มู่เฟิงประสานหมัดขณะกล่าวกับข่งย่วน
“หนานหลิงวางยาพิษเพื่อสังหารมู่เฟิง!”
“เื่นี้อาจมีความเป็ไปได้ ภายในอาณาจักรหนานหลิงความโกรธแค้นระหว่างกองกำลังทั้งสองถือว่าหยั่งรากลึกเป็อย่างมาก”
“การสังหารศิษย์ร่วมสำนักถือเป็การกระทำผิดกฎขั้นร้ายแรง”
ทันใดนั้นเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มบัณฑิต ทุกคนต่างก็แสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเื่นี้
หลังจากได้ฟังคำกล่าวนั้น ข่งย่วนก็เลิกคิ้วมองไปทางหนานหลิง
“เ้ากำลังใช้คำพูดใส่ร้ายผู้อื่น!”
หนานหลิงชี้นิ้วไปทางมู่เฟิง ก่อนจะตวาดออกมาอย่างขุ่นเคือง “เ้าบอกว่าข้าหนานหลิงเป็คนวางยาพิษเ้า เ้ามีหลักฐานอันใด?”
“หลักฐานรึ เ้าอาศัยประโยชน์จากความบาดหมางระหว่างข้ากับมู่ชิง หลอกใช้เขาให้วางยาข้า เื่นี้มู่ชิงเป็คนยอมรับออกมาเอง เ้ายังจะ้าหลักฐานใดอีก?”
มู่เฟิงกล่าวด้วยสีหน้าเ็า
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ไร้สาระ ไม่มีมูลความจริงเลยแม้แต่น้อย”
หนานหลิงหัวเราะออกมาเสียงดัง “ศิษย์พี่ข่ง ท่านเองก็ได้ยินแล้ว ความจริงเป็มู่ชิงศิษย์จากตระกูลมู่ของเขาที่วางยาเขา เื่นี้เกี่ยวอันใดกับข้าหนานหลิงกัน ข้าขอถามเ้า หากเป็ในกรณีที่มู่ชิงคิดกระทำเองและ้าโยนความผิดมาให้ข้าหนานหลิงผู้นี้เล่า เ้าจะว่าอย่างไร?”
“เ้า…!”
มู่เฟิงโมโหกับคำตอบของอีกฝ่าย แต่เขาเองก็ไม่มีข้อโต้แย้งเช่นกัน
หากมองอย่างเป็กลาง สิ่งที่หนานหลิงกล่าวมาก็นับว่ามีเหตุผล เพราะคนที่วางยาเขาเป็ศิษย์จากตระกูลมู่ของเขาเอง หาใช่คนนอก ดังนั้นคำพูดของมู่ชิงจึงไม่อาจใช้เป็คำให้การในการเอาผิดจากบุคคลที่สามได้
“ถูกต้องแล้ว มู่เฟิง หากศิษย์ตระกูลมู่ของเ้าเป็คนวางยาพิษเ้าเองจริงๆ คำให้การนี้ไม่อาจใช้ได้”
ข่งย่วนกล่าวตามหลักการความจริง
“ฮ่าๆ ตระกูลมู่ ช่างน่าสนใจเสียจริง พวกเ้าคิดจะฆ่ากันเองแต่กลับมากล่าวโทษฝ่าาของพวกข้า มู่เฟิงหนอมู่เฟิง ในฐานะนายน้อยของตระกูลมู่ เ้าช่างทำตัวได้เหลวไหลยิ่งนัก”
ทันใดนั้นซั่งกวานเชียนจื้อก็กล่าวประชดประชันขึ้นมา
มู่เฟิงเหลือบตามองไปทางเขาอย่างเ็า ดวงตาอันคมกริบของเขาราวกับหายนะที่กำลังจะกลืนกินผู้คน ซั่งกวานเชียนจื้อรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวราวกับได้เข้าไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยออกไปสองก้าวด้วยความหวาดหวั่นและไม่กล้าสบตามู่เฟิงอีก
“ถูกต้องแล้ว เื่ที่เกิดขึ้นล้วนเป็การต่อสู้กันเองภายในตระกูลมู่ หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับข้าหนานหลิงผู้นี้ไม่”
หนานหลิงกล่าวอย่างเย้ยหยัน
การยืมมีดสังหารคนในครั้งนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์ของมันจะสำเร็จหรือล้มเหลว และต่อให้จะถูกเปิดเผย ผลของมันย่อมไม่มีวันตกมาถึงคนที่บงการอยู่เื้ัอย่างเขา
ในทางกลับกัน ครั้งนี้ตระกูลมู่จะต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ต่อให้มู่ชิงจะทำพลากแล้วอย่างไร หากมู่เฟิงลงทัณฑ์มู่ชิงถึงชีวิต บิดาของมู่ชิงก็จะต้องแตกหักกับมู่เฟิงอย่างแน่นอน หรือหากมู่ชิงทำสำเร็จ ศัตรูตัวฉกาจของหนานหลิงก็จะถูกกำจัด
มู่เฟิงรู้สึกเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ เขาตระหนักได้ทันทีว่าสุรารสขมนี้มีเพียงตระกูลมู่ที่ต้องฝืนกลืนลงไปเพียงลำพัง
“มู่เฟิง การกระทำของมู่ชิงในครั้งนี้ถือเป็ความขัดแย้งภายในของตระกูลมู่ ไม่ว่าเ้าจะจัดการกับเื่นี้อย่างไรทางสำนักศึกษาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เวลานี้เ้าเพียงแค่จ่ายค่ารักษาให้กับหลิวเซิ่งก็สามารถไปได้แล้ว”
ข่งย่วนกล่าวตัดบท
มู่เฟิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขานำถุงเงินออกมาจากแหวนเฉียนคุนก่อนจะโยนมันให้กับหลิวเซิ่ง จากนั้นเขาก็ถือหอกและพาเสี่ยวเทียนจากไป
ฝูงชนที่กำลังรายล้อมเพื่อดูสถานการณ์ต่างก็รีบแหวกทางให้เขา ทว่าทันใดนั้นมู่เฟิงก็ชะงักฝีเท้าและหันกลับมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มชี้หอกในมือไปทางหนานหลิง ก่อนจะกล่าวอย่างเ็าว่า “หนานหลิง อีกหนึ่งปีหลังจากนี้ ข้ามู่เฟิงจะต่อสู้เป็ตายกับเ้า เ้ากล้ารับคำท้านี้หรือไม่?”
หลังจากได้ยินดังนั้นฝูงชนโดยรอบต่างก็ใทันที พวกเขาหันขวับไปมองมู่เฟิงสลับกับมองหนานหลิง
“ไม่มีทาง หลังจากนี้อีกหนึ่งปีมู่เฟิงจะท้าสู้แบบเป็ตายกับหนานหลิงอย่างนั้นรึ!”
“เ้าเด็กนี่คงกำลังถูกโทสะครอบงำความคิดอยู่เป็แน่ หนานหลิงคือยอดฝีมือที่มีรายชื่อติดอยู่ในห้าสิบอันดับแรกของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นเชียวนะ แม้ว่าหลังจากนี้อีกหนึ่งปีมู่เฟิงจะสามารถทะลวงขึ้นสู่ระดับหนิงกังได้ แต่เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนานหลิงอยู่ดี”
“เฮ้อ เด็กหนุ่มผู้นี้ช่างหุนหันพลันแล่นนัก เืร้อนและเถรตรงเกินไปจริงๆ”
ทุกคนต่างก็คาดไม่ถึงกับท่าทีของมู่เฟิง แน่นอนว่าเื่นี้ต้องมีเสียงวิพากย์วิจารณ์ตามมาไม่รู้จบ คนส่วนใหญ่ต่างก็มองว่ามู่เฟิงนั้นโง่เขลาไม่รู้จักคิด
แต่ใครจะรู้ว่าความโกรธและความเย่อหยิ่งภายในใจของเด็กหนุ่มนั้นเคยถูกกระตุ้นโดยหนานหลิงครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นนี้จะให้เขาอดทนต่อไปได้อย่างไร หากต้องฝืนอดทนต่อไปเกรงว่าคงไม่ใช่มู่เฟิงแล้ว
เด็กหนุ่มชี้หอกไปทางหนานหลิง ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในรายชื่อยอดฝีมือห้าสิบอันดับแรกของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น
หนานหลิงคาดไม่ถึงกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ไม่คิดว่ามู่เฟิงจะกล้าท้าทายเขาเช่นนี้
อีกหนึ่งปี? เหอะ ต่อให้เป็เวลาอีกปีสองปีแล้วอย่างไร วรยุทธ์ของเขาเองก็ไม่ได้หยุดนิ่ง วันหน้าเขาก็ต้องพัฒนาขึ้นเช่นกัน ต่อให้หลังจากนี้อีกหนึ่งปีมู่เฟิงจะสามารถทะลวงขึ้นสู่ระดับหนิงกังได้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี
หนานหลิงกล่าวเย้ยหยันออกมาอย่างทะนงตนว่า “ไม่ว่าจะอีกหนึ่งปีหรือสองปีข้าก็จะรอเ้า ขอเพียงแค่เ้ากล้ามา หากถึงเวลานั้นเมื่อไรมันจะเป็เวลาตายของเ้า”
มู่เฟิงคลี่ยิ้มเย็นะเื เขาดึงหอกกลับก่อนจะหมุนตัวจากไป แผ่นหลังของเขายังคงตั้งตรงเหมือนกับนิสัยที่ไม่มีวันยอมงอให้ใคร
ด้านหนานหลิงหลังจากจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ก็เดินกลับเข้าไปในเรือนพักของตัวเองทันที
“เ้าคนงี่เง่านี่ ไม่ใช่ว่ากำลังรนหาที่ตายให้ตัวเองหรอกรึ”
ข่งเซวียนเอ๋อร์มองตามแผ่นหลังของมู่เฟิงที่เดินจากไป ก่อนจะกล่าวพึมพำกับตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์
ข่งย่วนเองก็กำลังมองมู่เฟิงที่เดินจากไปเช่นกัน ดวงตาคู่สวยของนางเปล่งประกายแวววาว โดยมีร่องรอยของความชื่นชมซ่อนอยู่ภายในนั้น
นางสามารถมองออกว่าเื่นี้มู่เฟิงไม่ได้ตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น เพราะนอกจากโทสะที่เขาแสดงออกมาแล้ว ในดวงตาคู่นั้นของเด็กหนุ่มยังมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมอยู่ด้วย
“นี่ แม่สาวน้อย เหตุใดท่าทีของเ้าในวันนี้ถึงได้ดูแปลกไปเล่า เ้าไม่ได้ชิงชังมู่เฟิงผู้นั้นหรอกหรือ ทำไมถึงขอให้ข้าช่วยเขา?”
ทันใดนั้นข่งย่วนก็กล่าวขึ้นอย่างหยอกล้อ
“ข้าช่วยเขาที่ไหนกัน ข้า ข้าแค่...”
ใบหน้าของข่งเซวียนเอ๋อร์พลันแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย นางกล่าวด้วยน้ำเสียงติดขัดที่เผยให้เห็นถึงความเขินอาย
“ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่าเขารนหาที่ตายเองหรอกหรือ เหตุใดเ้าต้องเป็กังวลด้วย ไม่ใช่ว่าระหว่างเ้ากับเขาเกิดเื่อะไรขึ้นจริงๆ หรอกนะ? ไม่สิ ข้าควรจะถามว่าเขารังแกน้องหญิงของข้าจริงหรือไม่ หากว่าเป็ความจริง ข้าจะไปเฉือนน้องชายของเขาทิ้งเสีย”
ข่งย่วนกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“อย่าเลย ระหว่างข้ากับเขาไม่มีอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดล้วนเป็เื่ที่คนอื่นลือกันไปเอง”
ข่งเซวียนเอ๋อร์รีบอธิบายด้วยความใ
“ไม่มีลมย่อมไม่เกิดคลื่น บอกมา แท้จริงแล้วระหว่างเ้ากับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ข่งย่วนเค้นถาม
“ข้า...เอ่อ...หากพี่หญิงได้ฟังแล้วห้ามหัวเราะเยาะข้าเชียวนะ”
ข่งเซวียนเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ จากนั้นนางก็เริ่มเล่าถึงเื่ที่เกิดขึ้นภายในห้องฝึกในวันนั้น
หลังจากได้ฟังเื่ราวทั้งหมด ข่งย่วนก็หัวเราะออกมาไม่หยุด ส่วนข่งเซวียนเอ๋อร์รู้สึกโมโหจนต้องกระทืบเท้าออกมา
“พี่หญิง ท่านเป็พี่สาวของข้า เหตุใดท่านยังจะหัวเราะอีก”
“หึหึ ช่างน่าสนใจยิ่งนัก เ้าเด็กนั่นถึงกับคิดวิธีลงโทษเช่นนี้ออกมาได้ เอาละ พี่หญิงไม่หัวเราะเ้าแล้ว แต่สิ่งที่เ้าทำนั่นก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน ต่อไปเ้าจะบุกเข้าไปในห้องฝึกของผู้อื่นเช่นนั้นไม่ได้ พวกเรากลับกันเถอะ มู่เฟิงผู้นี้แม้จะหยิ่งผยองเกินไปเสียหน่อย แต่พร์ของเขาก็นับว่าไม่เลว”
“พี่หญิง ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ”
“ไม่ได้ ท่านต้องกล่าวมาให้ชัดเจน...”
ข่งย่วนและข่งเซวียนเอ๋อร์เดินจากไปพร้อมกับกลุ่มผู้คุมกฎ ส่วนบัณฑิตคนอื่นที่เหลือต่างก็แยกย้ายกันในทันที
เพียงไม่นาน เื่ที่มู่เฟิงบุกเข้าไปในอาณาเขตของศิษย์สายในเพียงลำพัง และยังสามารถเอาชนะหลิวเซิ่ง ทั้งยังท้าสู้เป็ตายกับหนานหลิงในอีกหนึ่งปีให้หลังก็ได้แพร่กระจายไปทั่วในหมู่บัณฑิตสายใน ทำให้เกิดการข้อถกเถียงขึ้นพอสมควร
ภายในเรือนโอสถ ขณะนี้ศิษย์ตระกูลมู่จำนวนมากกว่าสี่สิบคนต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ โดยมีมู่หลิงเอ๋อร์เป็ผู้นำกลุ่ม
ไม่นานมู่เฟิงก็กลับมาที่เรือนโอสถเพื่อดูอาการของไป๋จื่อเยว่ เขาพบว่าเด็กหนุ่มยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากของเขาไร้สีเือีกทั้งยังเปลี่ยนเป็สีดำคล้ำ
“พี่เฟิง ท่านาเ็อย่างนั้นหรือ?”
มู่ขวงเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง
“เสี่ยวเฟิง เ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
เมื่อมู่เฟิงมาถึง ทุกคนก็เห็นอาการาเ็บนร่างกายของเขาได้ทันที
“ข้าไม่เป็อะไร จื่อเยว่เป็อย่างไรบ้าง?”
มู่เฟิงส่ายหน้า ก่อนจะรีบถามถึงอาการของไป๋จื่อเยว่
สีหน้าของมู่หลิงเอ๋อร์และคนอื่นๆ พลันเปลี่ยนเป็มืดมนโดยไม่มีใครยอมตอบอะไรออกมา
“ท่านหมอบอกว่าพิษนี้ไม่มีทางรักษา!”
“ไม่มีทางรักษา!”
คำพูดเพียงไม่กี่คำนี้ราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางใจของมู่เฟิง ในทรวงอกรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที สายตาจ้องมองไปทางไป๋จื่อเยว่ที่ยังคงนอนสลบไสลอยู่บนเตียง หัวใจของเขาเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บไปหมด เด็กหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงของไป๋จื่อเยว่ก่อนจะนั่งลง เขากุมมืออันเย็นเฉียบของอีกฝ่าย ดวงตาเริ่มแดงรื้นขึ้นมาเล็กน้อย