ตะวันลับฟ้า ความมืดเริ่มครอบคลุมไปทั่วเมืองหลวง
ที่นอกประตูจวน เว่ยอี๋เหนียงกำลังเดินวนเวียนไปมาด้วยความร้อนใจ
ลวี่ซย่า สาวใช้คนสนิท ก้าวเข้ามาปลอบโยนเ้านาย ทว่าเว่ยอี๋เหนียงไม่อาจข่มความรู้สึกหวาดระแวง กลัวว่าจะต้องสูญเสียบุตรสาวไปอีกครั้งได้ จนกระทั่งเหลือบไปเห็นรถม้าที่กำลังเคลื่อนเข้ามา นางจึงแสดงท่าทีโล่งอก
รถม้าหยุดลง ลวี่ซย่ารีบเข้าไปช่วยประคองหนีเจียเอ๋อร์ “คุณหนู ยินดีต้อนรับกลับบ้านเ้าค่ะ เว่ยอี๋เหนียงมารออยู่นานแล้ว ด้วยเกรงว่าท่านอาจจะถูกจับตัวไปอีก”
หนีเจียเอ๋อร์มองมารดา ที่ปรี่เข้ามาสำรวจตนั้แ่หัวจรดเท้าไปหลายรอบ แล้วจึงเอ่ย “ท่านแม่ ขออภัยที่ทำให้เป็ห่วง”
เว่ยอี๋เหนียงสั่งลวี่ซย่าให้กลับไปเตรียมอาหารค่ำ ส่วนตัวเองก็จูงลูกสาว แล้วค่อยเดินมาด้วยกัน “เสี่ยวเอ๋อร์ แม่ทัพต้วนแค่ขอให้เ้าช่วยในการสืบสวน มิใช่ให้ลงมือด้วยตัวเอง จำเป็ต้องทำงานหนักเช่นนี้ด้วยหรือ?”
เพื่อมิให้มารดาต้องกังวลอีก หนีเจียเอ๋อร์จึงกล่าวเสียงเชื่อฟัง “เข้าใจแล้วเ้าค่ะ!”
เว่ยอี๋เหนียงพูดต่อ “เสี่ยวเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเ้ายังเสียใจกับการตายของเสี่ยวเสวียน แต่คนตายไม่อาจฟื้นคืน เมื่อไร้สาวใช้ข้างตัว ย่อมไม่มีผู้ใดคอยใส่ใจดูแล ข้าจึงอดเป็ห่วงมิได้ เช่นนั้นให้ลวี่ซย่ามารับใช้เ้า ดีหรือไม่?”
ลวี่ซย่าติดตามมารดามานับสิบปี เป็คนซื่อสัตย์และจงรักภักดี ทั้งยังดูแลอีกฝ่ายมาตลอด หญิงสาวจึงปฏิเสธโดยไม่ลังเล “เว่ยอี๋เหนียง ให้ลวี่ซย่าอยู่ข้างกายท่านเถิด”
เว่ยอี๋เหนียงจึงพยักหน้า ก่อนพานางไปยังโต๊ะอาหาร
พอผ่านลานเล็กหน้าเรือนของหนีจวิ้นหว่านที่มืดสนิท หนีเจียเอ๋อร์ก็นึกสงสัย ด้วยยามนี้ยังไม่ถึงเวลานอน เมื่อเห็นว่าไม่มีบ่าวรับใช้หรือผู้คนให้สอบถาม นางจึงเดินไปเคาะประตู
หนีเจียเอ๋อร์ยืนอยู่บนบันไดหิน แล้วร้องเรียก “พี่หญิง!”
หลิวอวี้ สาวใช้คนสนิทของหนีจวิ้นหว่าน เป็คนแรกที่ได้ยินเสียง นางจึงลุกออกจากเตียง สวมเสื้อคลุม และวิ่งออกมาดู เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือหนีเจียเอ๋อร์ ก็รีบเข้าไปทักทาย “คุณหนู ้าสิ่งใดหรือเ้าคะ?”
หนีเจียเอ๋อร์เอ่ยถามทันที “คุณหนูใหญ่อยู่ไหน?”
หลิวอวี้โค้งคำนับ พลางตอบ “หลังจากคุณหนูรองกลับมา คุณหนูใหญ่ก็เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านไม่ยอมพบใคร ต่อให้บ่าวจะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์”
เดาว่าการตัดขาดกับสวีซื่อนั้น คงจะกระทบกระเทือนความรู้สึกของหนีจวิ้นหว่านมากพอสมควร
หนีเจียเอ๋อร์มองไปยังห้องที่เงียบสนิทไร้ซึ่งแสงไฟ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนพูด “เอาละ เ้าไปเถอะ ข้าจะไปพบท่านพ่อ”
...
ก่อนหน้านี้ นายท่านหนีเพิ่งจะะเิอารมณ์ต่อหน้าผู้คน พอสงบใจได้ ก็มานั่งคิดทบทวนเพียงลำพัง ยามนี้ เขาจึงขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือเงียบๆ เช่นกัน
เมื่อเห็นหนีเจียเอ๋อร์เข้ามา ผู้เป็บิดาก็วางพู่กันลง แล้วทำทีเดินไปหาหนังสือ พลางถาม “ข้าได้ยินว่าแม่ทัพต้วนอวิ๋นหลาน ขอให้เ้าช่วยสืบสวนข่าวการหายตัวไปของสตรีในเมืองหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์จึงตอบ “เ้าค่ะ ท่านพ่อ”
“นี่เป็แค่การขอความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เ้าไม่จำเป็ต้องจริงจังมากนัก” นายท่านหนีหยุดชะงัก ก่อนกล่าวต่อ “คุณหนูตระกูลหนีจะต้องไม่ทำให้ข้าขายหน้า เ้าออกไปข้างนอกก็ไร้ประโยชน์ มิสู้อยู่กับจวน เรียนรู้การดูแลบ้านเรือน และฝึกฝนกิริยามารยาทให้สมเป็กุลสตรี”
ตอนนางสืบคดีองค์ชายน้อย ท่านพ่อยังหน้าชื่นตาบาน บอกว่าถือเป็เกียรติของตระกูล แต่มาวันนี้ กลับสั่งสอนว่าอย่าทำตัวขายหน้าผู้คน?
หนีเจียเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้น “ท่านพ่อเกรงว่าคนอื่นจะรู้ ว่าลูกเคยถูกขายไปให้หอโคมเขียวอย่างนั้นหรือเ้าคะ?”
นายท่านหนีคาดไม่ถึงว่านางจะฉลาดเช่นนี้ ทว่าเขาก็ไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายรู้ทัน จึงอดนิ่วหน้ามิได้ จึงพูดเสียงเฉียบขาด “ใช่! ถึงพวกเราจะเชื่อว่าเ้ามิได้บุบสลาย แต่คนภายนอกอาจจะไม่เชื่อ ศักดิ์ศรีของสตรีนั้นสำคัญยิ่งกว่าชีวิต เข้าใจหรือไม่?”
หนีเจียเอ๋อร์เพียงคลี่ยิ้ม มิได้โต้แย้ง แล้วเปลี่ยนเื่ทันที “ท่านพ่อ ข้าเพิ่งเดินผ่านหน้าเรือนของพี่หญิง เห็นห้องของนางมืดสนิทจึงไปเคาะประตูถาม หลิวอวี้สาวใช้ของนางบอกว่าพี่หญิงขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกมาพบหน้าใคร ท่านไปเยี่ยมนางสักหน่อย ดีหรือไม่เ้าคะ?”
นายท่านหนีชักสีหน้า โทสะแล่นเป็ริ้วๆ จนเห็นได้ชัดเจน เขาหันกลับไปมองหนังสือ และพูดว่า “หากไม่อยากออกมา ก็ให้นางอยู่ในห้องทบทวนตัวเองอยู่เช่นนั้นละ เ้าไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวาย”
เป็เพราะสตรีชั่วสวีซื่อเพียงผู้เดียว จึงทำให้เป็เื่ยากที่จะกลับไปสนิทชิดเชื้อกับหนีจวิ้นหว่านเช่นเดิม แต่เื่ที่น่ากลุ้มยิ่งกว่า ก็คือไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ว่านางจะเป็เช่นสวีซื่อหรือไม่
หนีเจียเอ๋อร์ขมวดคิ้วไม่พอใจ “ท่านพ่อ สวีซื่อก็คือสวีซื่อ ท่านไม่ควรเอามาลงกับพี่หญิง”
นายท่านหนีจึงขึ้นเสียง “ถ้าไม่มีเื่อันใดแล้ว ก็ออกไปเสีย!”
หนีเจียเอ๋อร์สะดุ้ง ก่อนพูดเบาๆ “ท่านพ่อพักผ่อนเถิด ลูกขอตัวเ้าค่ะ”
คล้อยหลังบุตรสาว นายท่านหนีก็โยนพู่กันลงกับโต๊ะด้วยแรงอารมณ์
...
วันรุ่งขึ้น หลังเวลาอาหารเช้า หนีเจียเอ๋อร์ก็เรียกบรรดาคนรับใช้มารวมตัวกัน และชี้ไปที่สาวใช้ผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่าจิงอวิ๋น เพื่อเลื่อนให้มาเป็สาวใช้ข้างตัว ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว ยังต้องแสดงออกถึงความโปรดปรานด้วยการตั้งชื่อใหม่ให้ แต่หญิงสาวไม่ชอบธรรมเนียมเช่นนี้ จึงเรียกชื่อเดิมของอีกฝ่ายต่อไป
หาได้ยากนัก ที่เ้านายจะยอมเรียกขานบ่าวรับใช้ด้วยชื่อเดิมที่บิดามารดาตั้งให้ และไม่ว่าจะถูกตั้งชื่อเช่นไร พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้
จิงอวิ๋นจึงคุกเข่าลง โค้งคำนับอย่างซาบซึ้ง “คุณหนู จิงอวิ๋นขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อท่านเ้าค่ะ”
หนีเจียเอ๋อร์คว้ามือนางขึ้นมา “ต่อไป จิงอวิ๋นจะเป็สาวใช้ส่วนตัวของข้า ทุกเื่ที่เกี่ยวกับข้า ไม่ว่าจะเป็เื่เล็กหรือเื่ใหญ่ ก็ให้นางเป็ผู้ดูแล”
คนอื่นๆ พยักหน้ารับคำ “เ้าค่ะ คุณหนู” จากนั้น ก็หันไปพูดกับจิงอวิ๋น “ขอแสดงความยินดีด้วย จิงอวิ๋น”
จิงอวิ๋นโบกมือด้วยความขัดเขิน ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าตัวเองจะได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็สาวใช้ประจำตัวของคุณหนู ต่อไปนี้ เงินเดือนของนางก็เพิ่มขึ้นจากห้าตำลึงเป็แปดตำลึงแล้ว
เพื่อให้จิงอวิ๋นทำความคุ้นเคยกับกิจวัตรประจำวันของนาง และประโยชน์ในวันข้างหน้า หนีเจียเอ๋อร์จึงมักจะพาสาวใช้คนใหม่ติดสอยห้อยตามไปด้วยทุกที่
...
ราวกับจิตจะสื่อถึงกันได้ โจวชิงหวากับหนีเจียเอ๋อร์จึงเห็นพ้องต้องกัน ว่าควรจะเริ่มตรวจสอบจากบ้านของบรรดาสตรีที่หายตัวไป ชายหนุ่มมารับนางขึ้นรถม้า แล้วพาไปยังจวนแม่ทัพต้วน เพื่อขอรายชื่อและที่อยู่ ก่อนไปหาเบาะแสทีละบ้าน
ทั้งสิบตระกูลต่างบอกว่าบุตรสาวหายไปในตรอกเล็กๆ บ้างก็หายไปในยามกลางวัน บ้างก็หายตัวไปในยามค่ำคืน ตรงตามที่ระบุไว้ในบันทึก มิได้พบเบาะแสใหม่
ทั้งสองจึงแวะเข้าไปรับประทานอาหารในโรงเตี๊ยม ก่อนที่โจวชิงหวาจะพาหนีเจียเอ๋อร์กลับไปส่งบ้านเช่นเดิม
...
เมื่อผ่านลานหน้าเรือนของหนีจวิ้นหว่าน หนีเจียเอ๋อร์ก็พบเข้ากับหลิวอวี้ที่ออกมารดน้ำต้นไม้พอดี จึงสอบถามถึงสารทุกข์สุกดิบของพี่สาวเช่นเคย
สาวใช้ส่ายหน้า “ผ่านมาสองวันแล้ว คุณหนูใหญ่ยังไม่ยอมออกมาเลยเ้าค่ะ”
หนีเจียเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “นางรับสำรับหรือไม่?”
หลิวอวี้ส่ายหน้า “ไม่เ้าค่ะ”
หญิงสาวจึงไม่พอใจ “นางไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว เหตุใดเ้าถึงไม่รายงานเื่นี้ให้นายท่านทราบ ไม่กลัวว่าคุณหนูของเ้าจะอดอาหารตายหรืออย่างไร!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้