มู่อวิ๋นจิ่นเดินเตร็ดเตร่ผู้เดียวบนถนน ด้วยความรู้สึกที่ว่าชีวิตในตลาดมืดแห่งนี้ แม้ดูเฟื่องฟูแต่ลวงให้คนลุ่มหลงจนเกินไป
นางนั่งลงในร้านอาหารแห่งหนึ่งตรงมุม สั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว นั่งดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา
“เหมี๊ยว” มีเสียงแมวดังขึ้นจากด้านข้าง
มู่อวิ๋นจิ่นสะดุ้งก่อนหันมองด้านข้างเห็นฉีฉี่ในชุดสีดพ สวมหมวกใบใหญ่ปิดหน้าตาและใบหู
“ฉีฉี่ใช่ไหม?” มู่อวิ๋นจิ่นแปลกใจที่ฉีฉี่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“ใช่แล้ว ฉีฉี่เอง” ฉีฉี่นั่งลงตรงข้ามมู่อวิ๋นจิ่น “อันที่จริง ฉีฉี่นึกว่าลำแสงที่ปรากฏขึ้นทำงานผิดปกติ แต่นึกไม่ถึงว่านายหญิงมาที่นี่จริงๆ”
มาที่นี่?
มู่อวิ๋นจิ่นทวนคำพูดของฉีฉี่ ก่อนมองไปที่ฉีฉี่ “ตำหนักหวงอวี่มาอยู่ที่นี่?”
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วด้วยความงงงวยที่สุด หรือจะเป็ที่นอกเมือง? ลำธารสายเล็ก? หรือว่าจะเป็สถานที่ที่ฉู่ลี่ลากนางไปล้างมือ?
“สายลำธารเล็กๆ ด้านล่างเป็ตำหนักหวงอวี่หรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นถามอย่างแปลกใจ
ฉีฉี่พยักหน้ารับ รินน้ำใส่แก้วยกขึ้นดื่ม “เมื่อครู่ที่ตำหนักมีแสงเปล่งประกายขึ้นมา ย่อมหมายถึงนายหญิงเดินทางมาที่เมืองจางโจว ทุกคนที่อาศัยอยู่ในตำหนักต่างอยากพบหน้านายหญิงคนใหม่สักครั้ง”
“ดังนั้นฉีฉี่ตั้งใจออกมาตามข้า เพื่ออยากถามว่าเต็มใจจะไปตำหนักหวงอวี่กับฉีฉี่ใช่ไหม?”
มู่อวิ๋นจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและส่ายหน้าปฏิเสธ “ยังไม่ได้ ยังไม่ได้จริงๆ ข้ายังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจพบพวกเขา อีกอย่างวันนี้ข้าติดตามฉู่ลี่มาทำธุระ”
มู่อวิ๋นจิ่นคิดในใจว่าท่าทางและความสามารถของนาง ไม่มีตรงไหนที่เหมาะสมเป็นายหญิงคนใหม่เลย หากทำให้พวกเขาที่อยากพบผอดหวังย่อมไม่ดีเป็แน่
“ถ้าอย่างนั้นเอาตามที่นายหญิง้าแล้วกัน” ฉีฉี่อมยิ้ม
เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารขึ้นมาเรียงไว้บนโต๊ะ ทันทีที่ฉีฉี่เห็นดวงตาพลันเบิกกว้างลุกวาว “ว้าว นั่นมันปลาน้ำแดงนี่หน่า”
“เสี่ยวเอ้อร์ เอาตะเกียบมาให้อีกคู่หนึ่ง”
จากนั้นฉีฉี่มองอาหารที่วางเรียงราย จนต้องะโสั่ง “เสี่ยวเอ้อร์ เอาปลาน้ำแดงอีกจาน ปลานึ่งอีกจาน ปลาราดซอสเปรี้ยวหวานอีกจาน”
“ได้เลยขอรับ!”
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มมุมปาก ที่เห็นหมวกบนหัวของฉีฉี่กระดกยกขึ้นเวลาดีใจ “พวกแมวนั้นนอกจากชอบกินปลาแล้ว ก็ยังชอบจับหนูกิน เ้าชอบกินหนูไหม?”
“ว๊าย” ฉีฉี่สำลักอาหารจนพ่นแทบไม่ทัน ยู่ปากเอ่ยกับมู่อวิ๋นจิ่น “นายหญิง ข้าเป็แมววิเศษ ที่ครึ่งหนึ่งเป็คนครึ่งหนึ่งเป็แมว อาหารจำพวกหนูนั้น คนเขาไม่นิยมกินกันหรอก!”
มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะชอบอกชอบใจ ที่เห็นหน้าฉีฉี่บูดบึ้ง “เอาล่ะ เอาล่ะ เ้ารีบกินปลาต่อไปเถอะ”
……
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ฉีฉี่นั่งพุงกาง ยกมือขึ้นลูบท้องไปมาอย่างสบายใจ “อิ่มแล้ว”
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหลือบตามองอาหารในจานถูกกินจนเกลี้ยง จู่ๆ นึกถึงฉู่ลี่ไม่รู้ว่าเขาทานข้าวแล้วหรือยัง
ดังนั้นมู่อวิ๋นจิ่นจึงกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ ให้ทำอาหารสองอย่างแล้วห่อให้ด้วย
绮绮看着这一幕,无奈的摇摇头,“有夫之妇都像你这样的吗?”
ฉีฉี่เห็นที่มู่อวิ๋นจิ่นทำได้แต่ส่ายหน้า “คนที่มีสามีล้วนเป็อย่างนายหญิงไหมเอ่ย?”
“เห้อ…” มู่อวิ๋นจิ่นสำลักน้ำชาที่ดื่มเข้าไป “วันนั้นที่ให้เ้าช่วยไปสืบเื่ที่หอบุหลันได้เื่ราวอะไรมาบ้าง?”
“แน่นอน” ฉีฉี่เลิกคิ้วมองไปรอบๆ ว่ามีคนมาแอบดักฟังไหม “ในใต้หล้า ดูเหมือนมีร้านชื่อหอบุหลันอยู่และร้านชื่อหอศศิธร ล้วนเป็หอนางโลมทั้งหมด”
“อยู่ที่ไหน?” มู่อวิ๋นจิ่นจ้องรอคำตอบจากปากฉีฉี่
ฉีฉี่ยิ้มกรุ้มกริ่ม “หอบุหลันมีอยู่ที่เมืองเซินเย้าในอาณาจักรซีหยวน ส่วนหอบุปผากลับอยู่ที่อาณาจักรตงหลิน แต่หอนางโลมทั้งสองที่มีความสัมพันธ์กันหรือไม่นั้น ฉีฉี่ไม่ค่อยแน่ใจ”
เมืองเซินเย้า……
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วด้วยไม่เคยได้ยินได้ฟังชื่อเมืองนี้มาก่อน แต่หอบุหลันนั้น ยังไม่รู้ว่าเป็การค้าขององค์หญิงห้าฉู่ชิงเฉียงด้วยไหม
ส่วนหอศศิธรที่เมืองตงหลิน น่าจะเป็ชื่อที่มีความหมายคล้ายกันโดยบังเอิญ
“เมืองเซินเย้าห่างจากที่นี่ไกลมากแค่ไหน?” มู่อวิ๋นจิ่นถามฉีฉี่ขึ้นมา
“น่าจะใช้เวลาประมาณสองชั่วยามเ้าค่ะ” ฉีฉี่ตอบ
จากนั้นฉีฉี่นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเสริมขึ้นมาว่า “นายหญิงไม่เคยได้ยินชื่อเมืองเซินเย้ามาก่อนหรือ? เ้าเมืองแห่งเมืองเซินเย้านามว่า ‘ฉวีซูเหยา’ เป็สตรีที่แปลกประหลาด”
“เป็สตรีที่แปลกประหลาดอย่างไร?” มู่อวิ๋นจิ่นถามอย่างกระหายรู้
“‘เมืองเซินเย้า’ เดิมที่ชื่อว่า ‘เมืองเซินเจียเฉิง’ เพื่อให้เสียงใกล้เคียงกับนามของ ‘ฉวีซินเหยา’ ปีนี้นางมีอายุยี่สิบเอ็ดปีนับถือกับคุณหนูฉินประหนึ่งพี่น้องสายเืเดียวกัน พวกนางเข้าสู่สำนักของอาจารย์ชิวเย่ โดยที่ฉวีซินเหยานับเป็ศิษย์พี่ของคุณหนูฉินที่ร่วมฝึกวรยุทธ์มาด้วยกัน”
“ระหว่างที่ฉวีซินเหยาอายุได้สิบแปด ฮ่องเต้ซีิองค์ปัจจุบันเสด็จขึ้นูเามาเยี่ยมอาจารย์ชิวเย่ ผลปรากฏว่าฮ่องเต้ซีิถูกพระทัยในตัวนาง อยากรับนางเป็นางสนมเข้าวังหลัง ฉวีซินเหยายอมตายดีกว่าเป็สนม จึงเกิดต่อสู้กับองครักษ์รักษาพระองค์ขึ้นมา สุดท้ายเป็อย่างไรทราบหรือไม่นายหญิง?”
“ด้วยวรยุทธืของนางเพียงผู้เดียว สามารถสังหารองครักษ์รักษาพระองค์ไปได้ถึงห้าร้อยกว่านาย ทำให้ฮ่องเต้ซีิงงเป็ไก่ตาแตก มิกล้ารับนางเป็สนมอีกเลย เมื่อเหตุการณ์ครั้งนี้รู้ไปถึงอาจารย์ชิวเย่จึงขับนางออกจากสำนัก ต่อมาฮ่องเต้ซีิทราบเื่และสงสารนาง จึงแต่งตั้งให้นางเป็เ้าเมืองซินเจียเฉิง แต่ด้วยความถือตัวของนาง พอรับตำแหน่งได้วันเดียวก็เปลี่ยนชื่อเมืองเป็เมืองเซินเย้า”
“ฮ่องเต้ซีิได้ทรงทราบก็ทำเป็เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ปัจจุบันนี้เมืองเล็กเมืองน้อยในอาณาจักรซีหยวน ล้วนยึดแบบการปกครองตามที่มีระเบียบตามเมืองเซินเย้า”
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งฟังฉีฉี่เล่ามายืดยาว พลันเกิดความนับถือใจของสตรีที่ชื่อฉวีซินเหยามิน้อย
ทว่าระหว่างที่เล่าได้เอ่ยถึงคุณหนูฉินขึ้นมา มู่อวิ๋นจิ่นจึงได้แต่ถอดใจ “เมื่อก่อนนางทั้งสองเคยเป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักเดียวกัน”
“ใช่แล้วนายหญิง แต่หลายปีมานี้ ฉวีซินเหยาดูเหมือนเกลียดคนตระกูลฉิน เมื่อไม่นานมานี้ที่มีงานเลี้ยงเฉลิมฉลองคุณหนูฉินในวังหลวง ฉวีซินเหยาผู้นี้กลับปฏิเสธการไปร่วมงาน อีกทั้งยังเอ่ยขึ้นประโยคว่า……”
ฉีฉี่ยกมือขึ้นเกาหู พยายามนึกดูอยู่ครู่หนึ่ง และร้องเสียงดังขึ้น “นางบอกว่าคนชั่วช้าเช่นนั้น ไม่คู่ควรที่นางไปร่วมงานเลี้ยงด้วย”
คนชั่วช้า……
มู่อวิ๋นจิ่นถลึงตาโต พร้อมกับหัวเราะชอบใจ “ฉวีซินเหยาผู้นี้น่าสนใจไม่น้อยเลย”
“เื่เหล่านี้ฉีฉี่ได้ฟังมาจากป้ามัจฉาที่อยู่ในตำหนักหวงอวี่ ป้ามัจฉายังเล่าให้ฟังอีกว่า ฉวีซินเหยากับเ้าเมืองธารรัตติกรคนใหม่นามว่า ‘สวี่เหออวี๋’ มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกันเ้าค่ะ!”
……
เวลาล่วงเลยผันผ่านไปอย่างรวดเร็วชั่วยามกว่าๆ แล้ว มู่อวิ๋นจิ่นและฉีฉี่จึงหยุดบทสนทนา จากนั้นจ่ายเงินเดินออกจากร้านอาหารไป
มู่อวิ๋นจิ่นถืออาหารที่เพิ่งปรุงสุกร้อนๆ แล้วหันมาบอกกับฉีฉี่ “ข้าต้องกลับไปแล้ว เ้าก็รีบกลับแล้วกัน”
ฉีฉี่หันมาดอมดมอาหารที่อยู่ในมือของมู่อวิ๋นจิ่น ก่อนพูดยิ้มๆ “วันนี้ขอบคุณนายหญิงที่เลี้ยงอาหารเป็อย่างดีเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นหัวเราะชอบใจ เห็นหูของฉีฉี่ดันหมวกขยับไปมา “เ้าช่างน่ารักเสียจริง”
“เหมี๊ยวๆๆๆ” ฉีฉี่ออดอ้อนมู่อวิ๋นจิ่น ก่อนเดินหายไปในซอย
มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่อมยิ้มส่ายหน้า ถืออาหารร้อนๆ เดินกลับไปที่เรือน
เมื่อกลับมาถึงเรือนแล้ว ประตูยังถูกปิดแน่นสนิท นางจึงผลักเข้าไปเห็นฉู่ลี่กับหวงเหยียนกำลังเล่นหมากกระดานกันอยู่
เล่นหมากกระดานกันอีกแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นเดินเอาอาหารไปวางบนโต๊ะ “รีบทานตอนยังร้อนๆ เถอะ”
ฉู่ลี่มองดูอาหารที่มู่อวิ๋นจิ่นห่อกลับมาด้วยสายตาแน่นิ่ง
“ทำไมเหรอ อาหารไม่ถูกปาก?” มู่อวิ๋นจิ่นถามขึ้น
“เปล่า” ฉู่ลี่หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเข้าปากอย่างเรียบร้อย
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งลงมองหมากกระดานที่พวกเขาเล่นได้เพียงครึ่งเดียว “เล่นหมากกระดานมันสนุกตรงไหน มองปราดเดียวก็รู้ว่าหวงเหยียนไม่เคยชนะเลย”
“หืม…..” หวงเหยียนสำลักข้าวพ่นออกมา “นี่ คุณหนูอย่าดูถูกกันเลย อย่างน้อยกระผมก็เป็นักพนันขั้นเทพขอรับ”
“เ้าเคยชนะเหรอ?” มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้มมองดูด้วยความสงสัย
หวงเหยียนก้มหน้าก้มตามิกล้ามองมู่อวิ๋นจิ่น ก่อนตอบเสียงอ่อย “ไม่เคยขอรับ”
“อย่างนั้นก็ถูกต้องแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นยักไหล่ผายือ รินน้ำชายกขึ้นดื่ม ด้วยกระหายน้ำหลังจากพูดคัยกับฉีฉี่อยู่นานสองนานเมื่อครู่
หลังจากดื่มน้ำไปหลายอึก มู่อวิ๋นจิ่นนึกถึงเมืองเซินเย้าที่ฉีฉี่เล่า จึงหันไปมองฉู่ลี่ “เ้ามีความลับอยู่ที่เมืองเซินเย้าบ้างไหม?”
ฉู่ลี่วางตะเกียบลง ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที “ทำไมถึงถามแบบนี้?”
“เมื่องธารรัตติกรและเมืองจางโจวไม่สนุกเอาเสียเลย ข้าอยากไปเที่ยวเมืองเซินเย้า” มู่อวิ๋นจิ่นตอบ
ฉู่ลี่ตอบรับ จากนั้นยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย “เมืองเซินเย้าสำหรับเ้าแล้ว น่าจะเป็เมืองที่น่าเบื่อยิ่งกว่าทั้งสองเมืองที่กล่าวมา”
“ทำไมละ?” มู่อวิ๋นจิ่นไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่เขา้าสื่อ
“คราวหน้าไปเ้าก็จะรู้เอง” ฉู่ลี่ตอบเสียงเรียบ
คำตอบของฉู่ลี่ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ทว่าฟังจากที่ฉู่ลี่พูดว่าครั้งหน้า สงสัยเขามีการค้าหรือไม่ก็ห้องลับอีก ไม่แน่ว่าอาจไปเมืองเซินเย้าในเร็ววันนี้
เมื่อคิดเองเออเองคนเดียวแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นกลับยิ้มด้วยเบิกบานใจ
“อ่ะ เ้าเอาไป” เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นยิ้ม ฉู่ลี่ควักตั๋วเงินหนึ่งใบยื่นไปตรงหน้านาง
มู่อวิ๋นจิ่นรับตั๋วเงินมา ใบหน้าฉีกยิ้มขึ้นไปยิ่งกว่าเดิม รีบยัดเข้าไปในแขนเสื้อ ชมฉู่ลี่มิขาดปาก “เ้าทำเื่อะไรว่องไวดีเหลือเกิน”
“เดี๋ยวๆๆ กระผมเป็คนชนะได้เงินมา ตั๋วเงินก็เป็คนแลกมา คุณหนูไม่คิดขอบคุณหน่อยหรือขอรับ?” หวงเหยียนรีบขัดจังหวะขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินเช่นนั้นถึงกับเลิกคิ้ว ชี้ไปทางฉู่ลี่ “เ้าเรียกเขาว่าคุณชาย ข้าเป็ภรรยาของคุณชาย คุณชายให้เ้าทำธุระให้ภรรยา นี่นับเป็หนึ่งในหน้าที่ของเ้า!”
หวงเหยียนถึงกับสะอึกจนไปต่อไม่ถูก ไม่รู้จะใช้คำไหนเถียงกลับไป
เขาจึงรีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากฉู่ลี่ ทว่าฉู่ลี่กลับยิ้มผ่านดวงตาส่งให้กับมู่อวิ๋นจิ่น
หวงเหยียนถึงกับถลึงตาโตด้วยความงงงวย เขากับฉู่ลี่รู้จักกันมาห้าปีเต็มๆ ระยะห้าปีมานี้ ไม่เคยเห็นเขายิ้มสักครั้งเดียว มีแต่วางมาดเ็าตลอดเวลา
นี่เป็วันอะไรกันเนี่ย ฉู่ลี่กลับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้สตรีผู้นี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้