คนที่เคาะประตูไม่มีทีท่าถอดใจ เห็นคนด้านในนิ่ง จึงเคาะต่ออีกสองครั้ง พร้อมกับะโเรียก “ศิษย์น้องเล็ก เ้าอยู่ด้านในรึเปล่า?”
นี่เป็เสียงเรียกของฟางเฉินเล่อนั่นเอง โหยวเสี่ยวโม่รู้ว่าเขากับศิษย์พี่รองไม่อยู่ทัพพิภพสองวันนี้ คิดไม่ถึงว่าจะกลับมาวันนี้ อีกอย่างเหมือนจะพึ่งกลับมาได้ชั่วครู่
แต่ก็ต้องขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ ไม่เช่นนั้นคงถูกหลิงเซียวถลกหนังกินไปเรียบร้อย เมื่อคิดถึงภาพผลลัพธ์ โหยวเสี่ยวโม่พลันผวา มือไม้รีบผลักหลิงเซียวที่ทับเขาออกไป
หลิงเซียวก็ไม่ได้ปล่อยให้เขาหลุดไปได้ ไม่ใช่ว่าเขากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม แต่สภาพเขาตอนนี้หากออกไปแล้วฟางเฉินเล่อเห็นเข้า ไม่รู้จะคิดไปถึงไหนต่อไหน สำหรับเขาแล้วไม่ได้กังวล แต่กับโหยวเสี่ยวโม่อีกหน่อยคงไม่กล้าสู้หน้าคน เขาไม่อยากให้โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกมืดมน อีกหน่อยคงจะพาเขาขึ้นเตียงอีกครั้งได้ยากขึ้น
ขณะที่เขากำลังจะวิ่งออกไป หลิงเซียวก็คว้าข้อมือเขากลับมาอยู่ในอ้อมอก
โหยวเสี่ยวโม่นึกว่าเขาจะมาไม้เดิมอีก ดิ้นรนจนเกือบร้องออกมา แต่ก็กลัวว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ข้างนอกจะได้ยิน
หลิงเซียวกดแขนขาเขาไว้ ขู่เสียงเบา “พอได้แล้ว เ้าหยุดดิ้นก่อน ไม่งั้นข้าจะลงโทษเ้าเดียวนี้”
คำขู่นี้ใช้ได้ผล โหยวเสี่ยวโม่ไม่กล้าขัดขืนอีก เงยหน้าขึ้นกะพริบตาปริบๆ มองเขา เหมือนกำลังบอกว่า ‘จริงเหรอ?’
หลิงเซียวมองสายตาเขาแล้วใจสั่น อดไม่ไหวก้มลงไปจุ๊บปากเขา แต่เพียงครั้งเดียว จนเขาขนลุกแล้วดึงร่างเขาออกมา จากนั้นช่วยเขาจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผม
เมื่อโหยวเสี่ยวโม่แน่ใจว่าเขาไม่ทำรุ่มร่ามอีก ก็โล่งอก จึงปล่อยให้เขาช่วยตัวเองจัดเสื้อผ้า
ผ่านไปชั่วครู่ โหยวเสี่ยวโม่ถึงเดินออกมาจากหลังฉากกั้นลม ส่วนหลิงเซียวไม่ได้ออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากออกมา แต่โหยวเสี่ยวโม่ไม่ยอมต่างหาก
เห็นอยู่ว่าตะวันลับฟ้าไปแล้ว หากตอนนี้ให้ศิษย์พี่ใหญ่รู้ว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องอีกคน กลัวว่าเขาจะคิดไปไกล แม้ความจริงจะไม่ใช่แบบนั้น แต่เขาก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขากับศิษย์พี่หลิงมีความสัมพันธ์มาไกลถึงขั้นนี้แล้ว
ฟางเฉินเล่อรู้ว่าโหยวเสี่ยวโม่อยู่ในห้อง เพราะเขาถามมาก่อนแล้ว แต่เคาะประตูอยู่นานก็ไม่เห็นใครออกมา นึกว่าเกิดเื่อะไรขึ้นกับเขา ขณะที่กำลังจะผลักประตูออก ก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดเปิดประตู
โหยวเสี่ยวโม่เห็นมือฟางเฉินเล่อที่ยื่นมากำลังจะเคาะประตู ส่งยิ้มแห้ง “ศิษย์พี่ใหญ่ มาได้ยังไง มีเื่อะไรรึเปล่าขอรับ?”
ฟางเฉินเล่อเห็นท่าทีลำบากใจของเขา รู้สึกเกรงใจ พลันจ้องเข้าไปให้ห้องครู่หนึ่ง เห็นไม่มีอะไร จึงเอ่ยถาม “ศิษย์น้องเล็ก ทำไมตั้งนานกว่าจะเปิดประตู ข้ารบกวนเ้ารึเปล่า?”
“ไม่ได้ๆ ศิษย์พี่ใหญ่มาได้เวลาพอดี ข้าเพียงแต่…มีสมาธิกับการหลอมยามากเกินไป ดังนั้นจึงไม่ได้ยิน ใช่สิ ศิษย์พี่ใหญ่หาข้ามีเื่อะไรรึ?” โหยวเสี่ยวโม่รีบอธิบาย เขาไม่อาจพูดความจริงออกมาได้
ฟางเฉินเล่อไม่ทันดูออกว่าเขาแกล้งเปลี่ยนหัวข้อ พลันนึกเื่ที่ตัวเองมาที่นี่ได้ แล้วเอ่ย “มีเื่จะบอกเ้าน่ะ เกี่ยวกับรายชื่อ ข้ากับจื่อหลินช่วยเ้าขอโอกาสได้แล้ว”
“โอกาส?” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยอย่างฉงน
“ใช่ อาจารย์บอกว่าตอนนี้เ้าเป็นักหลอมโอสถขั้นสอง หากภายในสองเดือนสามารถเป็นักหลอมโอสถขั้นสามได้ เขาก็จะยอมยกสิทธิ์ให้กับเ้าน่ะ” ฟางเฉินเล่อเอ่ย
แม้เป็เงื่อนไขอย่างหนึ่ง แต่นี่เป็เงื่อนไขที่สมเหตุสมผล หากเขาเป็นักหลอมโอสถขั้นสามไม่ได้ อาจารย์ยกสิทธิ์รายชื่อให้กับเขาอาจทำให้เกิดปัญหาคลางแคลงใจตามมา แต่เขาก็ตั้งใจเช่นนี้อยู่แล้ว
สิ่งที่เขาเอะใจคือ ระยะห่างจาก่ปฐมฤกษ์เปิดแดน์วิมานอีกตั้งสามเดือน แต่ทำไมอาจารย์ถึงให้เวลาศิษย์น้องเล็กแค่สองเดือน
เขาลองอ้อนวอน เพราะคิดว่าสองเดือนนั้นกระชั้นชิดไป แต่อาจารย์หัวแข็งยืนกรานเช่นนั้น จึงต้องจำยอม
เพียงแต่รู้สึกผิดกับศิษย์น้องเล็กอยู่บ้าง ตอนแรกตั้งใจว่าจะช่วยขอสิทธิ์รายชื่อ แต่ตอนนี้กลับมีเงื่อนไขเพิ่ม ท้ายสุดหากไม่ได้สิทธิ์นั้น เขาคงรู้สึกแย่มาก
โหยวเสี่ยวโม่ชะงักไป พลันคิดอยู่ว่าเขาเป็นักหลอมโอสถขั้นสามเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้ยังบอกศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ ไม่งั้นหากเลื่อนขั้นเร็วเกินไป จะทำให้เกิดข้อสงสัยได้
ส่วนเวลานับถอยหลังเหลือแค่สองเดือนนั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะเดิมทีเขาก็ไม่รู้สึกว่ามันจะง่ายดายอยู่แล้ว หากอาจารย์ตกปากรับคำนั่นสิแปลก
คิดเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่รีบเอ่ยอย่างปลื้มปีติ “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจะพยายามเต็มที่ไม่ให้ท่านผิดหวัง ขอบคุณท่านและศิษย์พี่รองมาก ฝากท่านไปบอกเขาด้วย”
ฟางเฉินเล่อหัวเราะ อดไม่ไหวลูบหัวเขา “ขอบคุณอะไรกัน พวกเราเป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เอาเถอะ เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าควรกลับก่อน เ้าก็รีบพักผ่อนเถอะ จำไว้นะ อย่าหลอมยาจนดึกดื่น มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
“ข้าจะพยายาม” โหยวเสี่ยวโม่หัวเราะคิกคัก
ฟางเฉินเล่อพลันยิ้มหน้าเครียด เขารู้อยู่แล้วว่าศิษย์น้องเล็กไม่เชื่อฟังเขาแน่นอน แต่เวลาที่เหลืออยู่นั้นค่อนข้างกระชั้นชิด หากสลับจุดยืนกัน เป็เขาก็คงไม่ยอมฟัง จึงไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ จากนั้นกำชับไม่กี่คำก็จากไป
เมื่อส่งเขาเสร็จ โหยวเสี่ยวโม่พลันถอนหายใจ
ปิดประตูหันหลังกลับ จู่ๆ หลิงเซียวโผล่มาจากด้านหลังทำเอาเขาสะดุ้งโหยง “ทำไมชอบทำข้าใอยู่เรื่อย?”
พูดจบก็ไม่สนใจเขาต่อ กำลังจะเดินผ่านเขาไป หลิงเซียวก็เกี่ยวเอวเขาไว้ เรี่ยวแรงมหาศาลรัดจนเขารู้สึกว่ากระดูกตัวเองแทบจะหักให้ได้ ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร เขาก็ยื่นมือมาขยี้หัวหลายที จากเดิมผมที่เรียบร้อยก็กลายเป็รังนกด้วยฝีมือเขา
โหยวเสี่ยวโม่สีหน้าเคืองแต่ไม่กล้าว่าอะไร ไม่รู้เลยว่าเขาเป็บ้าอะไร
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เขาเป็ช่วยสางผมให้เรียบร้อยอยู่หลัดๆ นี่แค่แป๊บเดียว พลิกอารมณ์ได้ไวกว่าพลิกตำราเสียอีก หรือเขาเสียใจทีหลัง? โหยวเสี่ยวโม่พึ่งรู้สึกเป็ครั้งแรกว่าผู้ชายก็อารมณ์กลับไปกลับมาเหมือนกัน
ในที่สุด คนบางคนที่ขยี้หัวเขาเสร็จ ก็เริ่มออกอาการบ้าอีก นั่นก็คือช่วยเขาจัดผม ว่าไป ท่าทางเขาดูเหมือนคนที่ชำนาญ จัดแต่งทีสองทีก็ช่วยเขาเกล้าผมเรียบร้อยแล้ว
เย้ย นี่ใช่เวลามาชื่นชมเขาเสียเมื่อไรกัน
โหยวเสี่ยวโม่กลอกตา “ศิษย์พี่หลิง ท่าน้าอะไรกันแน่?”
หลิงเซียวใช้เชือกแดงมัดผมเขาไว้ ท่าทีพอใจกับฝีมือตัวเอง ได้ยินคำพูดเขาจึงยิ้มตาพริ้มแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก ทีหลังอย่าให้ใครมาจับหัวเ้าไปเรื่อยอีก เข้าใจมั้ย?”
โหยวเสี่ยวโม่ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน ที่เขามีอาการบ้าบอเช่นนี้เพราะศิษย์พี่ใหญ่ลูบหัวเขางั้นเหรอ ดังนั้นท่านใต้เท้าท่านนี้จึงแสดงการเป็เ้าที่โดยการขยี้มันแล้วก็จัดมันอีกรอบอย่างนี้สิ?
ทว่า โหยวเสี่ยวโม่กลอกตา แล้วเอ่ยกับหลิงเซียวท่าทีระมัดระวัง “ท่านหมายถึงว่าใครก็ไม่ได้หรือ?”
หลิงเซียวตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “แน่นอน แต่ไม่รวมข้า”
ชิ! โหยวเสี่ยวโม่มองบน นอกจากความเป็เ้าที่ และยังแสดงความเป็เ้าของอีก รู้สึกว่าตัวเองเป็สมบัติของเขาทั้งหมดอย่างไรอย่างนั้น แต่ช่างเถอะ ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นนิสัยนักเลงของหลิงเซียว
“สิทธิ์รายชื่อที่ฟางเฉินเล่อพูดถึงเมื่อครู่ หมายถึงรายชื่อที่ไปแดน์วิมานรึ?” ประกาศศักดาความเป็เ้าของหลิงเซียวก็พลันอารมณ์เบิกบาน ฉุกคิดสิ่งที่พวกเขาคุยกันเมื่อครู่ขึ้นมา
“ใช่ มีปัญหาอะไรหรือ?” โหยวเสี่ยวโม่หันไปมองเขา ไม่รู้ว่าเขาถามขึ้นเพราะอะไร
หลิงเซียวปล่อยเขา เดินไปนั่งลงพลางจัดท่านั่ง “ขงเหวินให้เ้าเป็นักหลอมโอสถขั้นสามให้ได้ในสองเดือน เพราะที่จริงเขาคิดว่าสองเดือนเ้าคงไม่มีทางทำได้ใช่มั้ย?”
ดูผิวเผิน โหยวเสี่ยวโม่พึ่งจะเลื่อนขั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นสองได้ราวครึ่งเดือน หากอยากเลื่อนขั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นสาม ดูยังไงก็ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งปี ระยะเวลาสั้นๆ แค่สองเดือนจะเลื่อนขั้นได้อย่างไรกัน?
ดังนั้นจุดประสงค์ของขงเหวินนั้นชัดเจนว่า ไม่อยากยกโอกาสนี้ให้โหยวเสี่ยวโม่ ถึงกำหนดเงื่อนไขนี้ขึ้น คงเพราะไม่อยากให้ศิษย์รักทั้งสองคนเกิดความบาดหมางกับตน หรือพูดให้ถูกก็คือ ไว้หน้าฟางเฉินเล่อกับฝูจื่อหลินนั่นเอง
“อือ เื่นี้ข้าก็เดาออกเหมือนกัน” โหยวเสี่ยวโม่ไม่รู้สึกเอะใจ
ั้แ่เขารู้ว่าขงเหวินไม่เห็นค่าเขา เขาไม่รู้สึกเอะใจแม้แต่น้อยไม่ว่าขงเหวินจะตัดสินใจอย่างไร คำตอบที่ศิษย์พี่ใหญ่บอกมาเขาก็คิดไว้ั้แ่ต้น
หลิงเซียวเห็นเขาหน้านิ่ง นึกว่าเขายังคงโอบอุ้มความหวังในตัวขงเหวิน เดินมาด้านหน้า จ้องมองใบหน้าขาวใสนวลเนียนหันข้างของโหยวเสี่ยวโม่แล้วเผยยิ้มมีเลศนัย เอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก หากเ้าอยากไปจริง ข้ามีวิธีช่วยให้เ้าได้สิทธิ์นั้น”
ฝีมือของโจวเผิงใช้ได้ ดังนั้นการเดินทางไปแดน์วิมานครั้งนี้เขาก็มีสิทธิ์ ทั้งยังเป็รายชื่อที่กำหนดแล้ว ขอเพียงเขาเอ่ยออกมา โจวเผิงคงยินดียอมยกสิทธิ์ให้แน่ ถึงตอนนั้นเขาแค่หาเคล็ดวิชาที่ดีกว่าที่โจวเผิงกำลังฝึกตอนนี้ให้เล่มหนึ่งเป็การตอบแทนก็เพียงพอแล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่ประหลาดใจ พลันส่ายหัวแล้วยิ้มตาพริ้ม “ไม่ต้องหรอก ข้าได้สิทธิ์นั้นแล้ว”
คราวนี้เปลี่ยนเป็หลิงเซียวประหลาดใจบ้าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้