ซูจื่อเยี่ยกล่าวว่า ในบรรดาตระกูลในเมืองหลวง เรือนหลังของครอบครัวเขานั้นเรียบง่ายที่สุดแล้ว
เพราะบิดาแสนดีของเขารับตำแหน่งรักษาการณ์อยู่ในชายแดน อนุที่พาไปชายแดนด้วยเมื่อเกิดศึกที่วุ่นวาย จึงหายตัวไปตลอดเวลา...
“พี่จื่อเยี่ย?!” เสียงที่ละเอียดอ่อนและนุ่มนวลของหลิวเต้าเซียงแต้มลงบนหัวใจของเขา
เหมือนน้ำหยดลงบนน้ำพุ!
“หา?”
ดังนั้นครอบครัวของเ้าจึงเต็มไปด้วยปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ในตระกูลสินะ!
หลิวเต้าเซียงเบิกตาคู่สวยแวววาวจนกลมโต
“หรือไม่ เ้าลองเล่าเื่ราวในเมืองหลวงให้ข้าฟังหน่อยสิ ชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยไปเมืองหลวงเลย!” หลิวเต้าเซียงไม่อยากรนหาที่ตาย ดังนั้นเื่ปรมาจารย์เ่าั้ จึงได้แต่เก็บไว้ในใจ
ใบหน้าของซูจื่อเยี่ยดูแย่ในทันที
เื่ในเมืองหลวง? สาวน้อย เขาขอไม่พูดได้หรือไม่?
เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของเขา หลิวเต้าเซียงก็ไม่พอใจ “ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ถึงอย่างไรเ้ากับข้าก็แค่คนบังเอิญรู้จักกัน!”
คิ้วเข้มดุจหมึกของซูจื่อเยี่ยขมวดแน่น ชีวิตในเมืองหลวงนั้นเขาไม่้าย้อนนึกถึงแม้แต่นิดเดียว
อารมณ์เหมือนดวงอาทิตย์ส่องแสงตระหง่านในยามที่ย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ แต่เท้ากลับเหยียบลงบนกองมูลสุนัขอย่างไรอย่างนั้น
มันคงไม่เลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว
คืนวันส่งท้ายปีเก่า ซูฮุ่ยหยาไม่ไปถกเื่สวยๆ งามๆ กับบรรดาคุณหนู แต่กลับหาเื่องค์หญิงต่างแดนมาให้เขาปวดศีรษะเพิ่มขึ้นอีก
วันตรุษจีน!
บรรดาองค์ชายองค์หญิงยกขบวนกันมาที่จวนอ๋องผิง ไม่ว่าจะด้วยความยินดีหรือไม่ แต่ในจวนอ๋องผิงทุกคนต่างก็เค้นรอยยิ้มออกมา แม้กระทั่งสุนัขและแมวในบ้าน แม้ไม่เห็นแก่พระสงฆ์ก็เห็นแก่พระพุทธเ้า ถึงอย่างไรคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อันสูงส่งในพระตำหนักก็คือบิดาแท้ๆ ของคนเหล่านี้!
อย่างไรก็ควรมีการต้อนรับอย่างใหญ่โตโอ่อ่าให้สมฐานะ
ที่สวนด้านหลังของจวนอ๋องผิงมีขนาดใหญ่กว่าของขุนนางผู้มีบุญทั่วไป อันที่จริง ซ้ายขวาก็แค่มีบึงน้ำกับศาลากลางน้ำ และูเาปลอมก็เท่านั้น
สีสันแดงสดปลดปล่อยความงามที่แ่เบา กระดิ่งเงินส่งเสียงก้องกังวาน
ในสวนดอกเหมยสีแดง มีเพียงเสียงหัวเราะร่าและใบหน้ายิ้มแย้มของหญิงสาว ในกลีบกระโปรงสีแดง ชมพูและเหลืองปะปนกัน ราวกับบุปผางามที่กำลังผลิบาน
หากไม่มีผู้าุโคอยดูอยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มเด็กสาวคงได้ปลดปล่อยอารมณ์อย่างสบายใจกว่านี้
สั่งบ่าวให้ตั้งเตา รีบย่างลูกแกะให้เร็วรี่
หรือไม่ก็สั่งให้สาวใช้รินเหล้า!
“พี่จื่อเยี่ย รีบชิมเนื้อแกะย่างที่ข้าย่างเร็ว เนื้อแกะนี่คือตัวที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุดในทุ่งหญ้าของเราเชียวนะ” จินเซียงอวี้ไม่ได้เขินอายเหมือนหญิงสาวจงหยวน นางตรงไปตรงมาและไม่อ้อมค้อม นางคิดว่าในเมื่อชอบก็ควรเข้าหาอย่างองอาจ จึงจะไม่เสียท่าทีของลูกหลานแห่งทุ่งหญ้า
ซูฮุ่ยหยาค่อยๆ เดินตามหลังนางพร้อมกับจับประโปรงไว้ และยังมีสาวใช้ถือจานเดินตามกันเป็แถว บนจานนั้นวางเหล้าในกาสองหูกระเบื้องลายครามหนึ่ง
“พี่รอง เสด็จแม่บอกว่านานทีปีหนพวกเราพี่น้องจึงมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน นางจึงไม่มาร่วมสนุกด้วย เพราะคงทำให้ทุกคนสนุกกันได้ไม่เต็มที่ จึงให้คนส่งเหล้าหงซูรสเลิศอายุหลายปีมาให้”
เหล้าที่นางพูดถึงคือ เหล้าที่ใช้ดอกเหมยสีแดงในสวนแห่งนี้บ่มออกมา รสชาติไม่แรงมาก ไม่เหมือนกับเหล้าแรงที่รสชาติเข้ม เหล้านี้รสอ่อนเหมาะกับกระเพาะของผู้หญิง
ซูจื่อเยี่ยไม่ชอบเหล้าที่รสจืดเช่นนี้
“แบ่งมา”
จิ้นเซี่ยวซึ่งปรนนิบัติเขาอยู่ก้าวออกมาสองก้าว “จวิ้นจู่ ให้กระหม่อมเถิด เหล้าหงซูนี้เหมาะกับองค์หญิงทั้งหลายมากกว่า”
ซูฮุ่ยหยาบีบผ้าเช็ดหน้าและบังปาก จากนั้นยิ้มเบาๆ ว่า “ทั้งที่พี่รองก็อ่อนโยนสง่ายิ่งนัก เหตุใดต้องดื่มด่ำรสชาติเฉกเช่นจอมยุทธในยุทธภพ ช่างเถิด ข้ารู้ว่าเหล้านี้พี่รองคงไม่เหลียวแล ข้าไม่ตื๊อให้ท่านพี่รำคาญก็ได้ จิ้นเซี่ยว เอาไปแบ่งเสีย”
ในสายตาของคนนอก พี่น้องเป็มิตร รักใคร่แบ่งปัน
ซูฮุ่ยหยามีรูปโฉมงดงาม ผ้าคลุมสีแดงสดตัวใหญ่ ยิ่งขับให้ผิวพรรณของนางนวลผ่อง
หญิงสาวที่สง่างามและละเอียดอ่อนเช่นนี้ดึงดูดเด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์นับไม่ถ้วนจนต้องยอมก้มศีรษะให้
“เอาเหล้าล้มลาของเรามา” ในแววตาของจินเซียงอวี้มีประกายไฟ นางยิ่งรู้สึกสนใจในตัวเขา
มีปีศาจตัวน้อยในใจของนางคอยกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาว่าให้พิชิตเขา พิชิตเขา...
เมื่อมองไปที่จินเซียงอวี้ที่ยิ้มด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง ในสมองของซูจื่อเยี่ยก็ปรากฏภาพเด็กสาวที่ถือไม้แส้หนังและทำผมทรงหางแกะ
เขาขนลุกตัวสั่น เกือบหลงกลสาวงามแล้ว!
“ทำไม เป็ถึงบุตรชายในอ๋องผิง ไม่กล้าหรือ?” จินเซียงอวี้มองเขาอย่างท้าทาย
เหล้าล้มลานั้นแรงกว่ามีดร้อนๆ เสียอีก ในทุ่งหญ้าของพวกนาง หากว่าเด็กหนุ่มได้รับาเ็ จำต้องเทเหล้าล้มลาลงไปบนาแ จากนั้นค่อยโปรยยาจินชวง [1] เหล้าล้มลาคือเหล้าชั้นดี สามารถป้องกันาแอักเสบได้
ซูฮุ่ยหยายิ้มอย่างเ็าในใจ ไม่ว่าซูจื่อเยี่ยจะหลักแหลมเื่หลุมพรางอย่างไร นางก็อยากรู้ว่าเขาจะปลีกตัวออกจากเื่นี้ได้หรือไม่
ไม่อยากดื่มก็ต้องดื่ม
“พี่เซียงอวี้ พี่รองข้าไม่เคยไปรักษาการณ์ที่ชายแดน ปีที่แล้วเสด็จพ่อกลับมาพักฟื้นที่จวน หลังจากที่อาการาเ็ดีขึ้นก็มักจะเรียกพี่รองมาดื่มเหล้าด้วยกัน”
จินเซียงอวี้ถามตรงๆ ว่า “มีพี่ชายใหญ่ของเ้าอีกคนไม่ใช่หรือ?”
ซูฮุ่ยหยาตอบว่า “พี่รองกล้าหาญมากกว่า ไม่ได้กลัวเสด็จแม่ข้าแม้แต่น้อย พี่ชายใหญ่ข้าอยู่ในอาณัติเสด็จแม่ จึงไม่กล้าแตะเหล้าแม้แต่หยดเดียว”
ประโยคเดียวได้ความหมายสองแง่
นั่นคือการบอกแก่จินเซียงอวี้ว่าพี่รองซูจื่อเยี่ยของนางคอแข็ง และชี้ให้เห็นว่าซูจื่อเยี่ยไม่เชื่อฟัง ไม่เห็นเสด็จแม่อยู่ในสายตา มิฉะนั้นเหตุใดจึงไม่เกรงกลัวพระชายาอ๋องผิง
ทันใดนั้นซูจื่อเยี่ยก็ดูเ็าดุจน้ำแข็ง มุมปากยกสูง “เสด็จแม่มีเมตตา”
ไม่มีทางถือสาเื่เล็กน้อยของผู้เยาว์เช่นเขาแน่นอน
“อา พี่เยี่ย เ้าดื่มเก่งจริงหรือ ดีจริง ไปเอาชามใหญ่มาให้ข้า”
องค์ชายองค์หญิงคนใดเล่าไม่ชอบดูความสนุกสนาน เมื่อเห็นองค์หญิงต่างแดนอย่างจินเซียงอวี้กำลังจะดวลเหล้ากับซูจื่อเยี่ย ก็ตามมาดูความครึกครื้น
“ซูจื่อเยี่ย เ้าห้ามแพ้ให้จินเซียงอวี้เชียวนา ข้าพนันไว้ว่าเ้าชนะ”
“ในเมื่อพนันแล้ว ก็ควรมีรางวัล ข้าพนันฝั่งจินเซียงอวี้ รางวัลที่ข้าเอาออกมาคือไข่มุกตะวันออกที่ข้าเพิ่งได้มา”
“ไข่มุกอะไรกัน จื่อเยี่ย ดื่มให้เต็มที่ ข้าขอออกไข่มุกวิเศษเรืองแสง หากเ้าชนะ ไข่มุกเรืองแสงนี้เ้ามาเอาไปให้ว่าที่สะใภ้เล่นได้เลย”
“ฮ่าฮ่า...”
จินเซียงอวี้มองเด็กหนุ่มรูปหล่อที่อยู่ตรงหน้าอย่างตื่นเต้น “พี่จื่อเยี่ย กล้าหรือไม่!”
“พี่รอง เ้าคอแข็งยิ่งนัก พี่เซียงอวี้นั้นหรือจะเป็คู่ต่อสู้ท่านได้” ซูฮุ่ยหยากลัวว่าเื่จะยังวุ่นวายไม่มากพอ
เมื่อฝูงชนได้ยินก็ยิ่งอยากเห็นคนทั้งสองดวลเหล้ากัน
ซูจื่อเยี่ยมองไปที่ฝูงชน คนเหล่านี้ไม่กลัวความโกลาหลจริงๆ แต่กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าหากเขาไม่ตอบรับก็เหมือนกำลังบอกฝูงชนว่า เขาไม่ได้เื่
บุรุษจะปฏิเสธได้อย่างไร? เขาหันหน้าไปส่งสัญญาณให้จิ้นเซี่ยว
จิ้นเซี่ยวรีบลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “เหล้าล้มลานั้นแรงยิ่งนัก คนทั่วไปคงดื่มได้ไม่กี่จอก หรือไม่ก็ให้สาวใช้นำไปต้มน้ำแก้สร่างสักหน่อย ดีหรือไม่?”
นี่เป็เื่ดี ย่อมมีคนสั่งสาวใช้ไปต้มมา
จิ้นเซี่ยวหยิบถุงเงินออกมาจากอ้อมอกแล้วเอ่ย “นายน้อยของข้าไม่เหมือนกับองค์ชายองค์หญิงทั้งหลายที่มีทรัพย์สมบัติใหญ่โต เขาจึงสั่งให้ข้าน้อยวางเงินหนึ่งพันตำลึงว่าตนเองจะชนะ”
หนึ่งพันตำลึง! แล้วยังแสร้งทำเป็โอดครวญว่ายากจน!
ฝูงชนดูิ่!
ซูจื่อเยี่ยไม่ได้มีมิตรภาพมากนักกับองค์ชายองค์หญิงเหล่านี้ อย่างมากสุดก็แค่ความสัมพันธ์ที่แค่พยักหน้าให้
อย่างไรก็ตาม องค์ชายสี่ที่เขาสนิทชิดเชื้อไม่ได้อยู่ในนี้ ฝ่าามีรับสั่งให้หมั้นหมายจึงย้ายออกจากพระราชวังไปยังจวนต่างหากในปีที่แล้ว
ขณะนั้นเองบ่าวรับใช้ได้นำเหล้าล้มลากับชามใบใหญ่ของจินเซียงมาให้
“มีเหล้าแต่ไร้กับได้อย่างไรกัน?” ซูฮุ่ยหยามองจินเซียงอวี้แล้วเอ่ยต่อ “ได้ยินว่าทุ่งหญ้าของพวกเ้ามักจะกินเนื้อแกะคู่กับเหล้าล้มลา”
จินเซียงอวี้กล่าวด้วยความสนุกสนานว่า “แน่นอน ข้ามีเนื้อแกะย่างไว้ที่นี่แล้ว ให้บ่าวไปเอาที่ย่างแล้วมาได้”
การผลัดกันดวลเหล้าผ่านไปสามรอบแล้ว
ทั้งสองเริ่มเมามายจนใบหน้าแดงดุจดอกท้อ ดวงตาหรี่เล็กลง
“มาเถิด พวกเ้าอย่ามัวแต่ดื่มเหล้า รีบกินเนื้อแกะด้วย” ซูฮุ่ยหยาเห็นว่าทั้งสองดวลเหล้าล้มลากันหมดไปหนึ่งไหแล้ว อาหารบนโต๊ะก็เห็นถึงก้นชาม นางจึงสั่งให้สาวใช้ไปหั่นเนื้อแกะมาย่างใหม่
จินเซียงอวี้ดื่มเยอะไปหน่อย จึงสะบัดศีรษะที่เริ่มไม่มีสติสัมปชัญญะ จากนั้นคว้าตัวซูฮุ่ยหยาไว้ด้วยความเบลอ “คิกๆ ฮุ่ยหยา เหตุใดเ้ามีสองร่างเล่า?”
เด็กแก่นคนนี้ดื่มมากเกินไป
“เอาล่ะ มาเร็ว รีบกินเนื้อแกะย่างสะกดฤทธิ์เหล้ากันหน่อย ข้าป้อนเ้า” ซูฮุ่ยหยายิ้มอย่างอ่อนหวาน จากนั้นใช้ตะเกียบคีบเนื้อแกะย่างป้อนให้จินเซียงอวี้ แต่กลับไม่ทันระวังทำชามเหล้าตรงหน้าจินเซียงอวี้หกใส่กระโปรงของนาง
กระโปรงยาวสีต้นหลิวอ่อนเปื้อนเป็วงกว้าง ซึ่งชัดเจนนัก
ทุกคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้
ใบหน้าของซูฮุ่ยหยาเปลี่ยนเป็สีแดง นางพูดอย่างเขินอายและขอโทษ “พี่เซียงอวี้ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
จินเซียงอวี้เพิ่งจะได้สติ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “ไม่เป็ไรๆ ข้ามึนจนไม่ทันระวังเอง รีบให้คนพยุงข้าไปเปลี่ยนชุดสะอาดเร็ว โอ้ แล้วก็รีบให้คนเอาน้ำแกงสร่างเหล้ามา ข้าว่าพี่รองของเ้าก็คงดื่มได้พอประมาณแล้ว”
ซูฮุ่ยหยามองย้อนกลับไปด้วยความไม่เชื่อ พี่รองของนางช่างไม่มีก้นบึ้งจริงๆ ดื่มเหล้าได้เก่งแค่ไหนกันนะ?
จิ้นเซี่ยวรู้สึกประหม่าและไม่กล้าหายใจเสียงดัง เพราะกลัวว่าซูฮุ่ยหยาจะสังเกตเห็นความกังวลของเขา
ไม่เห็นหรือว่านายน้อยของเขาดื่มมากเกินไปแล้ว?
ถูกต้อง ไม่มีใครรู้ว่านายน้อยเมื่อดื่มมากเกินไป ก็จะนั่งด้วยท่าทีขึงขังอยู่ตรงนั้น ดวงตาจดจ้องไปที่หนึ่งโดยไม่กะพริบตา คนรอบข้างยังคงคิดว่าท่าทางของเขาเหมือนปกติ
แต่ในความเป็จริง เขาได้ลืมตาหลับสนิทไปเรียบร้อยแล้ว
ทักษะเทพแบบนี้ ตอนนี้มีเพียงนายน้อยของเขาที่ฝึกได้สำเร็จ
“พี่รอง ท่านไหวหรือไม่?”
ซูจื่อเยี่ยเงียบไปครึ่งครู่ จิ้นเซี่ยวกังวลมากจนเหงื่อแตก พลางะโในใจว่านายน้อย รีบตื่นเร็วเข้า มิฉะนั้นกลอุบายนี้จะถูกเปิดโปงแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ
“ไม่เป็ไร!”
ทันทีที่เขาพูดออกมา จิ้นเซี่ยวก็รู้สึกเพียงว่าสบายใจหน่อย
“จวิ้นจู่ กระหม่อมดูแลนายน้อยเองพ่ะย่ะค่ะ”
ซูฮุ่ยหยารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็คิดไม่ตกว่าคืออะไร
นางใช้สายตาจิ้งจอกแอบมองเขาครู่หนึ่ง จึงให้สาวใช้พยุงจินเซียงอวี้ขึ้นมา “ข้าขอตัวส่งพี่เซียงอวี้ไปเปลี่ยนชุดก่อน อีกเดี๋ยวค่อยยกน้ำแกงสร่างเหล้ามาให้ทุกคน”
นางมองไปที่ซูจื่อเยี่ยอีกครั้งและพูดกับจิ้นเซี่ยวว่า “ถ้าพี่รองสู้ฤทธิ์เหล้าไม่ไหว เ้าก็ให้คนพาเขาไปพักที่ศาลาก่อน”
ดงดอกเหมยในจวนอ๋องค่อนข้างกว้าง ศาลาหรือเรือนพักรับรองเช่นนี้มีมากถึงสี่ห้าหลัง
ไม่นานหลังจากที่ซูฮุ่ยหยากลับไป ซูจื่อเยี่ยก็นั่งอยู่ที่นั่นโดยลืมตาและกรนเล็กน้อย โชคดีที่ทุกคนจับกลุ่มหัวเราะและพูดคุยกัน ไม่มีใครพบเห็นความผิดปกติ
จากนั้นไม่รู้ว่ามีเด็กหนุ่มโผล่มาจากไหน แล้วเอ่ยกับจิ้นเซี่ยวจากด้านหลัง “พี่จิ้นเซี่ยว หรือว่าเราพานายน้อยรองไปพักที่พลับพลาให้สร่างก่อน ข้าว่าเหล้าล้มลาคงแรงน่าดู อีกเดี๋ยวจะให้คนนำน้ำแกงสร่างเหล้าไปให้ที่พลับพลา”
“เ้าพูดถูก” จิ้นเซี่ยวแกล้งทำเป็ว่าซูจื่อเยี่ยยังมีสติอยู่ จึงเอ่ยข้างหูเขา “นายน้อย กระหม่อมจะพยุงท่านเข้าไปพักสักครู่ อีกเดี๋ยวดื่มน้ำแกงสร่างเหล้าแล้วค่อยมา มิฉะนั้นโดนลมเย็นอาจทำให้ปวดศีรษะได้พ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบก็เอื้อมมือออกไปช่วยพยุงขึ้นมา ทั้งที่หลับไปแล้วแต่ดวงตาของซูจื่อเยี่ยก็ยังขยับไปมาและกะพริบตา จากนั้นมองดูของรางวัลที่วางตรงกลางโต๊ะแล้วเอ่ย “รางวัลคนชนะ”
แม้ว่านายน้อยของเขาจะเมามาย แต่ยังคงพะวงกับเื่แพ้ชนะพนัน
“นายน้อย อีกเดี๋ยวจะมีคนช่วยนายน้อยเก็บไว้พ่ะย่ะค่ะ เราเข้าไปพักกันก่อน”
-----
เชิงอรรถ
[1] ยาจินชวง 金疮药 จิน ชวง เย่า คือยาห้ามเื ที่นิยมใช้ในสมัยโบราณของจีน