ฝ่ามือนี้อัดแน่นไว้ด้วยคลื่นพลังอันมหาศาล คาดว่ามันจะสามารถจัดการกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีวรยุทธ์ระดับหนิงกังขั้นหนึ่งอย่างจางไต้ซือได้ในฝ่ามือเดียว เมื่อจางไต้ซือเห็นดังนั้นก็ใจนหน้าซีด
แต่ทันใดนั้นเอง ลู่ชูเสวี่ยก็โผล่เข้ามาขวางหน้าจางไต้ซือเอาไว้ จากนั้นนางก็ส่งปราณฝ่ามือสีแดงออกมาต้านการโจมตีของอีกฝ่ายในทันที
เปรี้ยง...!
เมื่อคลื่นพลังทั้งสองเข้าปะทะกัน มันก็พลันปะทุออกมาอย่างรุนแรง ส่งผลให้เก้าอี้ทั้งหมดภายในห้องโถงแตกออกเป็เสี่ยงๆ ส่วนลู่ชูเสวี่ยก็ถอยหลังออกไปหลายก้าว นางเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินอย่างเ็าและตวาดออกมาว่า “มู่เฉิน เ้าคิดจะเปิดารึ?”
มู่เฉินเหลือบตามองลู่ชูเสวี่ย ก่อนจะแค่นเสียงออกมาอย่างเ็า “เ้าไสหัวออกไปให้พ้น นี่มันเื่ในตระกูลมู่ของข้า”
“น่าขัน ตอนนี้ข้าออกจากตระกูลมู่ของเ้าแล้ว ข้าไม่ใช่คนในตระกูลมู่ของเ้าอีกต่อไป ข้าคือคนของจวนเป่ยอ๋อง”
จางไต้ซือตวาดออกมา เวลานี้เขาไม่ไว้หน้ามู่เฉินเลยแม้แต่น้อย
“เ้า…!”
มู่เฉินโมโหหนักจนพูดอะไรไม่ออก
“ได้ยินแล้วหรือไม่ ตอนนี้เขาเป็คนของจวนเป่ยอ๋องของพวกข้าแล้ว หากเ้าคิดจะสังหารเขา เ้าต้องไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมาด้วยเล่า”
ลู่ชูเสวี่ยกล่าวอย่างเย้ยหยัน
“เนรคุณ!”
ใบหน้าของมู่เฉินพลันเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำด้วยโทสะ หากโดนคนของตนทรยศหักหลังเช่นนี้ ไม่ว่าจะใครก็คงจะมีโทสะกันทั้งนั้น
“ท่านลุงใหญ่ ช่างเถอะขอรับ สำหรับสุนัขที่เลี้ยงไม่เชื่องเช่นนี้ ไม่มีประโยชน์ที่ตระกูลมู่จะต้องเก็บเอาไว้ ในเมื่อจะไปแล้วก็ไปเถอะ”
ทันใดนั้น มู่เฟิงที่คอยมองสถานการณ์อยู่ด้านข้างก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ในขณะเดียวกัน ลู่ชูเสวี่ยและจางไต้ซือก็เพิ่งสังเกตเห็นว่านอกจากพวกเขาแล้ว ภายในห้องโถงตรงมุมห้องยังมีใครอีกคนที่สวมใส่หน้ากาก และมีเส้นผมสีขาวดุจหิมะกำลังยืนอยู่
ลู่ชูเสวี่ยส่งพลังจิติญญาเข้าไปตรวจสอบมู่เฟิงในทันที นางอยากรู้ว่าใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นเป็เช่นไร ทว่านางกลับต้องพบว่าพลังจิติญญาของตนไม่สามารถมองทะลุผ่านหน้ากากของอีกฝ่ายได้
เนื่องจากหน้ากากของมู่เฟิงมีการสลักลายเส้นพลังปราณเอาไว้ ทำให้พลังจิติญญาไม่สามารถทะลวงเข้ามาตรวจสอบมันได้
ผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตานนั้นจะสามารถส่งพลังจิติญญาออกมาเพื่อตรวจจับบางสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งเป็ความสามารถที่น่าพิศวงเป็อย่างมาก
มู่เฟิงย่างเท้าเดินไปทางจางไต้ซือ ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเ็าว่า “เ้าจงจำเอาไว้ว่า ทุกสิ่งที่ตระกูลมู่มอบให้เ้า ไม่ช้าก็เร็วมันจะถูกยึดคืนกลับมาทั้งหมด เ้าเป็เพียงแค่นักสลักลายเส้นโอสถขั้นสอง หากอยากไปก็จงรีบไสหัวไปเสีย ตระกูลมู่ของข้าไม่สนใจนักหรอก”
“เ้าหนุ่ม เ้าเป็ใครกัน ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับตระกูลมู่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเ้า เ้าคิดว่าตัวเ้าเป็ใครอย่างนั้นหรือ หลังจากนี้ตระกูลมู่ไม่มีข้าคอยปรุงโอสถ พวกเ้าก็จงรอวันที่จะล่มจมและอดตายไปเถอะ”
จางไต้ซือสบถด่าออกมา
“ล่มจม? น่าขัน เ้าคิดว่าตระกูลมู่อันยิ่งใหญ่ของข้าจำเป็ต้องให้คนอย่างเ้ามาคอยสนับสนุนหรืออย่างไร? ในเมื่อเ้ามั่นใจในความสามารถในการสลักลายเส้นของเ้านัก เช่นนั้นเ้ากล้าแข่งกับข้าหรือไม่? เรามาแข่งหลอมโอสถกัน เ้ากล้าหรือไม่?”
มู่เฟิงท้าทายด้วยท่าทางเหยียดหยาม
เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม มู่เฉินที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกคาดไม่ถึง เขามองไปทางมู่เฟิงอย่างประหลาดใจ
“เสี่ยวเฟิง เขาเป็นักสลักลายเส้นโอสถขั้นสอง เ้า...”
มู่เฉินกล่าวด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน แม้เขาจะทราบว่ามู่เฟิงได้กลายเป็นักสลักลายเส้นแล้ว แต่อย่างมากเด็กหนุ่มก็เป็เพียงนักสลักลายเส้นขั้นหนึ่งเท่านั้น
ในขณะที่จางไต้ซือเป็นักสลักลายเส้นขั้นสองแล้ว
“เื่นี้ไม่มีปัญหา!”
มู่เฟิงโบกมือ เขาจ้องมองไปยังจางไต้ซือและกล่าวว่า “กล้าแข่งกับข้าหรือไม่?”
จางไต้ซือแสยะยิ้ม ก่อนกล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยัน “แข่งก็แข่งสิ เพียงแต่การแข่งของนักสลักลายเส้นนั้นมีกฎ เ้านำตราประจำตัวของนักสลักลายเส้นออกมา ตราประจำตัวของเ้าเล่า?”
มู่เฟิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินดังนั้น ตราประจำตัวของนักสลักลายเส้นเป็สิ่งที่ออกให้โดยวิหารสลักลายเส้น ซึ่งใช้แสดงเพื่อพิสูจน์คุณสมบัติของนักสลักลายเส้น
แต่เนื่องจากเด็กหนุ่มยังไม่ได้ถูกรับรองในฐานะนักสลักลายเส้น ดังนั้นเขาจึงไม่มีมันอยู่
ในขณะที่จางไต้ซือมีสัญลักษณ์สีแดงสองแถบอยู่บนเสื้อคลุมของเขา และสิ่งนี้ก็สามารถบ่งบอกถึงสถานะของเขาได้แล้วเช่นกัน
“ข้ายังไม่มี”
มู่เฟิงกล่าวออกมาเสียงเรียบ
“ฮ่าๆ ๆ…”
หลังได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย จางไต้ซือก็หัวเราะออกมาอย่างประชดประชัน เขาจ้องมองไปทางมู่เฉินก่อนจะแสยะยิ้มออกมา “ผู้นำตระกูลมู่ เ้าไปเอาเ้าเด็กมุทะลุผู้นี้มาจากที่ใดกัน แม้แต่นักสลักลายเส้นก็ยังไม่ใช่ เ้ามีคุณสมบัติใดจะแข่งขันกับข้า?”
ใบหน้าของมู่เฉินพลันเปลี่ยนเป็ไม่น่ามองทันทีหลังจากได้ฟังคำพูดของอีกฝ่าย แต่มู่เฟิงกลับกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “เช่นนั้นก็ไม่เป็ไร เ้ารอข้าอีกเพียงไม่กี่วัน หลังจากข้าได้รับการรับรองแล้ว ข้าจะมาแข่งกับเ้า”
“ช่างพูดจาใหญ่โตเสียจริง ไม่จำเป็ต้องรอแล้ว วันนี้ข้าจะพาเ้าไปยังวิหารสลักลายเอง ขอเพียงเ้าสามารถผ่านการรับรองได้ ข้าก็จะแข่งกับเ้า แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่า หากเ้าแพ้ ตระกูลมู่ของเ้าก็อย่าได้เข้ามายุ่งกับข้าอีก นอกจากนี้ยังต้องชดเชยเงินให้ข้าจำนวนหนึ่งแสนเหรียญตำลึงทองด้วย”
จางไต้ซือยิ้มเย็น ในเมื่อเขาจะจากไปแล้ว เขาย่อมต้องกอบโกยผลประโยชน์จากตระกูลมู่ให้ได้มากที่สุด
“ตกลง แต่หากว่าเ้าแพ้ ก็จงตัดมือทั้งสองข้างของเ้าทิ้งเสีย ว่าอย่างไร กล้าหรือไม่?”
มู่เฟิงตอบรับทันที ดวงตาสีโลหิตคมกริบของเขาหรี่ลงเล็กน้อย
การที่มู่เฟิงยอมตกลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ ทำให้จางไต้ซือและลู่ชูเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจ
คนผู้นี้เป็ใครกัน เหตุใดจึงมั่นใจในตัวเองนัก
ความมั่นใจของมู่เฟิงทำให้จางไต้ซือเกิดความลังเล แต่เมื่อเขาหันมองไปทางมู่เฉินกลับพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความกังวล สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที
หากเ้าเด็กนี่มีความสามารถจริง เหตุใดมู่เฉินยังต้องเป็กังวลอีก ดูเหมือนว่านี่จะเป็เพียงกลอุบายของเด็กหนุ่มผู้นี้ที่้าจะรักษาหน้าตาของตระกูลมู่เอาไว้
“ตกลง ข้ารับปากเ้า แต่เ้าสามารถทำข้อตกลงในนามของตระกูลมู่ได้หรือ?”
จางไต้ซือเย้ยหยัน
“ได้!”
มู่เฟิงตอบรับทันที
“เสี่ยวเฟิง เ้า...”
มู่เฉิน้าที่จะเกลี้ยกล่อมเขา
แต่มู่เฟิงเพียงแค่ส่งยิ้มอย่างมั่นใจมาให้มู่เฉิน “ท่านลุงใหญ่ โปรดเชื่อใจข้า”
เมื่อเห็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของมู่เฟิงแล้ว มู่เฉินก็พูดอะไรไม่ออก เขาถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าในท้ายที่สุด
แต่ภายในใจของเขานั้นได้เตรียมที่จะสูญเสียเงินไว้แล้ว
ลู่ชูเสวี่ยเฝ้ามองสถานการณ์จากด้านข้างด้วยสายตาเ็า แม้ว่าชายผู้นี้จะมีเส้นผมสีขาว แต่เสียงของเขาฟังดูเด็กมาก ราวกับว่าเขาเป็เพียงแค่เด็กหนุ่มผู้หนึ่งเท่านั้น
หากให้มองความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมู่เฉิน เหมือนว่าพวกเขาจะเป็ญาติกัน แต่หญิงสาวไม่นึกสงสัยเลยว่าชายสวมหน้ากากตรงหน้าเธอในตอนนี้จะเป็มู่เฟิง เนื่องจากภายในใจของเธอเชื่อว่ามู่เฟิงได้ตายไปแล้ว
“เช่นนั้นตอนนี้ก็ไปยังวิหารสลักลายกันก่อน ข้าอยากจะเห็นนักว่าเ้าจะวิเศษวิโสเพียงใด”
จางไต้ซือเย้ยหยัน
มู่เฟิงไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงพยักหน้าให้กับมู่เฉิน จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ออกจากโถงรับรองไปพร้อมกัน และที่นอกโถงรับรองก็มีกลุ่มลูกศิษย์ของตระกูลมู่กำลังรออยู่ รวมไปถึงผู้าุโของตระกูลอย่างมู่เยี่ยกับมู่หวาด้วย
พวกเขาล้วนทราบแล้วว่าภายในโถงรับรองนั้นเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นสายตาของพวกเขาทั้งหมดจึงจับจ้องไปยังจางไต้ซือ
“เ้าคนอกตัญญู”
“เนรคุณ”
คนตระกูลมู่สบถด่าออกมาด้วยความโกรธ จางไต้ซือเดินตามติดลู่ชูเสวี่ยโดยไม่สนใจสายตาชิงชังของคนตระกูลมู่ อีกทั้งเขายังกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยันอีกว่า “พวกเ้าเก็บรักษาพลังปราณไว้เถอะ มารอดูกันว่าอีกประเดี๋ยวตระกูลมู่ของพวกเ้าจะพ่ายแพ้และสูญเงินหนึ่งแสนเหรียญตำลึงทองให้ข้าอย่างไร”
หลังจากกล่าวจบเขาก็เดินจากไป จากนั้นสายตาของทุกคนในตระกูลมู่จึงจับจ้องมาทางมู่เฟิงแทน มีเพียงมู่เฉิน มู่เยี่ยและผู้าุโใหญ่อย่างมู่หวาเท่านั้นที่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย ส่วนคนอื่นไม่มีใครรู้เลยว่าเขาก็คือนายน้อยในตระกูลของพวกตนเอง
“ไอหยา เ้าเป็ใครกัน เหตุใดต้องเสนอให้แข่งขันกันด้วย จางเฉวียนตั้นผู้นั้นเป็ถึงนักสลักลายเส้นขั้นสอง แต่เ้ายังไม่ได้เป็แม้แต่นักสลักลายเส้นด้วยซ้ำ การแข่งขันนี้คงไม่ได้เป็การวางกับดักตระกูลมู่ของข้าใช่หรือไม่?”
“ในเมื่อท่านผู้นำตระกูลตกลงไปแล้ว เราก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างนั้นก็มารอดูกันเถอะ”
“แต่หากว่าพ่ายแพ้ก็ต้องสูญเงินถึงหนึ่งแสนเหรียญตำลึงทองเชียวนะ นั่นจะยิ่งไม่ทำให้สถานการณ์ในตระกูลแย่ลงหรอกหรือ?”
บรรดาศิษย์ตระกูลมู่ต่างก็จ้องมองชายสวมหน้ากากผมขาวผู้นั้น ก่อนจะลอบสนทนากันอย่างลับๆ มีหลายคนบ่นออกมา และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ชอบมู่เฟิง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำให้ตระกูลของพวกตนต้องสูญเงินก้อนใหญ่แล้ว
ในขณะที่มู่เยี่ยและมู่หวาต่างก็มองมาด้วยความเป็กังวล แต่พวกเขาก็ยังตามอีกฝ่ายไปโดยไม่พูดอะไร
เมื่อเห็นดังนั้นศิษย์ตระกูลมู่กลุ่มใหญ่ก็พากันยกโขยงไปด้วยกัน โดยที่จุดหมายปลายทางก็คือวิหารสลักลาย!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้