ชายชุดดำรู้สึกเย็นวาบที่ลำคอจนต้องกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น เสียงฝ่าอากาศดังกึกก้องทำให้เหงื่อไหลไปทั่วแผ่นหลังของเขา
“ที่นี่คือสำนักเทียนอี้ พวกเราสามารถต่อสู้กันได้ แต่ไม่อนุญาตให้สังหารกัน!”
ชายหนุ่มชุดดำกล่าว เขารู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้
“ข้ารู้” หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็า ทำให้ชายหนุ่มชุดดำผ่อนคลายลงเล็กน้อย ในใจของเขาเริ่มมีความหวังขึ้นมา
“แต่ข้าก็ยังรู้อีกว่า ในสำนักเทียนอี้ไม่อนุญาตให้ใครมารบกวนผู้อื่นในขณะที่กำลังบ่มเพาะพลังอยู่ในห้องฝึก แล้วเ้าทำไปทำไม?”
คำพูดของหลินเฟิงทำให้ชายชุดดำตื่นตระหนกขึ้นมา ความหนาวเหน็บพลันเกาะกุมไปทั่วหัวใจ
“ข้ายอมรับว่าข้าละเมิดกฎ แต่ถึงอย่างไรผลที่ตามมาก็ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับการสังหารศิษย์ด้วยกัน หากเ้าสังหารข้า เ้าจะต้องได้รับบทลงโทษที่หนักที่สุด”
“นี่เ้าพยายามขู่ข้า?” หลินเฟิงยกดาบชี้หน้าอีกฝ่ายขณะพูด ทำให้ชายชุดดำตัวสั่นด้วยความกลัว หน้าผากของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ผลที่ตามมาก็ยังไม่ร้ายแรง?” หลินเฟิงเหลือบมองไปที่หลิ่วเฟยซึ่งมีท่าทางอิดโรย และกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “ความคิดของเ้ามันผิดนะ ผลจากการกระทำของเ้า มันทำให้นางต้องเสียเวลาพัฒนาตัวเอง ซึ่งเื่นี้มันมีค่ามากกว่าชีวิตของเ้า แค่ชีวิตของสวะคนหนึ่งตายไปแล้วจะส่งผลแค่ไหนกันเชียว?”
“เ้าไม่สามารถสังหารเขาได้”
ชุยถิงที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดแทรกขึ้นมา ทำให้หลินเฟิงหันหน้าไปมองเขา
“เ้าจะสังหารเขาไม่ได้ มิฉะนั้นเ้าจะต้องเสียใจ”
“โทษทีที่ทำให้เ้าต้องผิดหวัง เพราะข้าไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป” เมื่อเห็นหลินเฟิงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ทำให้ชุยถิงต้องะโอย่างใว่า “เดี๋ยว รอเดี๋ยวก่อน!”
“เ้าอยากพูดอะไรอีก?” หลินเฟิงปรายตามองชุยถิงเล็กน้อย “เขาคือน้องชายของเฮยม่อ ถ้าเ้าฆ่าเขา เฮยม่อจะไม่มีวันปล่อยเ้าไป”
“เฮยม่อ!”
เมื่อได้ยินสองคำนี้ หลายคนที่มารอชมความสนุกอยู่ด้านข้างก็พลันตื่นตระหนกขึ้นมา
หยวนซานที่อยู่ในกลุ่มฝูงชนก็ตื่นตระหนกเช่นกัน เขาเคยได้ยินเื่ราวของเฮยม่อมาก่อน
“หลินเฟิง เฮยม่อคือ 1 ใน 10 ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักเทียนอี้! ปกติแล้วเขาไม่ค่อยมาฝึกที่หอฝึกฝนหรอก แต่ถ้าเขามา… เขาจะฝึกอยู่ชั้น 1”
หยวนซานเดินออกมาจากกลุ่มฝูงชนและกล่าวเตือนหลินเฟิง เฮยม่อไม่ใช่คนที่จะไปยั่วยุได้
ประกายแสงสว่างวาบขึ้นในแววตาของหลินเฟิง ทำให้ชายชุดดำที่คอยจ้องหลินเฟิงอยู่ตลอดรู้สึกดีใจขึ้นมา ใบหน้าของเขาเริ่มปรากฏรอยยิ้มแห่งความหวังขึ้นมา
“ใช่ ข้าคือน้องชายของเฮยม่อ ถ้าเ้าสังหารข้า เขาจะต้องตามล่าเ้าอย่างแน่นอน”
“ปัญญาอ่อน”
หลินเฟิงกล่าวเมื่อได้ยินคำขู่ของอีกฝ่าย มือของเขาขยับอย่างรวดเร็ว ทำให้ดาบฟันไปที่ลำคอของเขาในทันที ฉากนี้ทำให้ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
ไม่มีใครคิดว่าหลินเฟิงจะกล้าทำเช่นนี้ หลังจากที่ได้ยินคำว่าเฮยม่อ หลินเฟิงก็ฟันชายชุดดำคนนั้นอย่างไม่ลังเลใจเลยสักนิด
ชายชุดดำก็คงคาดไม่ถึงว่าความหวังที่เพิ่งผุดขึ้นมาจะถูกบดขยี้ลงในพริบตา ความสิ้นหวังพลันทะลักเข้ามา ขณะที่คมดาบได้ฟันมาที่คอของเขา วินาทีนั้นความรู้สึกเสียใจก็ปรากฏขึ้นมาในหัว
เขาเกลียดตัวเองนัก ทำไมถึงได้ไปยั่วยุหลินเฟิง? ความจริงแล้วเขากับหลินเฟิงก็ไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน แต่สุดท้ายเขากลับไม่ยอมปล่อยวาง ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ความแค้นที่ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น เขา… เขามันปัญญาอ่อน!
“ช่างเป็คนที่โเี้อะไรเช่นนี้” ชุยถิงถอนหายใจ เขาไม่คิดว่าหลินเฟิงจะกล้าสังหารชายชุดดำ หลังจากที่ได้ยินเื่ของเฮยม่อ
หลินเฟิงหยิบเศษผ้าขึ้นมาเช็ดดาบของเขา จากนั้นก็เก็บดาบลงไปก่อนเหลือบมองชุยถิง
“ถ้าเขาไม่ใช่น้องชายของเฮยม่อ เขาคงไม่กล้าอวดดีและฝ่าฝืนกฎของสำนัก ข้าพูดถูกไหม?” หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็าขณะมองไปที่ศพบนพื้น
ชุยถิงประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า ไม่ผิดนัก ถ้าปราศจากชื่อเสียงของเฮยม่อ ชายชุดดำก็คงไม่กล้าทำแบบนี้
“ดังนั้นต้นเหตุของเื่ก็คือเฮยม่อ และเป็เพราะเขา สหายของข้าถึงถูกคุกคามทั้งวันทั้งคืนเป็เวลาร้อยวัน หึๆ แต่เฮยม่อก็คงไม่รับผิดชอบกับเื่ที่เกิดขึ้น ข้าพูดถูกไหม?”
หลินเฟิงกล่าว ทำให้รูม่านตาของชุยถิงพลันหดตัว ที่แท้ก็เป็แบบนี้นี่เอง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมหลินเฟิงถึงได้สังหารชายชุดดำ
ไม่ใช่ว่าหลินเฟิงจะไม่นึกถึงเฮยม่อ กลับกัน เพราะเขานึกถึงเฮยม่อจึงได้ทำเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ประเมินความแข็งแกร่งของเฮยม่อต่ำไป บุญคุณความแค้นระหว่างเฮยม่อกับเขาคงไม่จบลงง่ายๆ แน่ เป็เพราะเฮยม่อ หลิ่วเฟยถึงได้ถูกรบกวนเป็เวลาหนึ่งร้อยวัย ดังนั้นเขาจึงใช้ดาบนั้นเพื่อบอกทุกคนและเฮยม่อว่า ไม่ว่าเ้าจะเป็ใคร แต่อย่าได้มายั่วโมโหเขา มิฉะนั้นมันต้องตาย!!!
“ไปกันเถอะ”
หลินเฟิงหันไปกล่าวกับหลิ่วเฟยที่ยืนอยู่ด้านหลัง หลิ่วเฟยพยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็พากันเดินจากไป ทิ้งชุยถิงและศพของชายชุดดำไว้เื้ั
“เ้ามีนามว่าอะไร?”
ชุยถิงะโถามไล่หลังหลินเฟิง ผ่านไปสักพักก็มีน้ำเสียงตอบกลับมาอย่างไม่แยแสว่า หลินเฟิง!
“หลินเฟิง” ชุยถิงจำชื่อนี้ไว้ในใจ กระทั่งฝูงชนเองก็ยังแอบจำชื่อนี้เอาไว้ คนที่กล้ายั่วโมโหเฮยม่อ ไม่ว่าใครก็ยากจะลืมได้
หลังจากที่หลินเฟิงได้จากไปแล้ว ชั้นที่ 10 ของหอคอยฝึกฝนก็มีคนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาต่อเนื่อง
ศพ ในหอฝึกฝนมีศพด้วย?!
มีคนกล้าสังหารคนในหอฝึกฝน?! ไม่รู้ว่าคนคนนั้นใจกล้ามากขนาดไหน
ในตอนนั้นเอง มีเงาร่างหนึ่งเดินขึ้นบันไดมา เขามุ่งหน้ามายังชั้น 10 อย่างช้าๆ
เพียงแค่กวาดสายตามอง ชายหนุ่มคนนั้นก็เห็นศพนอนกองอยู่ที่พื้น แต่ถึงอย่างนั้น แววตาของเขากลับไม่สั่นไหวเลยสักนิด มันยังคงสงบนิ่งและเ็า
ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างหลีกทางให้ เมื่อเห็นเงาร่างนั้นกำลังเดินเข้ามา ในดวงตาของฝูงชนเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง
เฮยม่อเป็ศิษย์อันดับที่ 10 ของสำนักเทียนอี้ และยังมีพลังที่แข็งแกร่งอีกด้วย
“ใครฆ่าเขา?”
เฮยม่อถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่เสียงที่ดูสงบนิ่งของเขากลับทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว
“หลินเฟิง” ชุยถิงเดินไปหยุดอยู่ข้างเฮยม่อ “เขาแข็งแกร่งกว่าข้า”
เฮยม่อไม่พูดอะไร เขามองศพที่อยู่บนพื้นเงียบๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “หาคนนำศพของเขากลับไปส่งที่ตระกูล... และตรวจสอบคนที่เ้าพูดถึง”
เมื่อเฮยม่อพูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไปอย่างเงียบงันและไม่หันกลับมาอีก
…
เมื่อหลินเฟิงและคนอื่นๆ กลับมาถึงหอพัก พวกเขาก็แยกย้ายไปนอนที่ห้องของตัวเอง
“อยากเจอหน้านางจนทนไม่ไหวแล้วล่ะสิ”
เสียงห้วนๆ ดังขึ้นมา ทำให้หลินเฟิงชะงักเท้าเล็กน้อย แล้วหันไปมองหลิ่วเฟยด้วยสายตามีเลศนัย
“เ้าถือสามากเลยหรือ?”
หลินเฟิงยิ้มขณะถาม
“แล้วทำไมข้าต้องถือสา?”
หลิ่วเฟยหลบตาก่อนจะตอบกลับห้วนๆ
หลินเฟิงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อไปว่า “ในเมื่อเ้าบอกว่าไม่ถือสา แต่ทำไมข้ายังััได้ถึงความหึงหวงในน้ำเสียงเ้าได้ล่ะ?”
“เพราะหูของเ้ามีปัญหายังไงล่ะ” หลิ่วเฟยถลึงตาใส่หลินเฟิง
“อย่างนั้นหรือ?” หลินเฟิงเกาหัว ก่อนแสยะยิ้มออกมา “พวกเราเพิ่งกลับมาจากการบ่มเพาะ ต่างคนต่างก็เหนื่อยล้าอยากกลับไปพักที่ห้องของตัวเอง แต่เ้ากลับบอกว่าข้าอยากเจอหน้านางแทบทนไม่ไหว? แสดงว่าอยากให้ข้าอยู่กับเ้านานๆ ล่ะสิ?”
“อย่าได้เพ้อฝัน!” หลิ่วเฟยกล่าวขณะกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ชายคนนี้จะต้องมีปัญหาทางจิตแน่ๆ! จากนั้นนางก็รีบตรงไปยังห้องของนาง
หลินเฟิงมองไล่หลังหลิ่วเฟยและยิ้มออกมา ในดวงตาปรากฏร่องรอยความอบอุ่น ก่อนหน้านี้ทำไมเขาถึงไม่เคยเห็นนิสัยด้านนี้ของนางนะ?
หลินเฟิงเดินไปที่ห้องพักของตัวเองและเคาะประตู
“เข้ามา”
น้ำเสียงเฉยชาดังออกมา หลินเฟิงผลักประตูแล้วเดินเข้าไป เมื่อเห็นเมิ่งฉิงนั่งอยู่บนเตียงก็เดินไปหา “กลับมาแล้ว”
ตอนที่อยู่ในห้อง เมิ่งฉิงจะไม่ปิดบังใบหน้าของตัวเอง ทำให้หลินเฟิงสามารถมองเห็นใบหน้างดงามของนางได้
“ถ้าเมิ่งฉิงอยู่ที่โลกเก่าของข้า เชื่อเลยว่าแม้แต่าายังยอมยกบัลลังก์ให้ ขอเพียงแค่นางยิ้มออกมาเท่านั้น”
หลินเฟิงแอบคิดในใจว่า ถ้าหากเมิ่งฉิงยิ้มให้เขาบ้าง มันจะต้องเป็ภาพที่งดงามมากแน่ๆ
“เกิดอะไรขึ้นในวันนั้น? แล้วในอนาคตมันจะเกิดขึ้นอีกไหม?”
หลินเฟิงถามขณะที่นั่งลงข้างเมิ่งฉิง
เมิ่งฉิงมองหลินเฟิงอยู่นาน ก่อนจะส่ายหัวแล้วพูดออกมาว่า “ข้ายังไม่เคยบอกเื่นี้กับเ้า… มัน จะเกิดขึ้นทุกๆ 6 เดือน”