ชายหนุ่มตระกูลเฉินตัวเย็นะเืไปทั่วร่าง รู้สึกว่าความตายกำลังกัดกินร่างกาย หากเขาไม่ทำตามคำสั่ง เย่เฟิงอาจสังหารเขาจริง ๆ ก็เป็ได้
“คุกเข่า!” พลันมีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของชายหนุ่มตระกูลเฉิน เสียงนั้นแข็งกร้าว ทำให้เขาตัวสั่นรุนแรงราวกับเป็ความกลัวที่เกิดจากจิติญญา
ทางเลือกที่หนึ่งคือถูกเย่เฟิงฆ่า และทางเลือกที่สองคือทิ้งศักดิ์ศรี เขาจะเลือกอย่างไรดี?
ชายหนุ่มตระกูลเฉินเหงื่อตก ทำให้มองออกว่าตอนนี้เขารู้สึกกดดันมากเพียงใด
“ตุบ!” ภายใต้ความแข็งแกร่งของเย่เฟิง ในที่สุดชายผู้นั้นก็ทนแรงกดดันไม่ไหวจึงคุกเข่าลงกับพื้น เขายอมทิ้งศักดิ์ศรีดีกว่าตาย
“ขอโทษ!” ชายหนุ่มตระกูลเฉินกล่าวกับเฉิงเฟยและฉู่หานที่อยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าอึดอัด ในฐานะลูกหลานสายตรงแห่งตระกูลเฉิน เขาย่อมมีศักดิ์ศรี ทว่าบัดนี้ศักดิ์ศรีของเขากลับมลายสิ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฟิง คำพูดอวดดีก่อนหน้านี้ที่ว่า้าทำให้เฉิงเฟยได้เห็นดี เห็นทีตอนนี้จะกลายเป็เื่ตลกไปเสียแล้ว
ผู้คนกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความตะลึงงัน ชายหนุ่มตระกูลเฉินและกุ่ยเตามาที่นี่ด้วยความเกรงขาม ต่อมาพยายามจัดการเย่เฟิง แต่ตอนนี้เย่เฟิงยังอยู่ดี ส่วนกุ่ยเตากลับถูกฆ่าตาย ชายหนุ่มตระกูลเฉินต้องคุกเข่าขอโทษ เื่ราวที่น่าเหลือเชื่อนี้ทำให้พวกเขามิอาจยอมรับได้ในเวลาสั้น ๆ นี้
“พอกันที ข้าขอโทษพวกเขาแล้ว เราได้เจอกันอีกแน่!” ชายหนุ่มตระกูลเฉินเผยสีหน้าโกรธเคือง วันนี้เขาอับอายขายหน้าเป็อย่างมากจนไม่มีหน้าให้อยู่ที่สำนักยุทธ์แห่งนี้ได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาไม่รีรอ พอขอโทษเสร็จเรียบร้อยก็คิดออกไปจากที่นี่ทันที
“คิดจะไปแบบนี้น่ะหรือ?” เย่เฟิงกล่าวขณะมองอีกฝ่าย
ชายหนุ่มตระกูลเฉินตัวสั่นสะท้านพลางเผยสีหน้าเขียว สั่งให้เขาคุกเข่าขอโทษคือเส้นตายของเขา หรือว่าเย่เฟิง้าให้เขาทำลายการบ่มเพาะ?
“ข้าทำตามคำสั่งแล้ว เ้า้าอะไรอีก? ถ้าเ้าทำให้ตระกูลเฉินพิโรธขึ้นมาจริง ๆ เ้าได้ตายศพไม่สวยแน่” ชายหนุ่มตระกูลเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ และหวังว่าครั้งนี้จะทำให้เย่เฟิงเกรงกลัวได้
“ถึงตอนนี้แล้วเ้ายังกล้าใช้ตระกูลเฉินมาขู่ข้าอีกหรือ ข้าล่ะนับถือเ้าจริง ๆ” เย่เฟิงกล่าวด้วยท่าทีดูแคลน นาทีต่อมาเห็นเขาเดินออกมาหนึ่งก้าวพร้อมพลังดาราโคจรรอบกาย ก่อนจะไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าชายหนุ่มตระกูลเฉินในพริบตา จากนั้นปล่อยฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างออกไปยังตำแหน่งจุดตันเถียนและจุดชี่ไห่ของอีกฝ่าย
พลังทำลายล้างแพร่กระจายไปทั่วร่างของชายหนุ่มตระกูลเฉิน จนเขากรีดร้องโหยหวน กระทั่งร่างกระเด็นปลิว กระอักเื สีหน้าต้องซีดลงราวกับกระดาษ
ด้วยพลังฝ่ามือของเย่เฟิง จุดตันเถียนและจุดชี่ไห่ของชายหนุ่มตระกูลเฉินถูกทำลายจนกลายเป็คนไร้ค่าไม่มีพลัง นับจากนี้ไปเขาก็คือเศษสวะอย่างสมบูรณ์
ชายหนุ่มตระกูลเฉินจ้องมองเย่เฟิงด้วยความอาฆาต แต่ในใจของเขากลับไม่รู้สึกอะไร
“ในเมื่อเ้าไม่ทำ เช่นนั้นข้าจึงทำแทน!” เย่เฟิงกวาดมองร่างชายหนุ่มตระกูลเฉินแวบหนึ่งด้วยสายตาเย้ยหยัน
“จงจำไว้ ั้แ่วันนี้ไปอย่าให้ข้าเห็นเ้าใช้อำนาจของตระกูลเฉินอีก หาไม่แล้วข้าจะไม่ไว้ชีวิตเ้าอย่างในวันนี้ ไสหัวไปซะ!” เย่เฟิงกล่าว พูดจบก็ไม่มองชายหนุ่มตระกูลเฉินอีก แต่เดินไปหาฉู่หานและเฉิงเฟย
ชายหนุ่มตระกูลเฉินออกไปด้วยตัวสั่นเทา เขาถูกทำลายการบ่มเพาะ นับจากนี้ไปกลายเป็เศษสวะอย่างสมบูรณ์ ทว่าทุกอย่างนี้คือสิ่งที่เขารนหาที่เอง ต่อให้เคียดแค้นเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์
“ช่างอำมหิตยิ่งนัก!” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็เบิกตาโพลงด้วยความใ เย่เฟิงผู้นี้เผด็จการมาก รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายคือคนของตระกูลเฉิน ไม่เพียงแต่สั่งให้อีกฝ่ายคุกเข่าขอโทษ แต่ยังทำลายการบ่มเพาะของอีกฝ่ายด้วยตัวเอง หากตระกูลเฉินรู้เื่นี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
ดูจากท่าทีของเย่เฟิง ดูเหมือนเขาไม่สนใจตระกูลเฉินที่จะมาแก้แค้น แต่เขาเห็นตระกูลเฉินเป็เหมือนลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือ1
วันนี้เขาล่วงเกินไปถึงสองคน นั่นคือกุ่ยเตาและชายหนุ่มตระกูลเฉิน ผู้คนคิดได้เช่นนี้ก็เหลือบมองเย่เฟิงแวบหนึ่ง พลางแอบคิดในใจว่าโชคดีที่ก่อนหน้านี้ไม่ไปล่วงเกินเย่เฟิง
เย่เฟิงเดินมาถึงข้าง ๆ ฉู่หานและเฉิงเฟย ส่วนผู้คนรอบข้างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา รวมทั้งไม่สนใจสายตาของเขาที่มองมา
สีหน้าของเย่เฟิงดูไม่ค่อยดีขณะมองใบหน้าขาวซีดของฉู่หาน ก่อนกล่าวกับเฉิงเฟยว่า “ดูแล้วศิษย์พี่ฉู่าเ็สาหัสมาก เรากลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“อืม” เฉิงเฟยพยักหน้า ได้เห็นพลังและความบ้าบิ่นของเย่เฟิง ทำให้นางต้องมองเย่เฟิงใหม่ ส่วนในการจัดการเื่ต่าง ๆ เย่เฟิงถือว่าเป็แกนสำคัญ
เย่เฟิงแบกฉู่หานขึ้นหลัง ก่อนจะเดินออกไปจากที่แห่งนี้ ส่วนเหล่าผู้คนหลีกทางให้โดยที่เขาไม่พูดสิ่งใด
ไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้า พวกเขายังดูถูกชายหนุ่มผู้นี้อยู่เลย ทว่าตอนเขาเดินออกไป ในใจของพวกเขากลับเหลือเพียงความหวาดกลัวที่ยังรู้สึกได้
เย่เฟิงใช้พลังตนพิชิตศัตรู ทำให้พวกเขาเลื่อมใสศรัทธาเย่เฟิง ลงมือสังหารอย่างไม่เกรงกลัวใคร นี่สิคืออัจฉริยะชั้นยอดที่ควรพึงมี
หลังจากศึกต่อสู้ที่น้ำตกเทียนเชี้ยน เชื่อว่านามเย่เฟิงจะเป็ที่รู้จักมากกว่าเดิม
ฉินเยียนหรานทอดสายตามองพวกเย่เฟิงพลางมีสีหน้าสับสน
“ร้ายกาจเพียงนี้ เขาแอบดูข้าอาบน้ำจริง ๆ หรือ?” ฉินเยียนหรานเกิดคำถามขึ้นในใจขณะที่หน้าแดงระเรื่อ ไม่ว่าอย่างไรเย่เฟิงก็คือแอบดูนางอาบน้ำ ดังนั้นนางไม่มีทางปล่อยเย่เฟิงไปง่าย ๆ แน่
อีกด้านหนึ่ง เฟิงเฉียนมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบคล้ายดูถูกเหยียดหยาม เขาเป็ใคร แม้พลังที่เย่เฟิงแสดงจะไม่เลว แต่จะเข้าตาเขาได้เยี่ยงไร
ทว่าดวงตาของเฟิงเฉียนและเย่เฟิงสบประสานกันอย่างไม่ทันตั้งตัว หากเฟิงเฉียน้าฆ่าเย่เฟิงก็ไม่จำเป็ต้องพูดมาก
ก่อนหน้านี้ที่แท่นหินหยั่งรู้ลำดับห้า ภาพที่ปรากฏในหัวของเย่เฟิงก็เป็ตัวพิสูจน์อย่างดี เฟิงเฉียนจงใจโจมตีเย่เฟิง พยายามฆ่าในขณะเย่เฟิงอยู่ในสภาวะเรียนรู้ เส้นตายสุดท้ายของเย่เฟิงจึงขาดลงในที่สุด คนที่้าฆ่าเขาเย่เฟิง เย่เฟิงย่อมเอาคืนหลายเท่า เพียงแต่ตอนนี้ศิษย์พี่ฉู่หานได้รับาเ็สาหัส จำต้องรักษาอย่างเร่งด่วน ดังนั้นเย่เฟิงทำได้เพียงปล่อยแค้นนี้เป็การชั่วคราว
“ข้าเย่เฟิงจะจดจำสามการโจมตีนั่น!” หลังจากทิ้งทวนคำพูด เย่เฟิงก็พาฉู่หานกลับไปยังที่พักของตัวเอง หลังจากตรวจดูอาการ เย่เฟิงพบว่าอาการของฉู่หานหนักหนากว่าที่คิดเอาไว้มาก
ซี่โครงที่หน้าอกแตกหัก อวัยวะภายในได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง หากไม่รับการรักษาที่ดี เกรงว่าการบ่มเพาะของฉู่หานจะรักษาไว้ไม่ได้
เย่เฟิงกับเฉิงเฟยมองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางคิ้วขมวดแน่น
“ไม่เป็ไร ร่างกายข้าข้ารู้ดี ตอนนี้ยังไม่ตายหรอก พวกเ้าไม่ต้องเป็ห่วง” ฉู่หานกล่าวพลางยิ้มขณะสีหน้าขาวซีดกว่าเดิม
“อวัยวะภายในเสียหายรุนแรง เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะ ศิษย์พี่ฉู่ ข้าทำท่านลำบากแล้ว” เย่เฟิงยิ่งเห็นสถานการณ์ของฉู่หานก็ยิ่งเป็กังวล
“ข้ามียาฟื้นฟูสองสามเม็ด ศิษย์พี่ฉู่รับไปเถิด!” เฉิงเฟยกล่าวขณะหยิบยาเม็ดที่พกติดตัวออกมา นางหวังว่าฉู่หานจะรักษาได้ทันการณ์
“ไม่มีประโยชน์ อาการของศิษย์พี่ร้ายแรงมาก ยาฟื้นฟูทั่วไปทำได้เพียงรักษาชั่วคราวเท่านั้น” เย่เฟิงส่ายหัวพลางขมวดคิ้ว
“เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรดี?” เฉิงเฟยกล่าวถาม จู่ ๆ เย่เฟิงก็ลุกขึ้นพร้อมดวงตาทอประกาย
“ข้าจะไปที่หุบเขาเทียนเสวียน เดี๋ยวกลับมา” เย่เฟิงกล่าวอย่างจริงจัง หาก้าช่วยศิษย์พี่ฉู่หาน เขาก็คิดวิธีอื่นไม่ออกแล้ว ในขณะที่เฉิงเฟยมองแผ่นหลังของเย่เฟิง นางก็ดูเป็กังวลอย่างมาก
หุบเขาเทียนเสวียนนั้นคือหนึ่งในสามแดนทดสอบแห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ในนั้นมีสัตว์อสูรก้าวร้าว อุปสรรคนานัปการ ห้อมล้อมด้วยอันตราย ใครก็ตามที่เข้าไปมีโอกาสตายสูง แต่หากผ่านการทดสอบของหุบเขาเทียนเสวียน คนผู้นั้นจะได้รับรางวัลจากสำนักยุทธ์ และเย่เฟิงไปครั้งนี้จะดีหรือร้ายก็คาดเดาได้ยากยิ่ง
“ศิษย์น้องเย่ ขอให้เ้าโชคดี!” ฉู่หานระบายยิ้มขณะใบหน้าขาวซีด แต่ในใจกลับรู้สึกสับสน
ณ สถานที่ที่รายล้อมไปด้วยูเาในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน มีหุบเขาลึกแห่งหนึ่งอยู่ตรงนั้น ในหุบเขามีทั้งอันตรายและโอกาส เหล่าสัตว์อสูรจะปรากฏกายในบางเวลา กระทั่งมีสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏกาย
ขณะนั้นเย่เฟิงปรากฏตัวที่นอกหุบเขา ดวงตาทอดมองหุบเขาลึกลับที่อยู่ไกลออกไปนั่น แม้หุบเขาเทียนเสวียนจะเป็แดนทดสอบของสำนักยุทธ์ แต่เพราะความอันตรายของมัน จึงมีคนจำนวนน้อยที่จะยอมเสี่ยงเข้าไป
ทว่าวันนี้แตกต่างไป เย่เฟิงมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบว่ามีคนรออยู่นอกหุบเขามากกว่าร้อยคน พวกเขาล้วนเป็คนรุ่นเยาว์ ส่วนใหญ่น่าจะอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 ขึ้นไป กระทั่งมีหลายคนที่เย่เฟิงมองการบ่มเพาะไม่ออก ลมปราณของพวกเขาคลุมเครือ ระดับการบ่มเพาะน่าจะอยู่ขั้นรวมชี่
เมื่อบรรลุขั้นรวมชี่ ไม่ว่าพร์จะแกร่งหรือด้อย พอเข้าสำนักยุทธ์แล้วก็จะได้เป็ศิษย์สายใน และเพลิดเพลินไปกับสิทธิพิเศษมากมาย
อย่างไรก็ตามมีผู้ฝึกยุทธ์ทยอยมากันไม่หยุดจนพื้นที่นอกหุบเขาเนืองแน่นไปด้วยผู้คน เสียงเอะอะโวยวายดังไปทั่ว
“ศิษย์พี่ ท่านรู้หรือไม่ว่า ทำไมวันนี้ถึงมีคนมากมายอยากจะเข้าหุบเขา?” เย่เฟิงกล่าวถามหญิงสาวขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 ที่อยู่ข้าง ๆ
แม้หญิงสาวคนนี้ไม่ได้งดงามมากนัก แต่มองดูแล้วก็ถือว่าเป็อาหารตาได้ นางสวมอาภรณ์สีขาวดูโดดเด่น มีปราณเซียนแผ่ออกมาเบาบาง และที่ข้าง ๆ นางยังมีหญิงสาวอีกคน คนผู้นี้สวมอาภรณ์สีเหลือง อายุประมาณ 16-17 ปี รูปร่างหน้าตาถือว่าเป็เอกลักษณ์ โดยเฉพาะเรือนร่างอันร้อนแรง เนื้อตัวอวบอิ่ม นางน่าจะอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 และเป็สหายของหญิงสาวคนนั้นที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8
“ดูท่าเ้าจะยังไม่ทราบ เมื่อคืนมีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น ผลเทียนเสวียนปรากฏในหุบเขา ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกยุทธ์มากมายมารวมตัวที่นอกหุบเขา ทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์แห่งแท่นศิลาเทียนเสวียนจำนวนไม่น้อย” หญิงสาวชุดขาวคนนั้นกล่าวด้วยท่าทีกระตือรือร้น ส่วนหญิงสาวชุดเหลืองเหลือบมองเย่เฟิงแวบหนึ่ง ก่อนจะมองไปทางอื่น
“ผลเทียนเสวียน?” เย่เฟิงขมวดคิ้ว เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“เ้าคงเพิ่งเข้าสำนัก แต่ไม่เคยได้ยินเื่ผลเทียนเสวียนเลยหรือ?” หญิงชุดเหลืองหันมาถาม
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้าตอบอย่างไม่ปิดบัง และไม่สนใจท่าทีของหญิงชุดเหลืองคนนั้น เขาแค่อยากได้คำตอบเท่านั้น ไม่จำเป็ต้องสนใจอย่างอื่น
“เดี๋ยวข้าจะบอกให้” หญิงชุดขาวเหลือบมองหญิงชุดเหลืองแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวกับเย่เฟิงว่า “ผลเทียนเสวียนคือยาปราณชนิดหนึ่งที่มีเฉพาะในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน สิ่งนี้เกิดจากต้นเทียนเสวียนซึ่งหาได้ยากยิ่ง มันเป็ผลิญญาล้ำค่าที่ร้อยปีจะปรากฏ เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาใช้มัน ไม่เพียงแต่ยกระดับการบ่มเพาะ แต่ยังช่วยบรรลุขั้นรวมชี่เมื่อติดคอขวด ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ทะลวงสู่ขั้นรวมชี่ได้อย่างราบรื่น อีกทั้งเมื่อผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่เป็ผู้ใช้ อย่างน้อยจะช่วยยกระดับการบ่มเพาะได้หนึ่งขั้น ยาเม็ดนี้มีประสิทธิภาพที่สูงมาก มันจึงเป็สิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันหาแม้แต่ในฝัน”
เมื่อเอ่ยถึงผลเทียนเสวียน หญิงชุดขาวก็ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่งามถึงกับทอประกายเจิดจ้า
ถึงอย่างไรผลิญญาที่มีประสิทธิภาพสูงเพียงนี้ นางจะไม่อยากได้ได้อย่างไร
เมื่อเย่เฟิงได้ยินหญิงชุดขาวอธิบายให้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจ ไม่นึกว่าผลิญญาที่มีประสิทธิภาพสูงเพียงนี้จะปรากฏในหุบเขาเทียนเสวียน มิน่าผู้ฝึกยุทธ์ถึงมารวมตัวที่นอกหุบเขาจำนวนมากเช่นนี้
---------------------------------------------
1 ลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือ หมายถึง ความไม่เกรงกลัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้