ชายคนหนึ่งสะกิดซั่งกวนเซ่าเฉินซึ่งกำลังมัดปูอยู่ กล่าวกระซิบที่ข้างหูของเขาว่า “พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่าพี่เจ็ดชอบพอแม่นางน้อยแล้วหรือขอรับ?”
การเคลื่อนไหวในมือของซั่งกวนเซ่าเฉินหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง มองไปยังสองคนด้านหน้าที่พูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะไปด้วย ก่อนเอ่ยถามอย่างราบเรียบ “ด้วยฐานะของเขา จะแต่งกับผู้ใดไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา ถ้าหากข้ารู้ว่าเขากล้าทำอันใดไม่ชอบธรรม ข้าก็จะส่งเขากลับเข้าไปในวัง เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาทำร้ายหญิงสาวคนอื่นอีก”
“พี่ใหญ่ ท่านนี่ก็...” ชายคนที่กล่าวเมื่อครู่รู้สึกได้แค่ว่าเป้ากางเกงหนาวสั่น รีบร้อนวิ่งไปด้านข้างโดยไม่รอช้า ออกห่างให้ไกลจากคนหวงน้องสาวที่น่ากลัวผู้นั้น “แย่แล้ว เมื่อก่อนพี่เจ็ดก็ก่อเื่ยั่วยุสตรีมาไม่น้อย พี่ใหญ่ทำเป็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่มาโดยตลอด คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้ถึงกลับกล่าวว่าจะส่งพี่เจ็ดเข้าวัง พี่น้องทั้งหลาย ต่อไปนี้จะต้องปฏิบัติต่อแม่นางน้อยให้ดีสักหน่อย อย่าได้ให้มีเื่อันใดที่ไม่ถูกต้องไม่ชอบธรรมเด็ดขาด”
“ยังต้องให้เ้าพูดอีกหรือ? เมื่อปีนั้นน้องสาวแท้ๆ ของพี่ใหญ่หลงรักพี่เจ็ดั้แ่ครั้งแรกเห็น พี่เจ็ดปฏิเสธอย่างสุภาพนิ่มนวล คุณหนูท่านนั้นร้องไห้จวนเจียนจะขาดใจ ร้องไห้ขอให้พี่ใหญ่ช่วยคืนความยุติธรรมให้ พี่ใหญ่แสร้งทำเป็ไม่เห็นเื่นี้ ถึงขั้นให้พี่เจ็ดออกไปข้างนอกเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ เห็นได้ว่าพี่ใหญ่ท่านนี้ใช้เหตุใช้ผลมาตลอด ช่วยด้วยเหตุผลไม่ได้ช่วยเพราะเครือญาติ ครั้งนี้...เขาช่วยแม่นางน้อยโดยไร้สิ้นหลักการทั้งปวง”
“น่ากลัว...น่ากลัวเกินไปแล้ว...พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันได้นานเท่าไรเชียว? ฝีมือของแม่นางน้อยช่างสูงส่งนัก! ” ชายที่อยู่ด้านข้างยกนิ้วหัวแม่มือให้
ขณะที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังผัดอาหารอยู่ ผู้คนที่เดินสัญจรผ่านไปมาต่างได้กลิ่นหอมนั่น และไม่มีผู้ใดยอมเดินผ่านไปสักคน แผงขายของเปี่ยมล้นไปด้วยผู้คนทั้งสี่ทิศ ทุกคนล้วนมองไปที่หม้อใบใหญ่ของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างตะกละตะกลาม หลิงมู่เอ๋อร์ผัดอาหารพลิกไปมาอย่างคล่องแคล่วไม่ขาด่ ไม่ได้รับผลกระทบจากผู้คนทั้งหลายเลยแม้แต่นิด
คนเ่าั้ต่างกลืนน้ำลาย มองดูอาหารอันโอชะเ่าั้ถูกยกขึ้นวางไว้บนโต๊ะ และยังมีชายรูปร่างสูงใหญ่สิบกว่าคนนั่งอยู่ที่นั่น ทำให้พวกเขาไม่กล้ามีความคิดไม่ดี
“แม่นางน้อย ฝีมือของเ้าดีขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่เปิดร้านเล่า? ” สตรีผู้หนึ่งจับจูงเด็กห้าขวบหนึ่งคนเอ่ยขึ้นมา
เด็กคนนั้นจ้องมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ ใบหน้าน้อยๆ เต็มไปด้วยความปรารถนา เขาสูดจมูกแล้วสูดจมูกอีก เอ่ยกับสตรีนางนั้น “ท่านแม่ ข้าอยากกิน”
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดของสตรีนางนั้น นางผัดพลิกอาหารไปพลางกล่าวตอบสตรีนางนั้นไปพลาง “ท่านป้า ข้ากำลังคิดแผนการนี้พอดีเ้าค่ะ หากเป็ไปอย่างราบรื่น อีกไม่กี่วันข้าก็จะเปิดร้านเ้าค่ะ เมื่อถึงเวลาเปิดกิจการ อาหารของวันแรกที่เปิดร้านทุกรายการจะลดครึ่งราคาเ้าค่ะ”
“จริงหรือ? ” ทุกคนต่างยินดีปรีดาเต็มที่ “นี่ช่างดีจริงๆ!จะเปิด่เวลาใด? ถึงตอนนั้นพวกข้าจะรีบมาต่อแถวให้เร็วสักหน่อย”
“พรุ่งนี้พวกข้ายังต้องมาขายเกี๊ยวที่นี่อีก ถ้าได้กำหนดเวลาที่แน่นอนแล้ว พวกข้าจะประกาศให้ทราบล่วงหน้าเ้าค่ะ ทุกท่านเพียงแค่รอข่าวจากพวกข้าก็พอ ตอนนี้พี่ชายทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ล้วนคือพี่น้องของพี่ใหญ่ข้า ข้าอยากจะต้อนรับพวกเขาเป็อย่างดี ผักพวกนี้ข้าซื้อมาในราคาสูงจากท่านป้าที่ปลูกผักท่านหนึ่ง ไม่มีส่วนที่เกินมา ดังนั้นจึงไม่สามารถต้อนรับทุกท่านได้” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างสุภาพ ความหมายก็คือเป็การไล่แขกนั้นเอง แม้ว่ามีคนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ส่งผลในการทำอาหารของนาง แต่ว่าชายฉกรรจ์เ่าั้ที่ถูกคนมากมายจ้องมองพวกเขากินข้าว ก็น่าจะกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้างกระมัง! ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็คงต้องให้พวกเขาแยกย้ายออกไปก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็เหตุให้ทุกคนไม่สบายใจ
“เอาล่ะ แยกย้ายกันไปเถิด ทุกคนแยกย้ายให้หมด” ชายผู้หนึ่งยืนขึ้น จ้องเขม็งไปที่คนมุงอยู่รอบๆ ด้วยสายตาน่ากลัว “ข้ามากินข้าวที่นี่ พวกเ้าจะมายืนเฝ้ามองทำอันใด? ”
ครั้นทุกคนเห็นชายร่างสูงใหญ่ท่าทางน่ากลัวเช่นนั้น จึงไม่กล้ารั้งรออยู่ต่ออีกต่อไป เดิมทีมีคนหวังว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะพอเห็นแก่หน้าเด็กน้อยและแบ่งให้พวกเขาชิมสักเล็กน้อย ตอนนี้เห็นชายร่างสูงใหญ่พวกนั้น ความคิดที่จะฉวยโอกาสเอาเปรียบนั่นก็มลายหายสิ้น พวกเขาเร่งรีบพาเด็กน้อยที่ถูกขู่ใจนร้องไห้วิ่งหนีไป
เหล่าฝูงชนแยกย้ายกันไปราวกับเห็นผี ชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นลูบๆ ที่ศีรษะของตน กล่าวด้วยใบหน้าใสซื่อ “พวกเขาเป็อันใดไปหรือ? ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยเชียวหรือ? ”
เหล่าชายชาตรีที่อยู่ด้านข้างเผลอหัวเราะออกมา
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มพลางเอ่ย “พี่ชาย ท่านไม่ได้น่ากลัว แต่น่ารักมากต่างหากเ้าค่ะ”
“แหะแหะ...” ชายหยาบกระด้างร่างสูงใหญ่ที่ถูกชมลูบศีรษะอย่างเขินอาย “น้องสาวชมเกินไปแล้ว ข้าเป็เพียงคนหยาบกระด้างคนหนึ่ง พูดจาไม่น่าฟัง เ้าอย่าได้ถือสาเลย”
“พี่ชายทุกท่านทานอาหารเถิดเ้าค่ะ! ” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ย “ต้มปลาผักกาดดอง ไก่หั่นลูกเต๋าผัด ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ฟูชีเฟ่ยเพี่ยน [1] ... ทั้งหมดเป็อาหารจานเนื้อสัตว์สิบอย่าง อาหารผักผลไม้ล้วนห้าอย่าง และเพิ่มน้ำแกงอีกหนึ่งหม้อ สำหรับอาหารจานหลัก พวกท่านมีสองตัวเลือก หนึ่งคือข้าว สองคือบะหมี่ บะหมี่เป็บะหมี่ทำมือที่ข้าเป็คนทำเอง ถึงตอนนั้นที่พวกท่านจะทานแล้วค่อยบอกข้า ข้าจะทำในขณะนั้นเลยเพื่อเลี่ยงปัญหาการต้มนานเกินไป จะทำให้เส้นบะหมี่สูญเสียความเหนียวนุ่มเ้าค่ะ”
“น้องสาว ขอบใจเ้าแล้ว พวกข้าไม่เคยได้กินอาหารมากมายขนาดนี้มาก่อน วันนี้เป็เพราะบารมีจากพี่ใหญ่จริงๆ ” ชายผู้หนึ่งเอ่ย คีบไปยังซี่โครงหมูที่เขาจ้องมาสักพักแล้ว
“เ้าช้าก่อน ชิ้นนั้นเป็ของข้า” คนด้านข้างมองเห็นท่าทางของเขา ก็รีบร้อนขึ้นมาทันที รีบแย่งซี่โครงจากตะเกียบของชายผู้นั้น
“ไม่ขายหน้าหรือ? น้องสาวทำตั้งมากมายขนาดนี้ ทุกคนล้วนได้ทานเหมือนกัน” เซี่ยวชีเอ่ยด้วยใบหน้าดำมืด
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองการแย่งชิงอาหารของเหล่าพี่น้อง มุมปากกระตุกขึ้น และเข้าร่วมการแย่งชิงอาหารนี้ด้วยเช่นกัน
เซี่ยวชีเห็นพี่ใหญ่ของตนล้วนไม่สนใจภาพลักษณ์แล้ว แล้วเขาจะสนใจภาพลักษณ์ไปทำสิ่งใดกันเล่า? ดังนั้นเขาจึงโยนภาพลักษณ์องค์ชายผู้สูงศักดิ์ทิ้งไป แล้วเข้าแย่งอาหารจากปากเสือแทน
“พรืด...” หยางซื่อได้เห็นท่าทางของชายหนุ่มเหล่านี้ นางหัวเราะจนปิดปากไม่ได้ “มู่เอ๋อร์ วันนั้นที่เฉินเอ๋อร์บอกว่าภายหลังจะแนะนำชายหนุ่มรูปงามให้เ้า ดูแล้วไม่น่าจะพูดเปล่าๆ เด็กหนุ่มมากมายขนาดนี้ คงมีหลายคนที่ยังไม่แต่งงานกระมัง? ดูจากหน้าตาพวกเขาแล้ว ทุกคนล้วนไม่เลวเลย เ้าเลือกสักคนจากหนึ่งในนั้น เช่นนี้พ่อกับแม่ต่างก็ดีใจจนแอบยิ้มแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ััพวงแก้ม ยกบะหมี่ที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาหนึ่งถ้วยแล้วส่งให้กับหยางซื่อ “ท่านแม่ ท่านก็ยุ่งมานานแล้ว ทานรองท้องก่อนสักหน่อยเถิดเ้าค่ะ”
หยางซื่อรับมา สูดดมกลิ่นหอมของบะหมี่ทำมือแล้วหายใจเข้าลึกๆ นางก็ไม่ได้ละเมียดละไม ยกชามบะหมี่ขึ้นแล้วกินมันอย่างนั้นเลย
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองดูพี่น้องสิบกว่าคนยึดครองโต๊ะสองตัวไว้หมด คนบ้านสกุลหลิงทำได้เพียงแต่ยืนกินบะหมี่เล็กน้อยเท่านั้น จึงเกิดความรู้สึกเกรงใจขึ้นมาฉับพลัน
เขาใช้ขาข้างหนึ่งถีบไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงด้านหน้า
ชายหนุ่มที่กำลังแย่งอาหารอย่างมีความสุข ถูกพี่ใหญ่ของตนเองถีบ จึงร้องขึ้นมาในทันที “พี่ใหญ่ ท่านถีบข้าทำไมกัน? ท่านอยากกินก็ต้องรีบแย่งนะขอรับ เดี๋ยวจะหมดเอา”
ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที
คนเหล่านี้คือพี่น้องของเขา? หรือว่าจะเป็ผู้ลี้ภัยปลอมตัวมากันแน่?
“เ้า ไปหาโต๊ะเก้าอี้มาอีกสักชุด” ซั่งกวนเซ่าเฉินจ้องไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างพลางกล่าว
ชายหนุ่มผู้นั้นคาบซี่โครงไว้ในปาก เอ่ยตอบมาอย่างไม่ชัดเจน “ไม่ไปไม่ไป ถ้าหากข้าไป จะยังมีส่วนของข้าหรือ? ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินแสยะปาก กลิ่นอายความเย็นะเืแผ่ออกจากร่าง
ทันใดนั้น ‘ผู้ลี้ภัย’ ทั้งสองโต๊ะก็หยุดการเคลื่อนไหวโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขามองบุรุษผู้นั้นที่ปลดปล่อยกำลังภายในออกมาด้วยความกลัว ความหวาดกลัวที่ถูกพญายมจ้องมองพลันพรั่งพรูขึ้นมาในจิตใจ
“อ๊า… ท่านอา ท่านอาสะใภ้ พี่ใหญ่ น้องสาว เหตุใดพวกท่านถึงยืนอยู่ตรงนั้นกันขอรับ? มานั่งเร็วเถิด หากพวกท่านไม่นั่ง พวกเราจะกล้านั่งได้อย่างไร? ” เซี่ยวชีวางตะเกียบลง หยัดกายลุกขึ้นยืนเอ่ยกับหลิงต้าจื้อและหยางซื่อ
หลังจากที่เขาพูดจบ ชายหนุ่มคนอื่นก็รีบร้อนลุกขึ้นมาเช่นกัน ก่อนทำท่าทางเคารพนบนอบ “ท่านอา ท่านอาสะใภ้ พี่ใหญ่ น้องสาวและก็น้องชาย พวกท่านเชิญนั่งก่อน”
ท่านพญายมมีโทสะแล้ว ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ถึงแม้ว่ากลิ่นหอมยังติดอยู่ในปาก ความตะกละตะกลามจะโจมตีมากเพียงใด พวกเขาก็ต้องอดทนให้อยู่ ต่อให้ไม่มีสมองและพวกเขาอยากจะกินมันอีก ทว่าก็ต้องดูว่าหลังจากนั้นจะยังมีปากไว้กินหรือไม่
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มจางๆ แม้ว่าร่างนี้จะไม่มีกำลังภายใน แต่ว่านางก็สามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เปลี่ยนไปของซั่งกวนเซ่าเฉินได้อย่างเฉียบแหลม
บุรุษผู้นี้… ช่างน่ารักมากจริงๆ
“พวกท่านรีบทานกันเถิด! หากเย็นไปจะไม่อร่อยเ้าค่ะ พวกข้าเพียงแค่กินรองท้องเท่านั้น อีกสักประเดี๋ยวจะไปดูร้านค้า หากรอจนกลับไปก็เกรงจะค่ำแล้ว ในยามปกติพวกข้ากลับไปกินข้าวที่บ้านเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยกับทุกคนจบ ก็กล่าวกับซั่งกวนเซ่าเฉินอีกว่า “พี่ใหญ่ ท่านรีบให้พวกเขาทานเถิด ไม่ต้องบังคับพวกเขาเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะคิดว่าฝีมือของข้าไม่ดีพอนะเ้าคะ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้ว มองไปทางพี่น้องเ่าั้ที่แสดงสีหน้าท่าทางเศร้าเสียใจ “ถ้าอย่างนั้นก็นำเอาความว่องไวของพวกเ้าออกมา รีบกินให้เร็วขึ้น”
หากพวกเขากินหมดเร็ว คนสกุลหลิงก็จะได้จัดการเก็บกวาดเร็วขึ้นหน่อย จากนั้นก็จะได้ไปดูร้านค้า เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยพวกเขาก็จะได้กลับบ้านไปพักผ่อน
ทันทีที่ทุกคนได้ยิน ร่างกายก็ตอบสนองอย่างฉับพลันชายฉกรรจ์ทั้งหลายใช้กำลังยื้อแย่งอาหารอันโอชะเ่าั้ราวกับพายุลมกระโชกเมฆกระหน่ำ แม้แต่น้ำแกงก็ไม่เหลือสักหยดอยู่บนโต๊ะ
หยางซื่อมองถ้วยชามที่เกลี้ยงวาววับ พลางกล่าวอย่างตกตะลึง “พวกเรายังต้องล้างถ้วยอีกหรือไม่? นี่ก็กินจนถ้วยสะอาดเกินไปแล้วกระมัง? ชายหนุ่มเหล่านี้ต้องเหนื่อยมากเป็แน่ อยู่ข้างนอกก็ไม่ได้กินของดีๆ ดังนั้นจึงได้หิวกันขนาดนี้”
หลิงมู่เอ๋อร์อยากบอกกับหยางซื่อมากว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ไม่เคยกินของดีมาก่อนอันใด? เป็เพราะของในมิติมีรสชาติเอร็ดอร่อยเกินไปต่างหาก พวกเขาจึงควบคุมตนเองไม่อยู่!
“ท่านอา ท่านอาสะใภ้ พี่ใหญ่ น้องสาว น้องชาย พวกข้ายังมีธุระอื่นอีก ต้องขอตัวลาก่อนขอรับ” จากที่ได้รับสายตาบอกเป็นัยของพี่ใหญ่ ทุกคนไม่กล้ารั้งรออยู่ต่อ รีบร่ำลากับคนสกุลหลิง
“เหตุใดถึงไม่นั่งพักสักหน่อยเล่า? จะไปกันเร็วขนาดนี้เลยหรือ? ” หยางซื่อเอ่ยเป็พิธีรีตองสองสามประโยค จริงๆ แล้วพวกเขายังมีธุระที่ต้องทำอีกมากมาย ชายหนุ่มเหล่านี้ไปแล้วก็ดีเช่นกัน
“ไม่นั่งแล้วขอรับ วันหลังจะมาเยี่ยมท่านอาและท่านอาหญิงสะใภ้ใหม่” ทุกคนแอบเสริมหนึ่งประโยคขึ้นในใจ เมื่อบุตรสาวของท่านเปลี่ยนมาเป็พี่สะใภ้ของพวกข้า ไม่แน่ว่าอาจจะได้ฝากท้องทุกวันก็เป็ได้
หลังจากเหล่าชายชาตรีกลับไป หยางซื่อก็ดึงแขนเสื้อของซั่งกวนเซ่าเฉิน เอ่ยกระซิบอยู่ด้านข้าง “ในเด็กหนุ่มเหล่านี้มีผู้ใดยังไม่แต่งงานหรือไม่? ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินชะงักงันเล็กน้อย เขามองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นว่านางกำลังเก็บกวาดของอยู่ และสีหน้าท่าทางของนางเป็ปกติ ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม
“มารดาบุญธรรม พวกเขาล้วนเป็คนที่ใช้ชีวิตอยู่กับการใช้คมดาบ ไม่เหมาะสมกับมู่เอ๋อร์ ข้าจะหาคนที่ดีกว่านี้ให้นางในภายหลังขอรับ” ซั่งกวนเซ่าเฉินปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
ครั้นหยางซื่อได้ยิน ก็ฟังดูแล้วมีเหตุผลจริงๆ ตอนนี้คนที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในครอบครัวก็คือหลิงมู่เอ๋อร์ พวกเขาเพียงแค่อยากให้นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่อยากให้นางได้รับความไม่เป็ธรรม ในเมื่ออยากหาสามีที่ตรงตามความปรารถนา แน่นอนว่าต้องหาคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ เด็กหนุ่มแบบนี้ก็ไม่เลวเลยจริงๆ แต่พอคิดถึงชีวิตหลังจากนี้ของหลิงมู่เอ๋อร์ว่าจะต้องเจอกับเื่น่ากลัว นางก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว
“เช่นนั้น เื่ของน้องสาวเ้า เ้าต้องเก็บเอามาใส่ใจ ช่วยนางหาคนที่ดีคู่ควรนะ” หยางซื่อเอ่ยกำชับ “ใช่แล้ว พวกเราไปดูร้านค้ากันเถิด! ”
“ขอรับ” ซั่งกวนเซ่าเฉินเอ่ยเสียงเรียบราบ “ร้านค้าตั้งอยู่ในถนนด้านทิศตะวันออก ที่นั่นอยู่ห่างไม่ไกลจากที่นี่”
“ร้านค้าของถนนทิศตะวันออกไม่ใช่ถูกๆ เลย! หนึ่งตำลึงเงินต่อเดือนสำหรับร้านค้า นั่นก็ถูกมากเกินไปแล้ว ร้านนั่นมีปัญหาอันใดใช่หรือไม่? ” หยางซื่อเอ่ยถาม
“ไม่มีขอรับ ร้านค้ามีขนาดใหญ่แต่เก่าไปบ้างเล็กน้อย ดังนั้นจึงต้องเก็บกวาดดีๆ สักหน่อย เมื่อก่อนเ้าของร้านทำการค้าอยู่ที่นั่นแต่ว่าขาดทุน เขาก็เลยกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่ชนบท ร้านค้าถูกปล่อยทิ้งว่างอยู่อย่างนั้นมาตลอด เวลาลากยาวออกไปนาน ่นี้เขาจึงคิดที่จะปล่อยออกไปให้เช่า เลยจำต้องลดราคาลงมาให้ต่ำสักหน่อย” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวอธิบาย
เชิงอรรถ
[1] ฟูชีเฟ่ยเพี่ยน (夫妻肺片) หมายถึง ชื่ออาหารเสฉวน เป็เครื่องในสัตว์ในน้ำมันพริกแบบเสฉวน