ถึงกับบอกว่าเสิ่นเยี่ยนเข้าทำงานที่นั่นได้เพราะตระกูลกู้ นี่เขามาเพื่อเย้ยหยันงั้นหรือ? กู้เจิงมองชายคนนี้อย่างเ็า
“ข้าเป็บุตรเขยใหญ่ของตระกูลกู้ ถ้าจวนกู้ไม่ช่วยข้า ก็คงจะเป็เื่แปลก?” เสิ่นเยี่ยนยังคงมีสีหน้าเฉยเมย
“ฟังจากน้ำเสียงของเ้า เหมือนกับว่าการได้เป็บุตรเขยของจวนกู้จะเป็สิ่งที่น่ายินดียิ่ง ข้านึกว่าเ้าถูกบังคับให้แต่งงานกับสตรีคนนี้แล้วจะรู้สึกไม่พอใจเสียอีก”
กู้เจิงอยากจะด่าาคนจริงๆ แต่ที่นี่คนเยอะเกินไป นางไม่อาจทำให้ตระกูลเสิ่นขายหน้าได้ หากไม่เช่นนั้น นางคงตอบกลับว่า ‘เสิ่นมู่ชิง เื่ของข้าไปเกี่ยวอะไรกับเ้า? เ้าจะพูดมากเพื่ออันใดกัน?’
“ภรรยาข้าอ่อนโยนเฉลียวฉลาด จิตใจดีงาม ไม่ทราบว่าสตรีที่เ้าพูดถึงคือใครกัน?” เสิ่นเยี่ยนถาม
กู้เจิงอมยิ้ม “...” พูดได้ดี
เสิ่นมู่ชิงยิ้มเย็น เขามองกู้เจิงพร้อมกล่าวว่า “อ่อนโยนเฉลียวฉลาด จิตใจดีงามงั้นหรือ? แน่ใจนะว่าไม่ใช่เศษดอกไม้ปลิดปลิวจากต้นหลิวเหี่ยวเฉา* ยอมที่จะต่ำตม?”
(*ใช้อุปมาถึงสตรีตกอับหรือไม่มีเกียรติ)
กู้เจิงตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ไม่ใช่แน่นอน ข้าไม่เพียงแต่อ่อนโยนเฉลียวฉลาด จิตใจดีงาม แต่ยังงดงามล่มเมือง เป็หนึ่งในแผ่นดิน”
เสิ่นมู่ชิงหน้าทะมึน ผู้หญิงคนนี้ช่างไร้ยางอายจริงๆ
มุมปากของเสิ่นเยี่ยนกระตุก
เวลานี้มีคนไม่น้อยที่เห็นเสิ่นมู่ชิง ต่างก็แสดงท่าทางดูแคลน “เขามาได้ยังไง? ไม่ใช่ว่าถูกขับไล่ออกจากตระกูลไปแล้วหรือ?”
“เ้าไม่รู้หรือ? การสอบรับราชการเมื่อปีที่แล้ว เขาสอบได้ทั่นฮวา ผู้นำตระกูลก็เลยยอมให้เขากลับสู่ตระกูล”
“ลูกชายของฆาตกรสามารถสอบเข้ารับราชการได้ด้วยหรือ?”
“ใครจะรู้ว่าไปโชคดีมากจากไหน?”
เมื่อเริ่มมีเสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น ผู้คนเลยเริ่มสังเกตเห็นเสิ่นมู่ชิง
เสียงกระซิบกระซาบนินทาเ่าั้ทำเอาใบหน้าของเขาแข็งกระด้างยิ่งกว่าเดิม
“พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษใกล้จะเริ่มแล้ว ถ้าเ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปที่ของตัวเองเถอะ” เสิ่นยี่ยนกล่าวบอก
“ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ข้างเ้า ใช้ได้ถูกอกถูกใจหรือไม่?” จู่ๆ เสิ่นมู่ชิงก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เสิ่นมู่ชิง เ้าระวังคำพูดด้วย” เสิ่นเยี่ยนกล่าวเตือน
“ระวังคำพูดหรือ? หากเ้ารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ ก็คงจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงต่ำช้าเช่นนี้”
“เสิ่นมู่ชิง เ้าอย่าได้ทำเกินเลย” กู้เจิงปล่อยให้คนมาพูดจาดูถูกนางไม่ได้จริงๆ
“ข้าทำเกินเลยหรือ?” เสิ่นมู่ชิงแค่นเสียงตอบกลับ
“เ้ามีเจตนาอันใด?” เสิ่นเยี่ยนเอ่ยถามเสียงเย็น
กู้เจิงรู้สึกว่าเสิ่นมู่ชิงคนนี้เอาแต่มุ่งเป้ามาที่นาง และยังท่าทางโกรธเคืองนั่นด้วย ทำไมเขาต้องโกรธนาง? เพราะท่านพ่อเคยเอ่ยปากว่าจะให้นางแต่งงานกับเขาหรือ? ก็แค่คำพูดปากเปล่าเท่านั้นยังไม่ได้ตกลงกันจริงจังแน่นอนเสียหน่อย เขาคงจะบ้าไปแล้วจริงๆ
“มีเจตนาอันใดงั้นหรือ? เ้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือแสร้งทำเป็ไม่เข้าใจกันแน่?”
“เ้าเพิ่งกลับเข้ามาในตระกูล หรือว่าอยากจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลอีกครั้ง?” ดวงตาดำขลับของเสิ่นเยี่ยนเคร่งขรึม เ็า และน่ากลัว
เสิ่นมู่ชิงแค่นเสียงเยาะหยัน ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
กู้เจิงอารมณ์ไม่ดีนัก นางถลึงตาใส่เสิ่นเยี่ยนด้วยความไม่พอใจ “ข้าโดนพูดว่าขนาดนี้แล้ว ท่านก็จะให้มันจบเช่นนี้หรือเ้าคะ?”
“เขาไม่ฉลาดเอาเสียเลย อีกเดี๋ยวพวกเราสามารถจะปฏิเสธที่จะให้เขากลับเข้ามาในตระกูลได้" เสิ่นเยี่ยนบอกนาง
“หมายความว่ายังไงเ้าคะ?” กู้เจิงทำหน้าสงสัย
“ท่านผู้นำตระกูลรับปากว่าจะให้เขากลับเข้าตระกูล แต่วันนี้ต้องมีคนออกมาคัดค้านแน่ และคนที่คัดค้านก็คงไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองคน” เสิ่นเยี่ยนเห็นภรรยามีสีหน้าลังเล “เ้าใจอ่อนแล้วหรือ?”
“เปล่าเ้าค่ะ เพียงแต่คำพูดเ่าั้เมื่อเทียบกับการทำลายชีวิตคนๆ นึงแล้ว ดูเหมือนจะไม่จำเป็ต้องทำถึงขั้นนั้น” นางไม่ได้ใจอ่อน แต่อาจมีลังเลบ้าง เพราะนางไม่ใช่คนใจร้าย “อีกอย่าง ข้าไม่สนิทกับเขา นี่เป็ครั้งที่สามที่ได้พบเขา สองครั้งแรกนั้นไม่รู้ว่าเขาเป็ใคร ท่านอย่าได้คิดมากเลยเ้าค่ะ”
ชุนหงพยักหน้าอย่างเอาเป็เอาตาย “บ่าวเป็พยานได้เ้าค่ะ”
“เ้าเคยพบเขาหลายครั้งเลยหรือ?” เสิ่นเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น
กู้เจิงไม่อยากให้เสิ่นเยี่ยนเข้าใจผิด จึงเล่าเื่การพบกันสองครั้งนั้นให้ฟัง “ตอนที่ท่านแม่บอกข้าเื่การหมั้นหมาย ซู่เหนียงไม่เห็นด้วย ส่วนข้าก็ไม่เคยเจอเขา เลยไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมุ่งเป้ามาที่ข้าเช่นนี้เ้าค่ะ”
“เสิ่นมู่ชิงกลับเข้าตระกูล และยังสามารถเข้าร่วมการสอบรับราชการได้นั้นเป็เพราะแรงช่วยของท่านพ่อตา" เสิ่นเยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ
กู้เจิงได้ยินก็อึ้งไป “ท่านพ่อข้าหรือเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้า “ตอนนั้นท่านพ่อตาชื่นชมเขามาก ถ้าพวกเ้าแต่งงานกันได้ ท่านพ่อตาก็จะช่วยจัดการเื่ในอดีตให้เขา”
“แต่มันไม่เป็อย่างนั้นสินะเ้าคะ”
“ใช่แล้ว ท่านพ่อตารู้สึกละอายใจ เลยจำต้องรักษาคำพูดกับเื่ที่เคยเอ่ยก่อนหน้านี้”
กู้เจิง “...” น่าโมโหนัก “ตระกูลกู้ช่วยเขามากขนาดนี้ แต่เขายังกล้ามาพูดกับข้าแบบนี้อีกหรือ? ไม่มีมโนธรรมเอาเสียเลย”
“ข้าเดาว่าคงเป็ความคับข้องใจ”
“ก็เลยมาระบายใส่ข้าน่ะหรือ?” กู้เจิงใช้มือพัดหน้า ทำเอานางโมโหเลยเชียว
เสิ่นเยี่ยนยิ้มขันกับท่าทางของภรรยา เวลาใมือเล็กๆ ของนางนั้นจะตบหน้าอกตัวเองเพื่อปลอบขวัญ ส่วนเวลาเกิดโทสะ นางก็จะใช้มือโบกพัดเพื่อระบายความโกรธ
“ท่านยังจะยิ้มอยู่อีกหรือเ้าคะ?” กู้เจิงโมโหแล้วจริงๆ
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ? หากเ้าโกรธเขา รอจนมีคนออกมาคัดค้านเ้าก็ค่อยร่วมคัดค้านด้วย ท่านผู้นำตระกูลเห็นว่าเขาสามารถสอบเข้ารับราชการได้ทั้งยังได้ที่สาม เกียรติเช่นนี้ย่อมต้องรับเขากลับเข้ามาในตระกูลอีกครั้ง เพื่อเป็หน้าตาแก่วงศ์ตระกูล แต่ถ้ามีคนคัดค้านเยอะ เขาก็ไม่มีอำนาจจะตัดสินใจได้” เสิ่นเยี่ยนกล่าว
“สิทธิในการคัดค้านนี้ ข้าร่วมแน่เ้าค่ะ” กู้เจิงพูดอย่างโมโห
เมื่อพิธีเริ่มขึ้น ผู้กล่าวทำพิธีก็เริ่มอ่านพิธีการให้ทุกคนฟัง จากนั้นผู้บวงสรวงหลักและผู้นำตระกูลก็เริ่มถวายเครื่องบูชาและอ่านบทสวด
มีคนในตระกูลคอยจุดธูปให้ทุกคน คนละหนึ่งดอก เมื่อผู้บวงสรวงหลักอ่านบทสวด ก็ให้แต่ละครอบครัวทำการกล่าวไหว้
ครอบครัวลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม และครอบครัวตระกูลเสิ่น หลังจากเซ่นไหว้เสร็จแล้วก็ต้องไปต่อทางด้านหลังรอให้ทุกคนเซ่นไหว้เสร็จก่อน
กู้เจิงเห็นเสิ่นมู่ชิง ทั้งยังมีสตรีและเด็กที่กล่าวหานางต่อหน้าสาธารณชนในวันนั้น ดูเหมือนจะเป็พี่สะใภ้ของเสิ่นมู่ชิง เมื่อทั้งสามคนจุดธูป ก็มีลูกหลานรุ่นเยาว์คนหนึ่งในตระกูลเสิ่นกล่าวว่า “ท่านผู้นำ พวกเราไม่เห็นด้วยกับการให้เสิ่นมู่ชิงกลับเข้าตระกูลขอรับ”
“ใช่ ไม่เห็นด้วย”
“พ่อของเขาเป็ฆาตกร ลูกชายของฆาตกรจะดีสักแค่ไหนกันเชียว?”
“ใช่ ไม่แน่ว่าอาจจะฆ่าพวกเราด้วยก็ได้”
“คนแบบนี้น่ากลัวเกินไป ข้าไม่เห็นด้วยกับการให้เขากลับเข้าตระกูล”
ผู้คนที่เซ่นไหว้เริ่มแสดงความคิดเห็นกัน หลายคนยืนขึ้นเพื่อแสดงว่าพวกเขาไม่เห็นด้วย
“คุณหนูเ้าคะ” ชุนหงถามเสียงเบา “ทำไมพ่อของเสิ่นมู่ชิงถึงฆ่าคนได้ล่ะเ้าคะ?”
กู้เจิงมองไปทางสามี นางเองก็อยากรู้เช่นกัน
เสิ่นเยี่ยนได้ยินที่ชุนหงถาม สายตาของเขามองไปที่เสิ่นมู่ชิงที่มีสีหน้าอัดอั้น ดวงตาฉายแววโกรธเคือง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า “ตอนเสิ่นมู่ชิงอายุห้าขวบ บิดาเขาฆ่ามารดาเขา”
“ทำไมหรือเ้าคะ?” กู้เจิงตะลึงงัน
“ไม่มีใครทราบสาเหตุ”
“สตรีคนนั้นที่อยู่ข้างๆ เขา เขาเรียกนางว่าพี่สะใภ้ เขาน่าจะมีพี่ชายกระมัง?”
“เมื่อสามปีก่อน พี่ชายของเขาขึ้นเขาไปล่าสัตว์ และบังเอิญตกหน้าผาตาย”
“เหตุใดเื่น่าะเืใจถึงเกิดกับเขามากมายขนาดนั้น” กู้เจิงมองบุรุษที่ยืนตัวแข็งทื่อท่ามกลางฝูงชน “ในเมื่อเขาสอบได้อันดับสาม ตอนนี้คงมีตำแหน่งขุนนางแล้วใช่ไหมเ้าคะ?”
“เขาเป็เ้าหน้าที่เสมียนหลักในกรมพิธีการ แต่ไม่มีใครเห็นหัวเขา”
การมีชาติกำเนิดแบบนั้น ยากที่จะได้รับการยอมรับ กู้เจิงมองไปทางเสิ่นมู่ชิงอีกครั้ง โดยไม่ได้คิดว่าเขาก็กำลังมองนางอยู่เช่นกัน ยามสบสายตากัน สีหน้าของเขาก็ยิ่งอัดอั้นมากขึ้น
กู้เจิงไม่ชอบท่าทางของเสิ่นมู่ชิง ใบหน้าเขาทำให้นางอารมณ์ไม่ดีไปด้วย “ท่านพี่ ท่านจะคัดค้านการกลับมาของเขาไหมเ้าคะ?”
“เขาเป็คนมีความสามารถ แต่น่าเสียดายที่เส้นทางของเขาผิดพลาด” เสิ่นเยี่ยนกล่าวเสียงเรียบ “เขากลับมาก็ดี ถูกไล่ออกไปก็ดี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า”
“ข้าคิดแบบเดียวกับท่านเ้าค่ะ ในสถานการณ์แบบนี้ข้าไม่อยากซ้ำเติม แต่ข้าไม่ชอบเขา ต่อไปถ้าเขาทำกับข้าเหมือนวันนี้อีก ท่านต้องช่วยข้าจัดการเขานะเ้าคะ"
เสิ่นเยี่ยนก้มหน้ามองนางแล้วยิ้มบางๆ กู้เจิงก็ยิ้มหวานกลับมา
เสิ่นมู่ชิงไม่รู้ว่าตัวเองคิดอย่างไรต่อกู้เจิง แต่ที่แน่ๆ คือเขาเกลียดผู้หญิงคนนี้ ในตอนที่เขาถูกทุกคนคัดค้านในการกลับเข้าตระกูล เขาได้หันไปสบตากับนาง เขาเห็นเศษเสี้ยวความสงสารจากดวงตาของนาง นาทีนั้นเขาก็รู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน จากนั้นเขาก็เห็นนางส่งยิ้มหวานให้เสิ่นเยี่ยน
รอยยิ้มนั้นเดิมทีมันเป็ของเขามาก่อน
คนหนุ่มสาวที่ต่อต้านไม่ให้เสิ่นมู่ชิงกลับเข้าตระกูลเป็เพียงคนทั่วไป ไม่ได้มีตำแหน่งชื่อเสียงเหมือนอย่างเสิ่นเยี่ยนที่ไม่ได้ออกมาพูดอะไร ผู้าุโที่ออกมาก็มีไม่มากนัก ผู้นำตระกูลจึงใช้ตำแหน่งชื่อเสียงของเสิ่นมู่ชิงมากล่าวอ้าง บอกว่าหากวันหน้าเสิ่นมู่ชิงการงานก้าวหน้า มีแต่จะเป็ประโยชน์ต่อตระกูล ทำเอาหลายคนปิดปากเงียบ
แม้จะมีความวุ่นวาย แต่ผลที่ได้ยังคงเหมือนเดิม
หลังจากพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษสิ้นสุดลง ก็เป็เวลาเที่ยงวัน
ครอบครัวตระกูลเสิ่น เม่อกลับมาถึงบ้านก็ลงมือทำอาหารกลางวันอย่างเรียบง่าย