ร่างกายของเวินเยียนสั่นมากขึ้น แม้ว่าดวงตานางจะมองไม่เห็น แต่ก็ััได้ถึงความน่ากลัวไปทุกอณู
ทันใดนั้นเอง แขนของนางก็ไร้เรี่ยวแรง ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะล้มลงกับพื้นอย่างแรง เสียงรอบข้างก็ค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ
“อ๊า...อ๊า...” นางยังคงร้องโหยหวนอย่างเ็ป
“หากรู้แล้วว่ายาแก้พิษอยู่ที่ใด ให้พยักหน้า ใช้โอกาสตอนที่เ้ายังได้ยินและขยับตัวได้ ข้าจะให้โอกาส”
เวินซีพูดจบ เมื่อเห็นว่าเวินเยียนยังไม่พูดจึงพ่นลมและนั่งยองลง เข้าไปใกล้หูของนางมากขึ้น
“ไม่รู้ว่ายานี้...จะส่งผลอันใดต่อลูกในท้องเ้าหรือไม่นะ หากเ้าแท้งขึ้นมาจะทำเช่นไร? คุณหนูเวินเยียนไม่เคยบอกผู้ใดว่าตั้งครรภ์ เกรงว่าเ้าคงจะไม่กล้าไปหาหมอหรอกใช่หรือไม่?”
เสียงร้องของเวินเยียนหยุดลง น้ำตาไหลออกมาที่หางตา ไม่นานนักนางก็พยักหน้า
“อ้าปาก” เมื่อเห็นว่านางยอมพูด เวินซีจึงหยิบยาแก้พิษให้
เวินเยียนค่อยๆ อ้าปาก เมื่อรู้สึกได้ถึงยาที่เข้าไปในปาก นางก็กลืนลงอย่างรีบร้อน ไม่นานนักดวงตาของนางก็กลับมามองเห็น
“เ้ามิใช่เวินซี เ้าเป็ผู้ใดกันแน่!” วินาทีแรกที่น้ำเสียงของเวินเยียนกลับคืนมา นางก็ตวาดเสียงดังแล้วจ้องมองกลับไป
คนตรงหน้ามิใช่เวินซีอย่างแน่นอน
นางมองไม่เห็นเวินซีที่ตนเคยรู้จัก
เวินซีคนนั้นเป็นางบ้าที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอันใด ทั้งยังขี้แง ไม่มีทางเปลี่ยนไปเป็คนละคนและดูน่าหวาดกลัวดั่งยมทูตเช่นนี้
นางต้องมิใช่...
“เวินซีตายไปั้แ่ที่ถูกเ้ากับฮูหยินใหญ่เวินบีบบังคับในวันนั้นแล้ว พูดมาว่ายาแก้พิษอยู่ที่ใด? หากโกหกข้า ข้าจะทำให้เ้าได้ตายทั้งเป็แน่” เวินซีมีสีหน้าดุดัน น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นทุ้มและลึก
“อยู่ในช่องลับใต้หมอนของข้า” เวินเยียนหวาดกลัวกับเื่เมื่อครู่มาก นางไม่กล้าเล่นแง่อีกจึงตอบไปตามตรง
เวินซีเดินไปที่เตียงของนาง โยนหมอนทิ้งไปด้านข้าง เมื่อเปิดผ้าปูเตียงออกก็เห็นช่องลับ นางเปิดมันออกพลันหยิบขวดหยกออกมา
ขวดหยกมีขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น เมื่อเปิดออกก็พบยาเม็ดสีเทาเพียงเม็ดเดียว
“มียาเม็ดเดียวหรือ?” นางขมวดคิ้ว แล้วมองกลับไปที่เวินเยียน
ขณะนี้มีคนในเมืองที่ถูกวางยาเป็ร้อยกว่าคน แค่นี้จะพอได้เช่นไร?
“ละลายยาเม็ดนี้ในน้ำ เม็ดเดียวก็สามารถล้างพิษได้นับพันคน” เวินเยียนพูด
หลังจากที่ดูเม็ดยาอีกครา เวินซีก็ใส่มันกลับเข้าไปในขวดหยก แล้วเก็บไว้ในอก
เมื่อบรรลุเป้าหมาย นางก็เดินกลับไปยืนข้างจ้าวต้านอย่างพอใจ
“จะจัดการกับพวกเขาเช่นไร? ฆ่าเลยดีหรือไม่?” จ้าวต้านหันมามอง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
คำพูดของเขาทำให้เวินเยียนตัวสั่น แววตาของนางเบิกกว้าง มองดูทั้งสองด้วยความหวาดกลัว
“ยังฆ่าเวินเยียนมิได้” เวินซีขมวดคิ้วมองดูเวินเยียน
เวินเยียนยังมีสูตรเครื่องหอมของเวินอี๋เหนียงอยู่ในมือ หากฆ่านาง เครื่องหอมที่ล้ำค่าจะหายไป หากนางไม่ห่วงเื่นี้ ด้วยเื่ต่างๆ ที่เวินเยียนทำ นางก็คงจะลงมือฆ่าไปนานแล้ว
“ได้” จ้าวต้านเห็นด้วยและตอบเสียงเบา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เวินเยียนก็โล่งใจ นางก้มหน้าลงทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุด
“สืออี วันนี้ข้ามิฆ่าเ้า เ้าออกไปเสีย หากคราหน้าข้าได้เจอเ้าอีก ข้าไม่ไว้ชีวิตเ้าแน่”
“หลานเยว่เฉิงเป็คนเ้าเล่ห์ ทางที่ดีที่สุดเ้ารอให้เจอน้องสาวของเ้าก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับใช้เขาต่อดีหรือไม่จะดีกว่า”
เวินซีเตือนเขาด้วยความหวังดี นางก้าวเท้าออกไปด้านนอก จ้าวต้านก็พลันเก็บมีดและตามออกไป
ตระกูลเวินกลับสู่ความเงียบสงัด เวินเยียนนั่งนิ่งกับพื้นอยู่นาน
...
ถึงยามจื่อแล้ว โคมไฟข้างถนนทุกดวงดับลง ส่วนคนบอกเวลายังคงเดินไปมาอยู่บนถนนและตีฆ้องอยู่ตลอด
เวินซีและจ้าวต้านรีบตรงไปที่สำนักหมอหลวงทันที
ในสำนักหมอหลวง หมอแต่ละคนเดินไปมา ส่วนคนไข้พากันร้องคร่ำครวญ ทั้งสำนักมีไฟเปิดอยู่โดยรอบดูสว่างไสวราวกับเป็ตอนกลางวัน
เมื่อเห็นเวินซีก้าวเข้ามา หมอผู้เฒ่าที่ยุ่งวุ่นวายอยู่ก็รีบเข้าไปหาทันที
“คุณหนูเวิน ดึกดื่นเช่นนี้มาทำอันใดหรือขอรับ?”
เวินซีพยักหน้าเล็กน้อย สายตาของนางจ้องมองไปที่ผู้ติดเชื้อ
ร่างของผู้คนเริ่มซูบผอมราวกับซากศพ บนพื้นเต็มไปด้วยน้ำหนองและเืไหลนอง
กลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลผสมกับกลิ่นหรดาลแดง รุนแรงเสียจนทำให้ไอไม่หยุด
นางขมวดคิ้วแล้วรีบหยิบขวดหยกออกมาส่งให้หมอผู้เฒ่า “นี่เป็ยาแก้พิษเ้าค่ะ ละลายน้ำแล้วให้ทุกคนดื่มจะสามารถล้างพิษได้”
“ได้ขอรับ ได้ คุณหนูเวินซีรอก่อนนะขอรับ” หมอผู้เฒ่าเชื่อในทักษะทางการแพทย์ของเวินซีจึงรับขวดหยกไปด้วยความตื่นเต้นอย่างไร้ข้อกังขา
เขาไม่กล้าชักช้าจึงรีบเดินเข้าไปในสำนัก
หลังจากนั้นไม่นาน คนรับใช้ก็นำน้ำถ้วยหนึ่งออกมาจากสวนหลัง พวกเขาแบ่งงานกันชัดเจนเพื่อป้อนยาให้ผู้ติดเชื้อ
ยาแก้พิษออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ิัของผู้คนค่อยๆ กลับมาเป็ปกติ แต่เพราะพวกเขาป่วยอยู่หลายวัน ใบหน้าและริมฝีปากยังคงซีดเซียว ไม่มีเืฝาด
หมอผู้เฒ่ากลับเข้ามาที่ห้องโถง เมื่อกวาดตามองเห็นว่าผู้คนมีอาการดีขึ้น เขาก็หลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ
“ทุกท่าน ยามนี้พิษในตัวทุกท่านได้หมดไปแล้ว ขอเพียงกลับบ้านไปพักผ่อนให้ดี ทุกท่านก็จะกลับมาเป็ปกติได้”
“ทุกท่านลำบากกันมามากเชียวขอรับ”
เขาเอ่ยหลังจากที่อดกลั้นอารมณ์ที่หลากหลายเอาไว้มานาน
“ขอบคุณอาจารย์หมอขอรับ”
“ขอบพระคุณความช่วยเหลือของอาจารย์เ้าค่ะ”
“ขอบคุณเ้าค่ะ”
......
เสียงกล่าวขอบคุณของประชาชนดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ที่กลั้นไว้ไม่อยู่
“ทุกท่านต้องขอบคุณคุณหนูเวินซีขอรับ หากมิใช่นาง เกรงว่าทุกท่านคงจะต้องทุกข์ทรมานไปอีกนาน”
“คุณหนูเวินซีช่างมีเมตตา ฝีมือของคุณหนูเก่งกาจยิ่งนัก เป็ราวกับพระโพธิสัตว์มาโปรดเราจริงๆ”
หมอผู้เฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงฮึกเหิม ทำให้สายตาของผู้คนที่มองไปที่เวินซีล้วนเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและชื่นชม
“ขอบคุณคุณหนูเวินซีขอรับ หากมิใช่คุณหนูข้าคงตายไปแล้ว”
“ขอบคุณคุณหนูเ้าค่ะ บุญคุณในวันนี้ข้าจะจำให้ขึ้นใจ หากคุณหนูมีเื่ใดที่ข้าสามารถช่วยได้ในวันหน้า ข้าจะช่วยอย่างเต็มที่แน่นอน”
“คุณหนูเวินซี ขอบพระคุณที่ช่วยข้าไว้ขอรับ จากนี้ไปคุณหนูจะเป็ผู้มีพระคุณใหญ่หลวงเฉกเช่นบิดามารดา...”
“คุณหนูเวินซี...”
......
คำขอบคุณดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดที่มีชาวบ้านบางคนคุกเข่าลงกับพื้น
“ทุกท่าน ไม่จำเป็ต้องจดจำข้าหรอกเ้าค่ะ ในเมื่อทุกท่านไม่เป็อันใดแล้ว ข้าขอลาก่อน ยามนี้ก็ดึกแล้ว ทุกท่านพักผ่อนเถิดเ้าค่ะ”
เวินซีพูดนิ่งๆ จากนั้นก็พาจ้าวต้านเดินออกไปด้านนอก โดยมีหมอผู้เฒ่าเดินตามออกไปติดๆ
“คุณหนูเวิน คุณหนูไม่คิดจะเข้าร่วมสำนักหมอหลวงจริงๆ หรือ? หากเ้าคิดจะเข้าร่วม ข้าจะให้เ้าเป็ซือก่วน [1] สามารถควบคุมสั่งงานหมอทุกคนที่นี่ได้” หมอผู้เฒ่ายังคงโน้มน้าวโดยไม่ละความพยายาม
เขาอายุมากแล้ว จึง้าคนมาสืบทอดที่นี่ เขาค้นหาคนผู้นั้นมาเนิ่นนานแต่เวินซีเป็เพียงผู้เดียวที่เขาพอใจ
“ขอบพระคุณเ้าค่ะ แต่คงไม่รบกวน ข้าขอคืนนี่ให้ท่านด้วย” เวินซีหยิบจิ่นบู้หยกออกมาแล้วมอบคืนให้หมอผู้เฒ่า
“รับไปเถิด มันจะมีประโยชน์ต่อเ้าในวันข้างหน้า ในเมื่อคุณหนูยืนกรานเช่นนี้ ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว”
หมอผู้เฒ่ามองดูเวินซีนำจิ่นบู้หยกกลับไป ความดีใจก็แวบผ่านเข้ามาในดวงตาของเขา
“เ้าค่ะ”
“คุณหนูเวินซี ที่สำนักเตรียมรถม้าไว้ให้ ทั้งสองนั่งรถม้ากลับไปเถิดขอรับ”
“เ้าค่ะ ขอบพระคุณเ้าค่ะ”
เวินซีพยักหน้า เมื่อรถม้าออกมาแล้วนางก็พาจ้าวต้านขึ้นรถไป
หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืน ทันทีที่นางนั่งลงก็รู้สึกง่วง
เมื่อมีจ้าวต้านอยู่ข้างๆ นางจึงรู้สึกสบายใจมาก ในตอนที่รถม้าเคลื่อนตัวได้ครึ่งทาง นางก็พิงรถและหลับไป
เมื่อเห็นศีรษะของนางค่อยๆ เอียงลง จ้าวต้านจึงขยับตัวไปรับไหล่ของนาง
ลมหายใจที่สม่ำเสมอราวกับขนนกได้เข้าไปลูบไล้หัวใจของจ้าวต้าน สายตาของเขาที่มองดูนางเป็ดั่งแอ่งน้ำ เขาลูบไล้ใบหน้าของนางราวกับสมบัติล้ำค่าอย่างมิอาจควบคุมได้
เวินซีขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจและส่ายหน้าเล็กน้อย จ้าวต้านจึงทำได้เพียงดึงมือกลับเพราะกลัวว่านางจะตื่น เขาจึงมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสงบนิ่ง...