“พรุ่งนี้พี่ใหญ่ของข้าจะนำคนไปยังเทือกเขาจู่เสีย หากเ้าทนกลิ่นสมุนไพรได้ ข้าจะพาเ้าไปซ่อนในรถขนยาสมุนไพร แล้วเดินทางไปกับพวกเขา”
“อวิ๋นลั่วขอบพระคุณคุณชายรองอู!”
ในใจของอวิ๋นลั่วสุขล้น พี่จื่ออู่ รอลั่วเอ๋อร์ก่อนนะ! ลั่วเอ๋อร์จะไปหาท่านแล้ว
หลายวันก่อนอวิ๋นลั่วได้ยินผู้คนนอกหุบเขาพูดกัน ได้ความว่าทุกตระกูลใหญ่ในแดนเจ๋อจะไปรวมตัวกันที่เทือกเขาจู่เสีย เพื่อต่อต้านการรุกรานของสัตว์ร้าย นางเดาว่าพี่จื่ออู่ต้องไปที่นั่นอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงตัดสินใจทำเช่นนี้ ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องพบอีกฝ่ายและต้องรู้ความจริงจากเขาให้ได้
เช้าวันรุ่งขึ้น อูิเยี่ยนำกลุ่มคนหลายร้อยมารวมตัวกันหน้าปากทางเข้าหุบเขา ผู้าุโหลายคนและฟูเหรินของผู้นำหุบเขาต่างมายืนรอส่ง
ไป๋เซียงถิงยื่นป้ายตราให้อูิเยี่ยแล้วเอ่ยว่า “หากมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น จงใช้สิ่งนี้เพื่อเรียกรวมเหล่าสาวกที่อยู่นอกหุบเขาไป่หลิง จำเอาไว้ว่าจงใช้มันเป็ทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น”
อูิเยี่ยตอบรีบ “ท่านแม่โปรดวางใจ ิเยี่ยจะไม่นำป้ายตราออกมา เว้นแต่ว่าจะจำเป็จริงๆ ขอรับ”
เมื่อมองดูบุตรชายคนโต ไป๋เซียงถิงก็รู้สึกผิดต่อเขา ตัวเขาไม่มีพลังิญญา ไม่อาจสืบทอดตำแหน่งผู้นำหุบเขาไป่หลิงได้ แต่กลับต้องแบกรับความรับผิดชอบที่หนักหนากว่าใคร
“ระวังตัวด้วย หากเดินทางไปถึงเทือกเขาจู่เสียและได้พบกับหลิงเอ๋อร์แล้ว บอกนางว่าหากเื่ราวเสร็จสิ้นลง ให้พาบุตรชายคนโตจากชิงหลิ่วถังมาที่นี่ ข้าอยากพบเขาสักหน่อย”
“ขอรับ ิเยี่ยจะจดจำเอาไว้”
อูิเยี่ยมองเข้าไปในหุบเขา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เหตุใดจึงไม่เห็นิโยวเลยขอรับ”
ไป๋เซียงถิงฝืนยิ้มและพูดว่า “เด็กคนนั้นถูกบิดาของเ้าตามใจจนเคยตัว เมื่อไม่ให้ออกจากหุบเขา เขาจึงไม่พอใจ”
อูิเยี่ยยิ้ม “แม้ท่านจะเอ่ยเช่นนั้น แต่คนที่ตามใจเขาก็ไม่ได้มีแค่ท่านพ่อคนเดียวนะขอรับ”
“เ้าคนนี้! ปากร้ายเหมือนเ้าิโยวเลยนะ”
ไป๋เซียงถิงจัดชุดให้บุตรชาย “สายมากแล้ว ออกเดินทางเถิด ระมัดระวังด้วย!”
อูิเยี่ยเหลือบมองเหล่าผู้าุโและกระซิบข้างหูของมารดา “ท่านแม่เองอยู่ในหุบเขาก็ระวังตัวด้วยนะขอรับ”
ไป๋เซียงถิงตบไหล่เขาเบาๆ เพื่อบอกว่านางเข้าใจ
อูิเยี่ยหันไปหาทุกคนแล้วเอ่ยออกมา “ออกเดินทาง!”
“เดี๋ยว รอก่อน...” จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง
ไม่ไกลออกไป อูิโยววิ่งตามมาด้วยท่าทีเหนื่อยหอบ เื้ัมีรถม้าหนึ่งคัน ในนั้นบรรทุกกล่องน้อยใหญ่ถึงเจ็ดแปดกล่อง เมื่อเข้ามาใกล้ อูิโยวก็ทุบหน้าอกพร้อมกับหายใจหอบ
“ไอ้หยา คิดว่าจะมาไม่ทันแล้ว!”
อูิเยี่ยขมวดคิ้ว “ิโยวข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้เ้าออกจากหุบเขา นี่เ้ากำลังทำสิ่งใดกัน”
อูิโยวโบกมือแล้วอธิบาย “พี่ชาย อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดจะตามท่านออกจากหุบเขา บนรถม้าคันนี้มีตัวยาบางอย่างที่ข้าคิดค้นขึ้นมา บรรจุแยกเป็หมวดหมู่อย่างดี หลังจากที่ท่านไปถึงเทือกเขาจู่เสีย มันจะมีประโยชน์กับท่านแน่นอน”
อูิโยวยื่นบังเหียนม้าให้พี่ใหญ่ของตน “ท่านระวังตัวด้วย เมื่อไปถึงเทือกเขาจู่เสียและพบพี่หญิงกับหลิ่วไป๋เจ๋อ ฝากบอกพวกเขาว่า ิโยวผู้นี้เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่เอาไว้ให้พวกเขาสองคนแล้ว”
“เ้าเด็กคนนี้!”
อูิเยี่ยตบไหล่ิโยวและทอดถอนใจ ในที่สุดน้องชายของเขาก็เติบใหญ่ขึ้นแล้ว
“จริงด้วยพี่ใหญ่” ิโยวชี้ไปยังกล่องไม้ขนาดใหญ่ที่สูงประมาณครึ่งตัวคนในรถ “อย่าให้ใครแตะต้องของในกล่องไม้นี้เด็ดขาด ข้างในคือยาพิษที่พี่หญิงขอให้ข้าเตรียมให้ เป็พิษที่ใช้สำหรับจัดการสัตว์ร้ายในเทือกเขาจู่เสีย ห้ามให้ผู้อื่นแตะต้อง แม้ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ จากด้านในก็ห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด วางมันไว้ตรงมุมด้านในรถม้าก็พอ”
“สิ่งใดอยู่ในนั้น”
อูิโยวหัวเราะ “รีบเดินทางเถิด!”
อูิเยี่ยไม่ใช่คนที่มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น หลังบอกลาทุกคน เขาก็นำขบวนคนหลายร้อยและรถม้าขนยาสมุนไพรหลายคันเดินทางออกจากหุบเขาไป่หลิง
หลังส่งอูิเยี่ย ิโยวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงหันกลับมา พาผู้เป็มารดาออกจากตรงนั้น
“ท่านแม่ รอสักครู่ ข้ามีเื่จะคุยกับท่าน”
ไป๋เซียงถิงหันไปพูดกับผู้าุโที่อยู่ข้างหลัง “ท่านผู้เฒ่าโปรดไปรอที่ห้องโถงสักครู่ ข้าจะรีบตามไป”
ผู้เฒ่าหลายคนแสดงสีหน้าไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ยอมเดินไปก่อน อูิโยวแลบลิ้นปลิ้นตาอยู่ข้างหลังเหล่าผู้าุโ ไป๋เซียงถิงเห็นเข้าจึงหัวเราะเบาๆ “อย่าซน!”
ิโยวมองด้วยท่าทีไม่สนใจไยดี “สิ่งที่ข้าทนไม่ได้ที่สุดคือพวกเขามักใช้ความาุโของตนมาดูถูกดูแคลนผู้คน พวกเขาก็แค่มีหนวดเครามากกว่าคนอื่นเท่านั้นมิใช่หรือ”
ไป๋เซียงถิงยื่นมือไปบีบแก้มเขา เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม “เอาล่ะ ว่ามา เ้ามีอะไรจะบอกกับแม่กัน”
ิโยวจับต้นแขนมารดา แสดงท่าทีออดอ้อน “ท่านแม่ การรุกรานของสัตว์ร้ายในครั้งนี้ทำให้วัตถุดิบในการปรุงยาสมุนไพรส่วนใหญ่ที่เก็บไว้ถูกใช้ไปถึงครึ่งหนึ่ง ข้าอยากไปเดินดูที่ด้านหลังหุบเขา เผื่อว่าจะมีวัตถุดิบในการปรุงยาใหม่ๆ ได้หรือไม่ขอรับ”
ิโยวพูดถูก การรุกรานของสัตว์ร้ายในครั้งนี้ทำให้คลังยาของหุบเขาไป่หลิงถูกกวาดจนว่างไปครึ่งหนึ่ง ปีก่อนๆ ไม่เคยมีการใช้ยาจำนวนมากในคราวเดียวเช่นนี้ สมุนไพรส่วนใหญ่ในแปลงของหุบเขาก็ยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยว หากเป็เช่นนี้ต่อไปคลังยาของหุบเขาไป่หลิงคงต้องว่างเปล่าเป็แน่ ที่นางบอกให้เหล่าผู้เฒ่ารออยู่ในห้องโถงใหญ่ก็เพราะ้าหารือเื่นี้อยู่พอดี ไม่คาดคิดว่าิโยวจะเอ่ยขึ้นมาก่อน
ไป๋เซียงถิงรู้สึกอิ่มเอมใจก่อนจะเอ่ย “แม่เห็นด้วย แต่เ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปคนเดียว”
อูิโยวพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะพาผู้ติดตามไปด้วยสองคนขอรับ”
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ในตอนที่ศิษย์ทั้งสองนำจดหมายมายื่นให้ไป๋เซียงถิงก็ทำให้อีกฝ่ายตกตะลึงเป็อย่างมาก
ิโยวเขียนจดหมายเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว การเดินทางไปยังหลังหุบเขาเพื่อตามหาแปลงยาสมุนไพรตามธรรมชาตินั้นเป็เพียงข้ออ้าง อันที่จริงเมื่อนานมาแล้ว เขาเคยค้นพบแหล่งสมุนไพรยาธรรมชาติทำเลดีหลายแห่งในหุบเขาด้านหลัง มักใช้เป็แปลงยาประจำของตัวเอง ในครั้งนี้เพื่อหาทางออกจากหุบเขา จำต้องยอมมอบสมบัติที่เก็บไว้ใช้ส่วนตัวของตน
ในจดหมายิโยวบอกมารดาถึงที่ตั้งของแหล่งยาและบอกว่าเขาพบไป๋อิงเฉ่าที่หายาก ซึ่งพี่ใหญ่จำเป็ต้องใช้ ดังนั้นจึงจะเดินทางไปยังเทือกเขาจู่เสีย ทั้งยังบอกนางว่าไม่ต้องเป็ห่วง
“เ้าลูกคนนี้!” ไป๋เซียงถิงจนใจ ทว่าไม่ได้ให้ใครไปตามเขากลับ นางหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมาย ก่อนจะหันไปทางหน้าต่างแล้วผิวปากทีหนึ่ง แสงสีเงินพุ่งเข้ามาจากด้านนอก นกดวงดาวตัวหนึ่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของนาง
ไป๋เซียงถิงแนบจดหมายไว้บนลำตัวของนกน้อย แตะกลุ่มขนสีเงินของมัน “อิ๋นเฟิง นำจดหมายไปให้ิเยี่ย รีบไปรีบกลับ”
อิ๋นเฟิงส่งเสียงร้องสองครั้งก่อนจะบินออกนอกหน้าต่างไป แต่ทันทีที่มันบินออกมาพ้นเขตหุบ ก็มีแสงสีเงินอีกดวงปรากฏขึ้นข้างหลัง และบินตามมันไปจากหุบเขาไป่หลิง
เมื่อเห็นอิ๋นเฟิงกลืนหายไปกับขอบฟ้า หว่างคิ้วของไป๋เซียงถิงจึงปรากฏร่องรอยความโศกเศร้า
“ไป๋อิงเฉ่า...” นางจะไม่รู้จักไป๋อิงเฉ่าที่เปรียบดั่งหญ้านางฟ้าได้อย่างไร นั่นไม่ใช่สมุนไพรที่หาได้ง่ายๆ
ไป๋อิงเฉ่ามีอีกชื่อหนึ่งว่าหญ้านางฟ้าขาว หญ้าชนิดนี้เจริญเติบโตภายใต้แสงสว่างสีขาว จึงเป็ที่มาของชื่อ แสงสว่างสีขาวที่กล่าวถึงก็คือพลังิญญาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แล้วจะพบได้ง่ายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน หากที่ิโยวเอ่ยถึงไป๋อิงเฉ่าเป็เื่จริง เช่นนั้นคงมีทางเดียวที่เป็ไปได้
“ใครก็ได้เข้ามาที!”
ผู้คุ้มกันนายหนึ่งเดินเข้ามาจากหน้าประตู “ขอรับฟูเหริน!”
“ไปดูที่หมู่บ้านเถาฮวานอกหุบเขาหน่อย ดูว่าแม่นางอวิ๋นลั่วจากคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานยังอยู่ที่นั่นหรือไม่”
“ขอรับ!”
ผืนน้ำใสสะอาด ภูผางดงาม ป่าทึบรายล้อม อูิโยวนอนอยู่ข้างลำธาร วักน้ำดื่มจนแขนเสื้อเปียก เขาบิดผ้าให้หมาดก่อนจะยกขึ้นสะบัดด้วยท่าทีสบายใจ ไม่นานแขนเสื้อก็แห้งภายใต้แสงแดดที่แผดเผา
เขาแก้ห่อผ้าออกมาจากหลังม้า หยิบเถียนปิ่ง[1]ออกมาสองชิ้น ก่อนจะมอบให้คนที่อยู่ข้างกายหนึ่งชิ้น
“อะ กินเถอะ! เดินทางมาตั้งนานคงหิวน่าดู”
คนผู้นั้นรูปร่างผอมบางจนมองเห็นได้จากด้านหลัง เอวเพรียวก็ยังคงเห็นได้ชัดแม้อยู่ภายใต้เครื่องแต่งกายของบุรุษ คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็แม่นางอวิ๋นลั่ว บุตรสาวของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานที่เคยขอให้ิโยวช่วยพาออกจากหุบเขานั่นเอง
อวิ๋นลั่วรับเถียนปิ่งไปกัดหนึ่งคำ ท่าทางดูเอร็ดอร่อยเป็อย่างมาก
เมื่อเห็นนางกิน ิโยวก็ยิ้มออกมา
“เ้ายิ้มทำไม” อวิ๋นลั่วใช้แขนเสื้อเช็ดเศษอาหารที่เปื้อนบนปาก ก่อนจะกัดเถียนปิ่งเข้าไปอีกคำ
ิโยวยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าศีรษะแล้วมองดูนาง “ข้าคิดว่าคุณหนูอย่างเ้าคงทนต่อความลำบากเช่นนี้ไม่ได้ แต่ตลอดการเดินทางทำให้ข้าต้องยอมรับว่ามองเ้าผิดไป”
อวิ๋นลั่วไม่โกรธ นางตอบกลับไปว่า “ในสายตาผู้อื่น ข้าเป็หญิงที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตามข้าเป็ถึงบุตรสาวจากคฤหาสน์อวิ๋นหลานซาน แม้มีพลังิญญาเป็ที่ยอมรับ แต่ก็จำเป็ต้องศึกษาศิลปะการต่อสู้ อย่ามองเพียงแค่ว่าข้าผอมบาง ถึงข้าจะผอม ทว่าก็มีพละกำลังที่แข็งแกร่งมาก”
ท่าทางของิโยวดูไม่ค่อยอยากจะเชื่อ อวิ๋นลั่ววางเถียนปิ่งลง ก่อนจะเดินไปยังลำธารและหยิบกรวดขึ้นมา ก้อนกรวดนั้นอันเท่าไข่ไก่ ขนาดกำลังเหมาะมือ
“ดู!”
อวิ๋นลั่วขยิบตาให้อีกฝ่าย แล้วโยนก้อนกรวดไปยังหินแข็งที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ทันทีที่ก้อนกรวดกระทบหินแกร่ง แทนที่มันจะกระเด็นออก กลับฝังลึกอยู่ข้างใน ราวกับก้อนกรวดนั้นจมลงในโคลนนุ่ม!
อูิโยวสูดหายใจเข้าอย่างแรงด้วยความใ เขาสังเกตเห็นว่าในตอนที่อวิ๋นลั่วขว้างก้อนกรวด นางไม่ได้ใช้พลังิญญาแม้แต่น้อย ใช้แค่ความแข็งแกร่งของร่างกายตนเองเท่านั้น
อูิโยวปรบมือ “เยี่ยมมาก! เ้าทำได้อย่างไร”
อวิ๋นลั่วปัดฝุ่นบนมือแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไร นอกจากใช้กำลังมือที่มากแล้ว ต้องอาศัยความแข็งแกร่งที่มองไม่เห็นควบคุมก้อนกรวดไม่ให้กระเด็นออกไป”
อูิโยวถอนหายใจ “คิดไม่ถึงว่าเ้าจะแข็งแกร่งเช่นนี้”
“เ้าหนู อย่าตัดสินตำราจากปกสิ!” อวิ๋นลั่วกลอกตา ซึ่งดูน่ารักแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ตัวนางได้สร้างความประทับใจต่ออูิโยวไม่น้อย
ิโยวพบว่าอวิ๋นลั่วแตกต่างจากพี่ชายทั้งสองของนาง อย่างน้อยความไร้เดียงสานี้นางก็ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ
บนท้องฟ้ามีหมู่เมฆลอยบังแสงแดด จึงทำให้อากาศเย็นลงเล็กน้อย
“เหตุใดเ้าถึงต้องไปยังเทือกเขาจู่เสีย” จู่ๆ อูิโยวก็ถามขึ้น
อวิ๋นลั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็เอ่ยตอบ “ข้า้าพบคนคนหนึ่งและถามให้ชัดเจนว่าเขาคิดอย่างไรกับข้ากันแน่ เหตุใดถึงโกหกข้า”
“คนในใจเ้าอย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นลั่วกัดเถียนปิ่งอีกหนึ่งคำโดยไม่พูดอะไร ซึ่งก็เท่ากับยอมรับ
“ขอถามเ้าอีกสักข้อหนึ่งได้หรือไม่”
“อะไร” อวิ๋นลั่วหันไปมองเขา
“ตอนที่อยู่ในเมืองหลวง เ้าขอให้ท่านพี่หญิงของข้าพาหนีออกมา เพราะบิดาของเ้าบังคับให้เ้าออกเรือนใช่หรือไม่”
อวิ๋นลั่วกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็พยักหน้าและตอบว่า “ใช่”
“แล้วเขา้าให้เ้าออกเรือนกับผู้ใด”
——————————————————
[1] เถียนปิ่ง หมายถึง ขนมที่ทำจากแป้ง ปิ่งก็คือแป้งที่มีลักษณะเป็แผ่นกลมๆ มักนำมาย่างหรือทอด คนจีนชอบนำมารับประทานแทนข้าว อาจใส่ไส้หรือไม่ใส่ก็ได้
