หมายความว่าอย่างไรที่กล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับนางเป็เื่เล็กน้อย...ในใจเล่อเทียนนึกอยากกลอกตาใส่นาง มู่จื่อหลิงช่างเลือกปฏิบัติอย่างแท้จริง
แม้ฟ้าจะถล่ม ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับการเกิดเื่ขึ้นกับฉีหวางเฟยไม่ใช่หรือ?
หากมีอะไรเกิดขึ้นกับฉีหวางเฟย วันนั้นคงเป็วันที่ทุกสิ่งพังทลายอย่างแท้จริง ผลที่ตามมาย่อมทำให้์และพื้นดินสั่นะเื สั่นคลอนได้แม้กระทั่งภูตผีและเทพเซียน เลวร้ายยิ่งกว่าโรคระบาดเสียอีก
มู่จื่อหลิงเข้าใจขุนนางทรยศอย่างหมอหลวงหลินดีที่สุด แม้หลับตา ก็ยังเข้าใจได้ถึงความโลภรุนแรงในใจของเขา
คำพูดเหล่านี้ของนาง ไม่เพียงมุ่งตรงไปที่ชะตากรรมในการได้รับอำนาจของหมอหลวงหลินเท่านั้น แต่ยังฉวยโอกาสจากนิสัยประจบเอาใจยึดติดกับผู้มีอำนาจของเขา เพื่อสร้างภาพลวงตาให้กับเขาอีกด้วย
ภาพลวงตาทำให้เขาติดอยู่ในจินตนาการอย่างแท้จริง ทำให้เขารับรู้ได้จากภาพลวงตาว่าเพียงก้าวต่อไปอีกเล็กน้อย จินตนาการนี้จะสามารถเป็จริงได้
หนึ่งในจุดประสงค์ของมู่จื่อหลิงคือการยืมกำลังหมอหลวงหลินที่ติดตามมาที่นี่ โยนเหยื่อก่อนแล้วปล่อยให้เขาปักหลัก [1]
ด้วยวิธีนี้จะทำให้นางมีสมาธิในการจัดการกับโรคระบาด เนื่องจากการมีแมลงวันบินหึ่งหึ่งอยู่ข้างหู [2] มันน่ารำคาญยิ่งนัก อีกทั้งใน่เวลานี้ก็ไม่ใช่เื่ที่เป็ไปไม่ได้ที่พวกเขาจะลอบก่อเื่วุ่นวายลับหลัง
เหตุที่มู่จื่อหลิงโยนเหยื่อล่อใส่หมอหลวงหลินเป็เพราะ ประการแรก นาง้าใช้ประโยชน์จากเด็กปรุงยาทั้งสองคนนั้น ด้วยมีบางอย่างที่นางจะไม่ปล่อยให้คนของนางทำ
ตัวอย่างเช่น ต้องพาตัวเด็กน้อยผู้นี้ซึ่งยังคงไร้สติจากการติดโรคระบาดไปด้วยในภายหลัง...‘สัตว์ขี่’ ที่ดีเช่นนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อไม่ใช้ประโยชน์
อีกตัวอย่างหนึ่ง เด็กปรุงยาทั้งสองเข้าใจเื่ยา เมื่อพวกเขากลับไปถึงเมืองหลวง นางจะไปหลิงซั่นถังเพื่อเตรียมวัตถุดิบปรุงยา จากนั้นก็จะให้พวกเขาเข้าเมืองเพื่อแจกจ่ายยาให้กับประชาชน ด้วยก่อนเสาะหาต้นตอ เหล่าผู้ติดโรคจำเป็ต้องได้รับการควบคุมก่อนที่เื่ยุ่งยากจะเกิดขึ้น
กล่าวได้ว่า เด็กปรุงยาทั้งสองนี้มีความสามารถ ทั้งยังเข้าใจเื่ยาเป็อย่างดี เก็บไว้ข้างกายย่อมมีประโยชน์มากกว่าโทษ คุณประโยชน์ของพวกเขายังมีอีกหลากหลาย
การใช้ประโยชน์จากของเสียอย่างขยะเหล่านี้หลังจากใช้แล้วย่อมต้องกำจัดทิ้ง
ประการที่สองเป็มาตรการป้องกันไว้ล่วงหน้า นางไม่โง่ขนาดปล่อยให้คนคิดร้ายติดตามนาง หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวหนึ่งในหมื่น [3]
แต่เด็กปรุงยาทั้งสองฟังเพียงหมอหลวงหลินเท่านั้น สิ่งหนึ่งย่อมข่มอีกสิ่งหนึ่ง ดังนั้นมู่จื่อหลิงจึงจัดการหมอหลวงหลินก่อน เื่นี้ก็ไม่ต่างกับปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กกินกุ้งแห้ง [4]
แน่นอนว่าคำพูดของมู่จื่อหลิง ทำให้สีหน้าตึงเครียดของหมอหลวงหลินผ่อนคลายลงเล็กน้อย
แม้ว่าหมอหลวงหลินปรารถนาให้จือฟางกับจือเซิงลงมือ แต่ในสถานการณ์นี้ พวกเขาจะเป็ผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ด้วยสิ่งที่มู่จื่อหลิงกล่าวมานั้นไม่ได้ไร้เหตุผล จุดประสงค์ในการมาของพวกเขาไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ดังนั้นยามนี้จึงไม่ใช่เวลาเหมาะสมในการลงมือ
เมื่อหมอหลวงหลินได้ยินเื่นี้แล้วจึงแสร้งตำหนิ “ถอยไป ผู้ใดอนุญาตให้เ้าดูิ่หวางเฟย”
แน่นอนว่าเด็กปรุงยาทั้งสองตอบสนองด้วยการถอยกลับไปด้านหลังหมอหลวงอย่างเชื่อฟัง
เ้าเล่ห์นัก! ในใจมู่จื่อหลิงเย้ยหยันอย่างเ็า หากแต่ใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง ทั้งสุขุมและเยือกเย็น
หมอหลวงหลินยอมถอยหนึ่งก้าว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขายอมความ มู่จื่อหลิงไม่รีบร้อนเช่นกัน นางเก็บภาชนะลงในล่วมยา ก่อนหยิบน้ำยาหลิงอวิ้นออกมาจากล่วมยาสามขวด ถือไว้ในฝ่ามืออย่างใจเย็น
นางยังคงเหวี่ยงเหยื่อต่อไปด้วยการพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ยานี่สามารถต้านโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อครู่นี้เ้า...ยามนี้เ้าน่าจะรู้สึกได้ถึงอาการไข้จางๆ ในร่างใช่หรือไม่? นี่คือสัญญาณการติดเชื้อโรคระบาดใน่ต้น บางที เ้าอาจติดเชื้อไปแล้ว หมอหลวงหลินเ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ย่อมไม่อาจทนต่อสิ่งที่เข้ามารบเร้าได้”
คำว่า ‘เมื่อครู่นี้’ ที่มู่จื่อหลิงกล่าวออกมา เป็ไปได้ไหมว่าจะเป็ยามที่หมอหลวงหลินถูกนางจงใจสาดเืดำใส่หน้า
กล่าวได้ว่า นางตบหน้าผากไปหนึ่งฝ่ามือก่อนมอบพุทราหวาน [5] ช่างซับซ้อนเกินบรรยาย
ไม่พูดก็ไม่เป็ไร แต่เมื่อพูดแล้ว หมอหลวงหลินก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายของเขาร้อนขึ้นเล็กน้อย เขาหวาดกลัวไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดเืที่ยังเปียกบนหน้าผากและใบหน้า ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดลง
สีหน้าของหมอหลวงหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ใจเขากำลังดิ้นรน
ราวกับกลัวว่าหมอหลวงหลินจะไม่เชื่อ มู่จื่อหลิงจึงชำเลืองมองเล่อเทียนด้วยท่วงท่าเข้าใจทุกสิ่งอย่างลึกซึ้ง
“ไม่เชื่อเ้าก็ลองถามหมอเล่อได้ ว่าเหตุใดเราถึงกล้ารักษาคนไข้อย่างไร้ความหวาดหวั่นโดยไม่กลัวติดเชื้อได้ถึงเพียงนี้ เพราะหลังจากดื่มสิ่งนี้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะติดเชื้ออีก ดังนั้นอะไรมีความสำคัญกว่ากัน ข้าเชื่อว่าหมอหลวงหลินผู้อยู่มานานถึงเพียงนี้ย่อมเข้าใจดี”
สาเหตุที่ร่างกายของหมอหลวงหลินร้อนย่อมเกิดจากการลอบกระทำบางอย่างของนาง เพียงเท่านั้นก็สามารถเชื่อได้ว่าจะทำให้เขามีพื้นที่มากพอให้จินตนาการ เพิ่มแรงกดดันให้กับหัวใจของเขา
เนื่องจากเป็หมอหลวงมานานหลายสิบปี หมอหลวงหลินย่อมรู้เื่นี้ดี
เขาย่อมคิดไปว่าใบหน้าถูกสาดด้วยเืดำ ความเป็ไปได้ที่จะติดเชื้อก็จะเพิ่มสูงขึ้นมาก
เห็นได้ชัดว่ายายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้จงใจ อีกทั้งยังหันมากล่าวข้ออ้างให้คนอื่นลำบากใจ น่าหงุดหงิดยิ่งนัก
ใจของหมอหลวงหลินรู้สึกหงุดหงิดมาก
แต่ยามนี้ข้อตกลงเสร็จสิ้นแล้ว ด้วยไม่มีทางอื่นนอกจากเชื่อในมู่จื่อหลิง หากเขาติดเชื้อของโรคระบาดจริงๆ ทุกสิ่งย่อมจบสิ้นแล้ว
เมื่อครู่นี้เขาเห็นมู่จื่อหลิงป้อนสิ่งนี้ให้เด็กน้อยเช่นกัน หากมีสิ่งผิดปกติในยาตัวนี้ ย่อมเป็ไปไม่ได้ที่มู่จื่อหลิงใช้กลอุบายอยู่ใต้จมูก [6] เขา
หมอหลวงหลินตัดสินใจแน่วแน่
แต่เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่า กลอุบายไม่ได้เป็การเคลื่อนไหวใต้จมูกของเขา จากคำพูดของมู่จื่อหลิงนั่นเป็สิ่งที่คนโง่เท่านั้นที่จะทำ
หมอหลวงหลินมองมือเปื้อนเืของตน จากนั้นจึงหันมองเล่อเทียนอีกครั้ง ราวกับว่าเขา้าตรวจสอบอีกครั้งว่าสิ่งที่มู่จื่อหลิงกล่าวนั้นเป็ความจริงหรือไม่
ยามเห็นมู่จื่อหลิงหยิบน้ำยาหลิงอวิ้นออกมาอีกสามขวดอย่างไม่ลังเลด้วยความเผื่อแผ่ จู่ๆ ในใจของเล่อเทียนก็เกิดรู้สึกเ็ปขึ้นมา
สุรุ่ยสุร่าย ช่างสุรุ่ยสุร่ายอะไรอย่างนี้!
คงจะดีหากสามขวดนี้ได้มอบให้เขาอีกครั้ง! เล่อเทียนมองขวดในมือของมู่จื่อหลิงด้วยความเสียใจ สีหน้าของเขาเ็ปราวถูกบีบคั้นหัวใจอย่างหนัก
หากไม่ใช่เพราะความสง่างามแต่กำเนิดกดข่มเขาไว้ เขามั่นใจว่าตนจะรีบพุ่งเข้าคว้าขวดสามขวดนั้นมาเก็บไว้ในช่องใส่ของของตนเป็แน่
หากเล่อเทียนรู้ว่าภายในขวดทั้งสามขวดที่อยู่ในมือของมู่จื่อหลิงในยามนี้มีส่วนผสมพิเศษเพิ่มเข้ามาอีกเล็กน้อย เช่นนั้นเขาควรทำอย่างไรกับความปวดร้าวในใจตนดี?
ภายใต้สายตาจริงใจของมู่จื่อหลิง เล่อเทียนยังคงพยักหน้าให้ความร่วมมือ จากนั้นจึงหยิบน้ำยาหลิงอวิ้นที่ตนเก็บไว้เมื่อไม่นานมานี้ออกมาจากช่องเก็บของตรงแขนเสื้อ “ทุกสิ่งที่หวางเฟยตรัสเป็ความจริง ข้าน้อยก็พกติดตัวไว้คุ้มภัยเช่นกัน”
พูดแล้วเขาก็ยกขวดเข้าปาก ค่อยๆ จิบ ลิ้มรสอย่างเอร็ดอร่อยด้วยสีหน้าเพลิดเพลิน
เมื่อเห็นเช่นนี้ แนวป้องกันในใจหมอหลวงหลินก็หายไปจนหมด
เขาโค้งคำนับให้มู่จื่อหลิงด้วยความเคารพ ยกยิ้มเพื่อชดเชยให้นางพร้อมกล่าวว่า “เ้าเด็กเหลือขอสองคนนี้หยาบคายแล้ว ขอหวางเฟยอย่าได้ขุ่นเคือง”
อย่างไรก็ตาม มู่จื่อหลิงไม่ได้นึกพึงพอใจแต่อย่างใด นางไม่ใส่ใจพูดเื่ไร้สาระอีกต่อไป สั่งตามตรงด้วยน้ำเสียงเ็า “ในเมื่อเ้ายอมเชื่อฟัง เช่นนั้นพวกเ้าจงพาเด็กน้อยผู้นี้ติดตามไปด้วย ส่วนหมอหลวงหลินเพื่อจัดการกับร่างเฉื่อยชาจนไม่อาจไปต่อได้ในยามนี้ จงไปหาที่ปลอดภัย ใช้เวลาพักสักคืนหนึ่ง”
พูดแล้วนางก็โยนขวดสามขวดในมือลงบนพื้นหญ้าข้างกายเด็กน้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ ก็อดคิดไม่ได้ว่าอาการไข้ของหมอหลวงหลินเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเขาแทบทนรอไม่ไหวที่จะพุ่งเข้าไปหยิบขวดขึ้นมาดื่มโดยไม่พูดอะไร
เหม็น! เหม็นมาก!
หมอหลวงหลินยังไม่ทันได้กลืนลงไป เขาก็เกือบจะอาเจียนออกมาด้วยความคลื่นไส้
อย่างไรก็ตาม
“ยาดีย่อมขมปาก [7]!” มู่จื่อหลิงกล่าวคำเหล่านี้ออกมาอย่างใจเย็นและเฉยชา
คำพูดช่างเฉียบคม เหมือนจะมีพลังกดขี่ที่มองไม่เห็น ทำให้หมอหลวงหลินต้องกล้ำกลืนยาที่น่าขยะแขยงในปากของตนลงท้องอย่างรุนแรง
หลังจากกลืนเข้าไปแล้ว หมอหลวงหลินรู้สึกว่าความร้อนระอุในร่างเริ่มเย็นลงในทันที...แอบชื่นชมในใจว่า ช่างเป็ยาวิเศษยิ่งนัก!
เพียงแต่หมอหลวงหลินไม่สามารถเข้าใจได้ว่า เล่อเทียนสูดดมยาที่มีกลิ่นเหม็นเช่นนี้ได้อย่างไร ทั้งยังค่อยๆ จิบอย่างระมัดระวังอีกด้วย ทั้งที่ยานี้แค่ได้กลิ่นก็ปวดใจแล้ว
ซึ่งไม่ต่างจากเล่อเทียนที่มองหมอหลวงหลินกลืนน้ำยาหลิงอวิ้นด้วยสีหน้าเ็ปอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน
เขายังรู้สึกสับสน น้ำยาหลิงอวิ้นที่แสนเข้มข้นและหอมหวาน การที่หมอหลวงหลินไม่ค่อยๆ จิบอย่างระมัดระวังไม่ถือว่าเป็อันใด แต่กลับทำตัวราวคนท้องผูกเช่นนี้
เกิดอะไรขึ้น? ร่องรอยความสงสัยแล่นวาบไปทั่วใจของเล่อเทียน เมื่อมองไปยังท่าทางสงบแลดูไร้พิษภัยของมู่จื่อหลิง
หลังจากคิดเื่นี้ เล่อเทียนก็เข้าใจ ทั้งยังแอบดีใจที่เขาไม่ได้คว้ามันเข้ามาใส่ไว้ในช่องเก็บของของตน! ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกเยาะเย้ยอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน เล่อเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเห็นอกเห็นใจพวกหมอหลวงหลิน ถือเป็โชคร้ายของพวกเขาเองที่เข้ายุ่งวุ่นวายกับฉีหวางเฟยผู้มากเล่ห์
จนกระทั่งเด็กปรุงยาทั้งสองดื่มน้ำยาหลิงอวิ้นเข้าไปแล้ว ไม่สิ ควรกล่าวว่าเป็น้ำยาหลิงอวิ้นซึ่งมีส่วนผสมพิเศษเป็ ‘สารสกัดเข้มข้น’ ของเสี่ยวไตกูเติมเข้าไปเล็กน้อย
การให้คนที่นางเกลียดชังดื่ม ‘เครื่องดื่มรสเลิศ’ ที่กลั่นจากอุจจาระของเสี่ยวไตกู ถือเป็กลอุบายที่นางทดลองทำและได้รับการทดสอบแล้วในยามนี้
มู่จื่อหลิงขบเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความพึงพอใจ ค่อยๆ ชำเลืองมองหมอหลวงหลินที่ยังมีอาการคลื่นไส้อยากอาเจียน
ยาถูกดื่มจนหมดแล้ว...มู่จื่อหลิงแสร้งทำเป็อมทุกข์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบอย่างคนหน้าเนื้อใจเสือ [8] “ความเมตตาที่เปิ่นหวางเฟยมอบให้นี้ ไม่ได้มอบให้ฟรีๆ ย่อมต้องตอบแทน! ดังนั้นในเมื่อเ้าดื่มเครื่องดื่มรสเลิศที่เปิ่นหวางเฟยปรุงขึ้นเป็พิเศษเข้าไปแล้ว หนทางขึ้นสู่จุดสูงสุดย่อมต้องเปลี่ยนทิศ”
ยังกล่าวว่าเป็เครื่องดื่มรสเลิศได้อีกหรือ? กลิ่นเหม็นราวกับนรก!
หมอหลวงหลินแทบกระอักเื
นางหญิงร้ายกาจ ดัดจริตแสร้งทำดียามต่อรองราคา [9]...มุมปากเล่อเทียนสั่นเทาอย่างรุนแรง ข่มกลั้นไว้แน่นเกือบจะเป็ตะคริว
ฉีหวางเฟยผู้นี้ ‘ตราบใดที่ยังมีเหตุผลจะไม่ยอมแพ้’ อย่างแท้จริง นิสัยเ้าเล่ห์มากไหวพริบของนางถูกแสดงออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ
ั้แ่แรกเริ่ม มู่จื่อหลิงก็ทิ่มแทงลงตรงจุดแล้ว จากนั้นจึงค่อยๆ ทิ่มแทงลึกลงไปทีละขั้น
เพียงเพื่อขว้างลูกะุปืนใหญ่เคลือบน้ำตาลออกไปหลังจบเกม ค่อยๆ หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปเช่นนี้ ผู้อื่นจะไม่ถูกล่อลวงได้อย่างไร? หมอหลวงหลินผู้ถูกนางล้างสมองยิ่งไม่จำเป็ต้องพูดถึงเลยไม่ใช่หรือ?
วิธีการเจรจาที่ยุ่งยากและแยบยลนี้ หมอหลวงหลินผู้เงอะงะจะเอาชนะได้อย่างไร?
ไม่น่าแปลกใจที่คนกลับกลอกอย่างหมอหลวงหลินจะถูกนางหลอกล่อกลับไปเช่นนี้
น่าขันที่หมอหลวงหลินยังคิดว่าตนเป็นักวางแผนมากเล่ห์ ั้แ่ได้พบกับมู่จื่อหลิง แผนการของเขาผู้อยู่ในราชสำนักมาช้านานกลับไม่สามารถนำหน้าการวางอุบายของนางผู้เป็ดั่งสตรีในวังได้เลย
มู่จื่อหลิงเตือนเด็กปรุงยาทั้งสองอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเ็า “จำไว้ ห้ามให้เด็กผู้นั้นมีรอยขีดข่วน ดูแลเขาให้ดี ส่วนงานอื่นๆ ค่อยว่ากันพรุ่งนี้”
หลังจากอธิบายสั้นๆ มู่จื่อหลิงก็อารมณ์ดี จากนั้นนางจึงนำเล่อเทียนกับกุ่ยเม่ยหายเข้าไปในป่าทึบ
ยามมองด้านหลังของพวกมู่จื่อหลิงที่ค่อยๆ จางหายไป กำปั้นของหมอหลวงหลินกำแน่น ใบหน้าชราหม่นหมอง
ยายเด็กปากเปราะผู้มีฟันแหลมคมผู้นี้ พูดรัวเร็วราวะุปืนใหญ่ [10] ทุกคำเสียดแทงไปถึงกระดูก...ไม่แปลกใจเลยที่ไทเฮาไม่ยอมละความพยายามในการกำจัดนาง
หากนางหนูโง่งมผู้นี้อยู่ในวังหลัง จะมีสักกี่คนที่สามารถต่อกรกับนางได้? ไม่รู้จะมีสักกี่คนที่ถูกนางทรมานจนกระอักเื
การมีอยู่ของนางเป็เพียงหายนะ
อย่างไรก็ตาม ในยามนี้ตัวหายนะผู้นี้ยังคงมีประโยชน์อยู่ อย่างที่นางพูด เื่ของโรคระบาดยังต้องพึ่งพาการแก้ไขของนาง
เมื่อโรคระบาดสิ้นสุดลง ก็ไม่อาจเก็บไว้ได้อีก ไม่เช่นนั้น นางจะเป็ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาอย่างแน่นอน
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] โยนเหยื่อก่อนแล้วปล่อยให้เขาปักหลัก (先抛个鱼饵,让他安分点) เป็วลี มีความหมายว่า มอบสิ่งล่อลวงเพื่อทำให้อีกฝ่ายยอมอยู่นิ่งและทำตามคำสั่ง
[2] แมลงวันบินหึ่งหึ่งอยู่ข้างหู (苍蝇在耳边嗡嗡叫) เป็วลี มีความหมายว่า สิ่งที่เข้ามารบกวนสมาธิในระยะประชิด
[3] หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวหนึ่งในหมื่น (不怕一万就怕万一) เป็สำนวน มีความหมายว่า ไม่กลัวเื่ที่แน่นอน แต่ต้องกลัวเหตุไม่คาดฝัน ใช้เพื่อเตือนสติอนุชนรุ่นหลัง ว่าอย่าได้หลงระเริงไปกับความสำเร็จ แต่ให้คอยระมัดระวังตลอดเวลาว่าอาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้
[4] ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กกินกุ้งแห้ง (大鱼吃小鱼,小鱼吃虾米) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอกว่า
[5] ตบหน้าผากไปหนึ่งฝ่ามือก่อนมอบพุทราหวาน (给一个爆栗,再给个甜枣) เป็วลี มีความหมายว่า ตบหัวแล้วลูบหลัง
[6] ใต้จมูก (眼皮子底下) เป็วลี มีความหมายว่า ทำบางอย่างในระยะประชิด
[7] ยาดีย่อมขมปาก (良药苦口) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า การแนะนำสิ่งที่ดีให้จากใจจริง อาจฟังดูอึดอัด แต่ใช้แก้ไขข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดได้จริง ประโยคเต็มคือ 良药苦口利于病,忠言逆耳利于行 และ 良药苦口,好话难听 แปลว่ายาดีแม้มีรสขมแต่รักษาโรคได้ฉันใด คำพูดที่จริงใจแม้ฟังขัดหูแต่มีประโยชน์ต่อการกระทำฉันนั้น และ หวานเป็ลม ขมเป็ยา คำพูดให้ข้อคิดมักแทงใจดำ
[8] หน้าเนื้อใจเสือ (腹黑) มีความหมายว่า คนเ้าเล่ห์ ภายนอกใจดีอ่อนโยน แต่ภายในมืดมนชั่วร้าย สามารถแปลว่าคนตีสองหน้าได้เช่นกัน
[9] ดัดจริตแสร้งทำดียามต่อรองราคา (得便宜卖乖) เป็วลี มีความหมายว่า เอาประโยชน์จากสิ่งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ทำเป็ลำบากใจ ด้วยใจจริงไม่ชอบสิ่งนั้น
[10] พูดรัวเร็วราวะุปืนใหญ่ (炮语连珠) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า พูดอย่างรวดเร็ว จนคนอื่นตามไม่ทัน