“ขอนายท่านโปรดอภัย กระหม่อมเพิ่งกลับมาจากอำเภอและเพิ่งถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมก็เจอคนที่นายท่านให้มาส่งข่าว”
“ไปเถิด!” ซูจื่อเยี่ยออกคําสั่งด้วยท่าทีที่เ็า จากนั้นก็เดินตามจิ้นเซี่ยวเข้าไปที่พัก
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน เกาจิ่วรู้สึกหนาวจนถึงสันหลัง
เขาเอามือลูบหน้า ต้องรีบหาคนไปสืบดูว่าแม่สาวน้อยมาที่ตำบลด้วยเหตุอันใด
ความสามารถในการจัดการเื่ราวของเกาจิ่วนั้นไม่ต้องสงสัย เพียงแค่ระยะเวลาที่ซูจื่อเยี่ยเข้าไปเปลี่ยนเสื้อและกำลังคิดหาข้ออ้างที่จะไปปรากฏตัวต่อหน้าแม่สาวน้อย เกาจิ่วก็หาสะพานมาทอดให้เขาเรียบร้อย
“เ้าว่าอะไรนะ? พ่อแม่ของแม่สาวน้อยเข้าโรงหมอ แล้วยังอาเจียนเป็เืด้วย?”
ความคิดแรกของซูจื่อเยี่ยคือ ใครคือผู้ที่อยู่เื้ั พ่อและแม่ของหลิวเต้าเซียงต้องทำให้ใครขุ่นเคืองเป็แน่
เกาจิ่วยืนอยู่ด้านล่างพร้อมกับลดแขนลง ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง “นายท่าน กระหม่อมได้ยินมาว่า อาหารเช้านั้นสองสามีภรรยาทำกับข้าวเองที่บ้าน ตอนเที่ยง นายท่านหลิวไปที่บ้านหลังที่กำลังต่อเติม ส่วนฮูหยินของเขาก็ซักผ้าที่ริมน้ำ และประจวบเหมาะกับเที่ยงวันนี้พ่อบ้านซูได้รับคำสั่งให้ไปจัดการเื่ที่คุณชายจางไหว้วานมา”
คุณชายจางที่เอ่ยถึงคือจางอวี้เต๋อ เมื่อปีก่อนหลังจากที่ซูจื่อเยี่ยช่วยเขาให้ออกมาจากห้องขัง เขาก็ขอให้ซูจื่อเยี่ยช่วยนำเงินไปมอบให้แก่มารดาและพี่สาวของตน ซูจื่อเยี่ยอยากได้ความเชื่อใจจากจางอวี้เต๋อ ก่อนตรุษจีนจึงส่งข่าวมาบอกเกาจิ่วว่าให้เขาจัดการเื่นี้
“เหตุใดเ้าถึงเพิ่งบอกให้เขาไปมอบเงินในเวลานี้”
เกาจิ่วเล่ารายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากตรุษจีน
ซูจื่อเยี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าหญิงเฒ่าอย่างหลิวฉีซื่อที่ตระหนี่ขี้เหนียวจะยอมเจียดเงินมาแบ่งและแยกบ้าน
“นายท่าน อันที่จริงหลิวฉีซื่อเพียงแค่้าแยกครอบครัวของนายท่านหลิวออกไปอยู่เพียงลำพัง เพราะป้องกันเขามาขัดขวางความรุ่งเรืองในบ้าน ถึงตอนนั้นนายท่านสามก็จะมีผลพลอยได้ไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หลิวฉีซื่อยังใช้เงินจำนวนแปดร้อยตำลึงซื้อบ้านพร้อมที่นาในจังหวัดอีกด้วย เื่นี้ถูกปิดเป็ความลับต่อครอบครัวฝั่งนายท่านหลิวก่อนที่จะแยกบ้าน เดาว่าคงไม่อยากจะแบ่งสมบัติส่วนนี้ให้เขา”
เกาจิ่วรู้สึกว่าจิตใจของหลิวฉีซื่อนั้นโเี้เกินไป เพียงเพราะเื่บาดหมางของผู้ใหญ่รุ่นก่อน นางกลับทอดทิ้งบุตรชายทั้งคน
ซูจื่อเยี่ยไม่แปลกใจกับการตัดสินใจของหลิวฉีซื่อ “ในตระกูลหลิวมีเพียงบุตรชายคนที่สามที่นิสัยใช้ได้ พี่ชายข้างบนสองคนค่อนข้างเห็นแก่ตัว ไม่สิ ลูกๆ ของหลิวฉีซื่อนั้นมีชายสามหญิงหนึ่งก็เป็เช่นนี้ แยกครอบครัวออกมาย่อมเป็การดี เกาจิ่ว หนึ่งปีนี้เ้ากับแม่สาวน้อยไปมาหาสู่กันไม่น้อย ได้ยินว่าเ้าคิดจะถ่ายทอดความรู้ให้นางหรือ?”
“เรียนนายท่าน ลูกวัวที่เพิ่งเกิดย่อมไม่กลัวเสือ คุณหนูรองนั้นเหมาะสมกับการค้าขายยิ่งนัก เพียงแต่เสียดายที่สมัยนี้ผู้ชายเป็ใหญ่”
เกาจิ่วไม่ได้ปิดบังความชื่นชอบคนที่ฉลาดหลักแหลม
ซูจื่อเยี่ยรู้สึกว่าทั่วร่างกายของหลิวเต้าเซียงนั้นลึกลับไปหมด เมื่อใดก็ตามที่เขาคิดว่าล่วงรู้ความคิดของนางแล้ว เื่ราวก็มักจะออกมาหักมุม อยางเช่นเื่การแยกบ้านของครอบครัวหลิวฉีซื่อ หากไม่ใช่หลิวเต้าเซียงที่คอยยุยงั้แ่แรกและวางแผนต่อจากนั้น หลิวฉีซื่อกับบุตรชายทั้งสามจะตกหลุมพรางหรือ?
ซูจื่อเยี่ยไม่ได้คิดว่าคนที่ส่งไปตามหลังจะมีผลมากมาย เขาเพียงแต่ให้คนข้างล่างช่วยจับตาดูก็เท่านั้น และคอยช่วยไปตามเนื้องาน
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ หลิวเต้าเซียงใช้เวลาไม่นานในการหลุดพ้นออกมาจากตระกูลหลิวได้
เกาจิ่วเห็นซูจื่อเยี่ยนั่งไตร่ตรองและขมวดคิ้วแน่น จึงเอ่ยเสียงค่อย “นายท่าน หมอที่ตำบลบอกว่า ทั้งสองคนไม่อาจรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้พวกเขามัวแต่ถามไถ่เหตุการณ์กันจึงลืมเื่นี้ไป ขณะนี้เมื่อเกาจิ่วเห็นว่าเขาไม่ถามอะไรอีก จึงบอกเล่าเื่ที่ตนเองสืบมาให้บรรพบุรุษตัวน้อย
“ก็แค่หมอจอมปลอม จิ้นเซี่ยว เรียกหมอหลวงที่ตามรับใช้ไปกับข้า”
โรคที่รักษาไม่หายคืออะไร ซูจื่อเยี่ยไม่เชื่อ
หลิวฉีซื่อมีต้นกําเนิดเป็ชนชั้นต่ำ ได้รับการปลดปล่อยจากสัญญาทาส แสดงว่าไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเ้านายเก่า แน่นอนว่าคงไม่มีอะไรที่สามารถทำร้ายผู้คนได้
นอกจากนี้ซูจื่อเยี่ยเองยังได้อาศัยอยู่ในตระกูลหลิวเป็ระยะเวลาหนึ่ง จึงรู้ว่าหลิวซานกุ้ยและภรรยาไม่ได้ดูแลร่างกายเป็เวลานาน แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่รักษาไม่หาย
เขาอารมณ์ดีพร้อมกับยกมุมปากยิ้ม เมื่อมีเหตุผลที่สำเร็จรูป ก็ไม่ต้องหาข้ออ้างอีกต่อไป
เมื่อเป็เช่นนี้ ซูจื่อเยี่ยจึงพากลุ่มคนเดินทางไปเหยียบที่ประตูโรงหมอได้อย่างเปิดเผย
ตอนนี้หลิวเต้าเซียงค่อนข้างหดหู่ พ่อแม่ผู้แสนดีของนางถูกส่งมาที่โรงหมอได้สักพักใหญ่แล้ว แต่ยังไม่เห็นคนในตระกูลหลิวมาแม้แต่คนเดียว
นางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง มือเล็กๆ กำกระโปรงแน่นอย่างไม่รู้ตัว ในใจมัวแต่คิดทบทวนเื่ราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่เชื่อ ทั้งที่บิดามารดาดูแข็งแรงขึ้นมาก เหตุใดจึงเป็โรคที่รักษาไม่หาย
หลิวเต้าเซียงผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในยุคปัจจุบัน รู้ดีว่าโรคที่รักษาไม่หายใดๆ น่าจะเผยออกมาทางสีหน้าหรืออาการต่างๆ ส่วนใหญ่จะสีหน้าไม่ดี ใบหน้าซูบตอบ หรือไม่ก็ผิวพรรณเขียวคล้ำหรือซีดขาว
นางไม่เชื่อ หลิวซานกุ้ยและจางกุ้ยฮัวเปลี่ยนไปมากในปีนี้ ก่อนหน้านี้ทั้งคล้ำและผอมโซ ทว่าในเวลาหนึ่งปีแก้มของทั้งสองแม้จะยังไม่แดงถึงขั้นมีเืฝาด แต่หากดูให้ดีก็จะรู้ว่าเืลมดีขึ้นไม่น้อย
“สัตว์ปีศาจน้อย นายไม่มีวิธีจริงหรือ? คุยกับบริษัทนายหน่อยได้ไหม ฉันขอใช้ไข่กับไก่ไปแลก ขอเพียงรักษาพ่อแม่ของฉันได้
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดกลายเป็ฟางเส้นสุดท้ายของหลิวเต้าเซียง
“คือว่าเซียงเซียง ผมขอโทษจริงๆ ที่จริงผมแอบไปถามมาแล้ว แต่ทางบริษัทตอบกลับมาว่า จำต้องส่งคนมาที่โรงพยาบาลของดวงดาวเรา และผ่านการเอกซเรย์จึงจะสามารถรักษาได้ คุณเองก็รู้ว่าผมเป็เพียงกุญแจในมือของคุณ ไม่มีกุญแจก็ไม่อาจเข้าสู่ดวงดาวของพวกผม อีกอย่างผมรายงานเื่อาการป่วยของพ่อแม่คุณกับบริษัทไปแล้ว ผู้นำในบริษัทก็ให้ความสำคัญอย่างมาก จึงได้ไปถามบุคลากรทางการแพทย์ที่รู้จัก แต่ว่าโรคเจ็บป่วยนั้นมีมากมายเกินไป ซึ่งยากที่จะวินิจฉัยและจ่ายยา”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดคงรู้สึกถึงความเ็ปในใจของหลิวเต้าเซียง จึงอาศัย่จังหวะก่อนหน้านี้ไปถามมาให้
หลิวเต้าเซียงรู้สึกเหมือนน้ำดีรสขมยังคงอยู่ในปาก หัวใจหนักหน่วงจนรู้สึกเหมือนมีคนกำลังควักมันออกมา ทำให้มันไม่อาจเต้นต่อไปได้
“ฉันจะนั่งรอความตายไม่ได้”
พวกนางสามพี่น้องยังเด็กนัก ไม่อาจสูญเสียการปกป้องจากญาติแท้ๆ ไป
ในเมื่อนางมีนิ้วมือทองและอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ก็ต้องเคารพกฎกติกาของการเข้ามาอยู่ในโลกของราชวงศ์โจว
ในขณะที่นางพยายามดิ้นรน ปลายจมูกก็ได้กลิ่นอำพันทะเลพัดผ่านจางๆ แม้จะมีความคุ้นเคยฉายขึ้นมาในสมอง แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยได้กลิ่นที่ไหน
อย่างไรก็ตามหลิวเต้าเซียงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากนึกถึงสิ่งเหล่านี้ เมื่อความคิดแล่นเข้ามาราวกับดาวตก นางก็กลับมาเป็กังวลเื่พ่อแม่อีกครั้ง ทำได้เพียงรอหมอสั่งยาให้ทั้งสองดื่มแล้วรอว่าจะเป็อย่างไร หากไม่ไหวจริงๆ คงต้องส่งไปที่จังหวัด
ที่นางยังดึงดันข้ามตัวอำเภอไป เพราะไม่เชื่อความสามารถของหมอที่นี่
“เต้าเซียง มีคนมาหาเ้า”
ป้าหลี่เดิมทีนั่งอยู่ด้านนอกทางเดินและกำลังเป็ห่วงอาการป่วยของสองสามีภรรยา ขณะนั้นบังเอิญเห็นเด็กหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมจิ่นสีม่วงราบเรียบ แล้วยังมีผู้เฒ่าที่แบกกล่องแพทย์ตามมาด้วย นางจึงลุกขึ้นพรวดด้วยความใเพราะรู้จักคนที่มา เขาคือคุณชายสูงศักดิ์ที่เคยมาพักรักษาตัวที่บ้านตระกูลหลิว
นางรีบะโเรียกให้เข้ามาโดยแทบไม่ต้องคิด
ป้าหลี่มีลางสังหรณ์บางอย่าง การมาของคุณชายสูงศักดิ์จะสามารถช่วยคนที่อยู่ในห้องได้อย่างแน่นอน
หลิวเต้าเซียงอยู่ในอารมณ์หดหู่ ใช้มือเล็กๆ ลูบหน้าตนเองแบบขอไปที จากนั้นรวบรวมสติและเดินออกมาดู
“ท่านป้าหลี่ ใครมาหรือ?”
ป้าหลี่เหลือบมองนางและขยับให้นางมองลงไปที่ระเบียงด้านซ้าย
หลิวเต้าเซียงมองตามลงไป ชั่วพริบตานั้นสมองราวกับฟ้าผ่า เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ขณะนั้นนางก็ไม่ได้มองข้ามคนชราที่อยู่ด้านหลังซูจื่อเยี่ย เขาถือกล่องแพทย์ไว้ ทำให้แววตาของนางเริ่มมีความหวังปรากฏขึ้นมา
นางยกมือปิดปากไว้ อดกลั้นอารมณ์ที่อยากร้องไห้ นางไม่กล้าไปถามซูจื่อเยี่ย เพราะกลัวว่าความหวังที่เกิดขึ้นในใจจะกลายเป็เพียงฟองสบู่
ซูจื่อเยี่ยเดินจ้ำอ้าวตรงดิ่งมาหานาง ก้มศีรษะมองดูแม่สาวน้อยตรงหน้าที่อยากร้องแต่ก็ไม่กล้าร้อง เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว นอกจากความห่อเหี่ยวเล็กน้อย แม่สาวน้อยตรงหน้าดูสวยงามขึ้นเป็กอง
“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่”
เพียงคำพูดหกคํา!
ทันใดนั้น จิตใจที่ตึงเครียดของหลิวเต้าเซียงก็ผ่อนคลายลง!
ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่นางก็เชื่อเขา
กลิ่นหอมที่ปลายจมูกนั้นเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม ใช่แล้ว ครั้งแรกที่ได้เจอ บนตัวเขาก็มีกลิ่นนี้ เพียงแต่ว่าโดนกลิ่นมูลหมูกลบไปกว่าครึ่ง ด้วยเหตุนี้ก่อนหน้านี้หลิวเต้าเซียงจึงนึกไม่ออก
“เด็กดี เราเข้าไปกันก่อน”
ซูจื่อเยี่ยเอื้อมมือออกไปลูบท้ายทอยของหลิวเต้าเซียงอย่างเป็ธรรมชาติ จากนั้นส่งสัญญาณมือให้หมอหลวงที่อยู่ด้านหลังเข้าไปดูโดยเร็ว
“ท่านหมอจ้าวผู้นี้เก่งกาจมาก ยามปกติคนทั่วไปยากที่จะเชิญเขาออกมาได้ ครั้งนี้เขาได้ยินว่าข้าจะมาแดนใต้ จึงอยากมาเยี่ยมเยียนสหายที่อยู่แดนใต้ด้วย เขาจึงเดินทางมาพร้อมกับข้า”
หมอที่เข้ามาในห้องก่อนแอบกลอกตามองบนให้ซูจื่อเยี่ย ใครกันที่วิ่งโร่ไปที่จวน ดึงเคราหงอกของเขาและข่มขู่ หากไม่เดินทางมาพร้อมนายน้อยท่านนี้ เกรงว่าเคราที่ไว้ยาวของเขาคงจะถูกนายน้อยตัดไปเผาทิ้ง
หมอที่ซูจื่อเยี่ยพามานั้นเก่งกาจจริงๆ เขาจับชีพจรของทั้งสองคน จากนั้นพลิกเปลือกตาของทั้งสองขึ้นดู แล้วจึงเอ่ย “ทั้งสองกินอะไรบางอย่างที่ไม่ควรกินเข้าไป และได้รับพิษ”
“แต่วันนี้พ่อและแม่ของข้าไม่ได้กินอะไรข้างนอกเลย อาหารเช้าข้าเป็คนทำ อาหารเที่ยงแม้ว่าจะกินที่บ้านท่านย่า แต่ข้ากับท่านพี่เองก็เป็ลูกมือ อีกทั้งอาหารที่พ่อแม่ข้าทาน พวกเราทั้งบ้านก็ทานกันหมด”
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมีเพียงบิดามารดาที่ได้รับพิษ ใครกันที่โหดร้ายเพียงนี้?
ไม่รู้ว่าซูจื่อเยี่ยคิดอะไรได้ สีหน้าของเขาไม่ดีนัก คำพูดที่กล่าวออกมาก็เยือกเย็น “เ้าหมายความว่ามีคนวางยาพิษให้พวกเขาหรือ?”
วิธีการแบบนี้เป็เื่ธรรมดามากในตระกูลใหญ่ แต่ตระกูลหลิวเป็เพียงชาวบ้านธรรมดาจะเข้าใจได้อย่างไร? ใครเป็คนสอน? แล้วยาพิษมาจากไหน?
“มิใช่ขอรับ ท่านแม่ทัพ ตามกฎข้อห้ามของราชสำนัก ยาลับเหล่านี้ห้ามแพร่ออกมาสู่ประชาชน”
หมอหลวงจ้าวส่ายหัวเล็กน้อยและพูดต่อ “สาวน้อย วันนี้พ่อกับแม่เ้ากินอะไรไป ให้บอกมาอย่างละเอียด ทั้งสองคนอาจจะกินอาหารบางอย่างที่มันชงกัน”
อาหารชงกัน?
หลิวเต้าเซียงได้ยินก็ใจสั่น นางรู้ว่ามีอาหารบางชนิดที่ไม่ควรกินพร้อมกัน แต่นางไม่เคยได้ยินว่ากินอาหารที่ชงกันแล้วจะถึงขั้นอาเจียนออกมาเป็เืและทำให้สลบไสล
ขณะที่คิดในใจ นางก็บอกเล่าทุกอย่างที่สองสามีภรรยากินในวันนี้
ก่อนหน้านี้ที่กังวลใจอยู่ตลอด นางอาศัยการย้อนคิดเพื่อบังคับให้ตนเองสงบจิตใจ
ดวงตาของซูจื่อเยี่ยฉายประกายเล็กน้อย เขายิ่งรู้สึกว่าหลิวเต้าเซียงแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป
นางสงบและเด็ดเดี่ยวมากขึ้น!
-----
