึงขึ้นจัดของเข้าออกหลายรอบแทบไม่หยุดนิ่ง
“เอาล่ะ พวกเราเตรียมตัวลงไปเปิดร้านกันเถิด” ่เวลาในการเปิดร้านใหม่ ๆ ซินเยว่คิดว่าจะมาช่วยดูไปพราง ๆ ก่อน เพื่อเป็การฆ่าเวลาระหว่างรอ การทดลองใช้ยาของนางจากท่านหมอซ่ง เมื่อได้เวลาตามฤกษ์ซินเยว่ก็บอกเสี่ยวหลานเปิดประตูร้านทันที
“คารวะลูกค้าทุกท่านที่มาในวันนี้เ้าค่ะ ข้าเป็ตัวแทนของร้านซูซูความงามเหนือระดับ เนื่องจากวันนี้เป็วันแรกของการเปิดร้านจะมีของแถมแจกให้ลูกค้าทุกท่านแน่นอน ที่สำคัญวันนี้จะมีสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่มียอดซื้อยี่สิบตำลึงเงิน
ท่านจะได้รับการแต่งหน้าหรือนวดหน้าโดยไม่เสียเงิน และท่านยังจะได้รับคำแนะนำเคล็ดลับในการแต่งหน้าอีกด้วยเ้าค่ะ” เหล่าสตรีที่ยืนต่อแถวเมื่อได้ยินการประกาศนี้ ก็ฮือฮาพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น
พอจบการประกาศบรรดาลูกค้าต่างพากันเดินเข้าร้านอย่างรีบร้อน ซินเยว่กับเสี่ยวหลานช่วยกันแนะนำสิ้นค้า รวมถึงบรรยายสรรพคุณ และพูดวนซ้ำ ๆ คำเดิม ๆ แต่กลับไม่น่าเบื่อเลย ผ่านไปจนถึงยามเว่ยสินค้าก็แทบจะไม่เหลือ
ส่วนคนที่ได้ขึ้นไป้าชั้นสองเมื่อลงมาก็เปลี่ยนเป็คนละคน ลูกค้าที่อยู่ชั้นล่างต่างพูดคุยกันว่า เครื่องประทินโฉมของร้านซูซูความงาม นั้นเหมือนมีเวทมนต์ ลูกค้าทุกคนที่ลงมาต่างบอกว่าชั้นสองนั้นช่างแต่งใบหน้าให้พวกนางได้งดงาม นอกจากนี้ยังมีมีกระจกบานใหญ่ ที่ใช้ส่องใบหน้าได้ชัดทุกมุม ที่สำคัญช่างแต่งหน้าก็งดงามไม่ถือตัวเลยสักนิด
และแล้วก็จบการเปิดร้านค้าวันแรกไปอย่างสวยงาม และรายได้ของวันแรกมียอดถึงหนึ่งพันสองร้อยตำลึงเงิน สตรีเหล่านี้ล้วนไม่มีใครยอมใครเื่ความสวยสินะ
“พวกพี่ทั้งสองเหนื่อยหรือไม่ วันนี้วันแรกลูกค้ามีเยอะเป็ธรรมดา แต่พวกท่านก็ทำงานได้ดีมาเช่นกัน” ยามที่ทำงานพวกนางสองคนมีแต่รอยยิ้มต้อนรับลูกค้าทุกคน
“รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้างแต่ก็สนุกและมีความสุขมากเ้าค่ะ” ยี่เถียนตอบคำถามซินเยว่ด้วยน้ำเสียงที่ยังสดใสอยู่เช่นเดิม
“วันนี้ทำงานกันจนไม่มีเวลาได้พัก ดังนั้นนี่เป็เงินพิเศษของพวกท่านทั้งสองคน เก็บเอาไว้ใช้ซื้อในสิ่งที่พวกท่านสองคน้านะเ้าคะ”
ซินเยว่ยื่นถุงเงินให้ทั้งสอง หลัวฮูหยินเล่าให้ฟังว่าตอนที่ไปเจอทั้งสองคนนั้น พวกนางถูกทุบตีจากบิดากับลุงแท้ ๆ ที่ติดการพนันหนัก กำลังจะพาสองพี่น้องไปขายที่หอคณิกา ท่านป้าไปเจอซะก่อนจึงช่วยกลับมาและมอบพวกนางให้กับซินเยว่
“คุณหนู นี่! นี่มันจะไม่เยอะเกินไปหรือเ้าคะ พวกข้าไม่ได้ทำอะไรมากมาย ไม่ต้องให้เงินพวกเราเยอะขนาดนี้ก็ได้เ้าค่ะ” สองคนพี่น้องเมื่อเปิดถุงเงินก็ใ
“ไม่มากเกินไปหรอกน่า ค่าตอบแทนพิเศษใช่ว่าจะมีบ่อย ๆ เสียเมื่อไหร่ พี่สองคนรับไว้เถอะนะ” ตอนที่โรงเตี๊ยมเปิดวันแรกซินเยว่ก็ทำเช่นนี้ อย่างน้อยก็ทำให้ลูกจ้างมีกำลังใจในการทำงาน
“ถ้าพวกท่านตรวจดูความเรียบร้อยแล้ว ก็กลับบ้านไปพักผ่อนได้เลยนะเ้าคะ เดี๋ยวข้าจะเป็คนปิดร้านเอง อ้อ ข้าฝากบอกพี่แฝดด้วยว่าพรุ่งนี้เช้าให้แวะไปรับสินค้าที่บ้านข้า เพื่อจะเอามาเติมก่อนจะเปิดร้านเ้าค่ะ”
ซินเยว่ให้พวกนางอยู่บ้านพักหลังโรงเตี๊ยมเหมือนครอบครัวของเว่ยิ่ เพราะเดินทางสะดวกกว่าที่จะพักที่บ้านของนาง ส่วนคนงานส่วนใหญ่ของโรงเตี๊ยมจะมีไปเช้าเย็นกลับเสียส่วนใหญ่
“ได้เ้าค่ะ ขอบคุณหนูพวกข้าจะบอกกับสองคนนั่นให้นะเ้าคะ” เมื่อพวกนางรับคำแล้วข้าก็เดินขึ้นชั้นสองไป แต่แล้วก็ได้ยินเสียงดังแปลก ๆ พอเปิดประตูเท่านั้นแหละข้ากุมขมับแทบไม่ทัน
“โยว่ ๆ ๆ ยาวไป ๆ ๆ เย้ ๆ ยาวไป ๆ ๆ โยว่ ๆ” เป็เสียงเสี่ยวหลานที่ส่งเสียงคล้ายเครื่องดนตรี ส่วนมารดาก็สวมิญญาเป็นักเต้นระบำ
“นี่ พวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่หรือเ้าคะ” ซินเยว่ทันได้เห็นมารดาของตนเต้นรำแล้วทนไม่ไหวจึงเอ่ยขัดขึ้นมา
“คุณหนู นายหญิงกำลังเต้นระบำฉลองการเปิดร้านเครื่องประทินโฉมวันแรกเ้าค่ะ” เสี่ยวหลานไขข้อสงสัยของซินเยว่ ส่วนคนที่หยุดเต้นก็เอาแต่ยืนอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ เช่นกัน
‘เฮ้อออ ทำไมเื่พวกนี้ท่านแม่กับพี่เสี่ยวหลาน ถึงจำได้เก่งจริง ๆ เลยได้ดูแค่เพียงไม่กี่ครั้งเองนะ’
ซินเยว่ถึงจะบ่นแต่สุดท้ายก็เดินเข้าไปหามารดา จากนั้นก็เป็ไปกับเขาอีกคน จากนั้นก็มีแต่เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังออกมาจากร้านค้า
ส่วนทางด้านบุรุษต่างวัยสองคนที่แอบดูอยู่บนต้นไม้ ต่างพยายามกลั้นเสียงหัวเราะกันสุดฤทธิ์ ซึ่งบุรุษทั้งสองคนจะเป็ใครไปไม่ได้ นอกจากคู่อาจารย์และลูกศิษย์
“เฟยเทียนเ้าว่าพวกนางยังปกติดีหรือไม่ เหตุใดถึงได้ทำท่าทางประหลาด ๆ เช่นนั้นกัน” คราแรกที่อี้ซวนได้เห็นหน้าสตรีนางนั้นก็ตกตะลึงตาไม่กระพริบ แต่เมื่อคิดถึงเื่ทำแผลทีไรก็รู้สึกเคืองนางไม่หาย
“แต่ท่านแม่ของศิษย์กลับชื่นชมพวกนางสองแม่ลูกไม่น้อยขอรับ”
เฟยเทียนแวะเข้าไปพบมารดาที่จวนเมื่อสองวันก่อน จึงได้รู้จากมารดาว่านางจะเปิดร้านเครื่องประทินโฉมวันนี้ เขาถึงได้ชวนท่านอาจารย์มาแอบดู และท่านแม่ยังบอกอีกว่าจะทาบทามสตรีให้เขา
ดูท่ามารดาของเขาจะพึงใจนางยิ่งนัก จากการที่สังเกตว่ามารดาพูดถึงสตรีนางนั้น ช่างดูมีความสุขมากยามที่พูดถึง แค่นี้เฟยเทียนก็พอจะเดาได้ว่าสตรีคนนั้นหมายถึงผู้ใด นั่นก็คือเ้าตัวแสบคนนี้นี่เอง เมื่อรู้ว่าเป็เด็กสาวคนนี้เขาก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะกว่านางจะโตยังต้องใช้เวลาอีกตั้งหลายปี
