การเดินทางจากเมืองหลวงไปที่เหอซีในครั้งนี้เป็การเดินทางขึ้นเหนือ อากาศก็ยิ่งหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่อยู่ห่างจากเหอซีอีกสองร้อยกว่าลี้ แม่นมลู่ก็ได้เอาชุดคลุมผืนหนาของตนเองออกมาสวมใส่
ลูกชายคนเล็กของสกุลหลี่ชื่อว่าหลี่เหยียนเลี่ยง ลูกสาวชื่อว่าหลี่เหยียนเซี่ย หลานชายคนโตชื่อว่าหลี่เจียเหลียง แม่นมลู่ฟังพวกเขาคุยกัน ที่อาศัยอยู่ในบ้านสวนสินเดิมของฮูหยินเฒ่าล้วนเป็ครอบครัวและลูกหลานของจวนหย่งอี้โหวเมื่อก่อน ล้วนเป็คนที่ติดตามหย่งอี้โหวเย่มานานและใช้แซ่หลี่ด้วยกันทั้งหมด ตอนนั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกจ้างคนของจวนหย่งอี้โหว ก็มีหลายคนที่ไม่ลืมจวนหย่งอี้โหวและไม่อยากจะจากไป ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้พาพวกเขามาไว้ที่บ้านสวนของตนเอง
คนพวกนี้จึงตั้งชื่อตามรุ่น รุ่นต่อจากเหล่าหลี่ก็ล้วนเป็รุ่นใช้คำว่าเหยียน รุ่นต่อมาก็เป็รุ่นที่ใช้คำว่าเจีย นี่เป็กฎที่ผู้ช่วยท่านหนึ่งของจวนหย่งอี้โหวได้ตั้งเอาไว้
แม่นมลู่เดิมทีคิดว่าหลี่เจียเหลียงเป็แค่เด็กคนหนึ่ง จึงให้เขามานั่งบนรถม้ากับตน ผู้ใดจะไปคิดว่าเด็กชายไม่ยินยอม เขาแอบพูดกับแม่นมลู่ ว่าถ้าหากตนเองนั่งรถไปกับแม่นมลู่จนถึงเหอซีเช่นนี้จะทำให้คนดูถูก เขาเป็บุรุษ หากไม่เดินเหมือนกับคนอื่นๆ ก็ต้องขี่ม้า จะอย่างไรก็จะไม่นั่งบนรถม้าเป็แน่
แม่นมลู่ฟังแล้วในใจก็รู้สึกขบขัน แล้วก็รู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้ อาหารหนึ่งวันสามมื้อจึงจัดการให้อย่างพร้อมสรรพ
กลุ่มพ่อค้าขายหนังจ้างคนคุ้มกันมาคุ้มครองให้ส่งถึงจุดหมาย เพราะว่าพวกเขาไม่ใช่ครอบครัวขุนนางแต่เป็พ่อค้า จึงไม่สามารถเข้าไปพักด้านในของที่พักทหารข้างทางได้ ดังนั้นปกติแล้วเมื่อเจอโรงเตี๊ยมก็จะเข้าไปพักด้านใน ถ้าหากพลาดไปแล้วก็จะพักอยู่ด้านนอกสักคืน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็บุรุษ อีกทั้งยังแข็งแรงกำยำจึงไม่มีปัญหา แต่แม่นมลู่นั้นไม่ได้ ยิ่งอากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ มาพักด้านนอกเช่นนี้ ถ้าหากกินไม่ดี นอนไม่ดี เช่นนั้นก็อาจจะทำให้ป่วยได้
ในรถม้าแม่นมลู่ใส่ผ้าห่มมาหลายผืน แล้วก็ไม่กลัวที่จะใช้เงิน ตอนที่ผ่านเขตเมืองเล็กๆ ก็ซื้ออาหารมาจำนวนมาก พักอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมยังดี สามารถให้คนของโรงเตี๊ยมเตรียมน้ำแกงร้อนๆ ข้าวร้อนๆ มาบริการได้ ถ้าหากพักอยู่กลางแจ้ง เช่นนั้นจะต้องทำอาหารร้อนๆ รับประทานด้วยตนเอง
หลังจากเดินทางมาหลายสิบวัน ในที่สุดก็ถึงประตูเมืองเหอซี
แม่นมลู่ถึงได้ถอนหายใจออกมา สวี่ตี้มารออยู่ที่หน้าประตูเมืองอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นแม่นมลู่กลับมาแล้วก็รีบเข้ามาต้อนรับ
แม่นมลู่เห็นสวี่ตี้แล้วก็พูดด้วยความดีใจ “ตี้เกอ เหตุใดเ้าถึงรู้ว่าข้าจะมาถึงวันนี้ล่ะ?”
สวี่ตี้หัวเราะแล้วตอบ “ข้านัดแนะกับคนของทางร้านขายหนังไว้ก่อนแล้วขอรับ หลังจากพวกเขาได้รับจดหมายก็รีบส่งจดหมายมารายงานข้า ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่าพวกท่านจะมาถึงในวันนี้ ข้าก็เลยมารอน่ะขอรับ แม่นม ตลอดทางนี้ลำบากท่านแล้ว”
แม่นมหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ “ตลอดทางมานี้ข้านั่งแต่รถม้า ไม่ลำบากหรอก ที่เรือนยังสบายดีกันใช่หรือไม่ มารดาของเ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
สวี่ตี้หัวเราะแล้วเอ่ย “แม่นม เื่ที่เรือนดีทุกอย่างขอรับ ท่านอย่าเพิ่งกังวลเื่ในเรือนเลย ตลอดทางนี้ท่านลำบากมากแล้ว พวกเรากลับไปที่เรือนก่อน นั่งพักสักหน่อยแล้วค่อยว่ากันดีหรือไม่ขอรับ?”
แม่นมลู่ตอบ “เช่นนั้นข้าขอไปคุยกับผู้ดูแลร้านหลี่ก่อน”
สวี่ตี้หัวเราะแล้วเอ่ย “มีข้าอยู่นะ ยังต้องให้ท่านลำบากอีกหรือ? ท่านก็ไปนั่งอยู่ในรถม้าเถิด ข้าจะไปขอบคุณผู้ดูแลร้านหลี่ให้เองขอรับ”
เมื่อสวี่ตี้ออกหน้าเอง ผู้ดูแลร้านหลี่ก็ให้เกียรติขึ้นมาอีกหลายระดับ พวกเขาจึงพบกันที่หน้าประตูเมือง พูดคุยกันง่ายๆ สองสามประโยค จากนั้นก็บอกลากัน
แม่นมลู่ได้เอาเื่สถานการณ์ของคนสกุลหลี่เขียนจดหมายมาบอกกับครอบครัวสวี่แล้ว ส่วนจดหมายก็ฝากคนของร้านค้าสกุลหลี่มาส่ง สวี่ตี้เห็นพี่น้องสกุลหลี่และหลานชายก็รู้แล้วว่าเป็ใคร จึงพูดกันง่ายๆ ไม่กี่ประโยค ก่อนจะพาทุกคนเดินไปในเมือง
เหอซีในตอนนี้ เปิดแค่ประตูทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ประตูเมืองทางทิศเหนือและทิศใต้ได้ปิดเอาไว้ อีกทั้งกลางวันกลางคืนก็มีคนคอยเฝ้ายามอยู่ตลอด เข้าเมืองไม่เพียงจำเป็ต้องมีใบเดินทางของเ้าหน้าที่ออกให้เท่านั้น ยังจำเป็ต้องตรวจสัมภาระที่พกมาอย่างละเอียดว่ามีของต้องห้ามหรือไม่ ยิ่งอากาศเย็นลงเรื่อยๆ บรรยากาศก็ยิ่งตึงเครียดตามไปด้วย
แม่นมลู่มองออกไปด้านนอกหน้าต่างรถม้า มองเห็นถนนที่เงียบเหงากว่าตอนที่อากาศอบอุ่นมาก ก็รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยิ่งเคร่งเครียด
จางจ้าวฉือยืนกุมท้องของตนเองพาเด็กๆ ในเรือนมายืนรอหน้าประตูใหญ่ เห็นรถม้าของแม่นมลู่มาถึงก็เดินมาด้านหน้า
แม่นมลู่เห็นจางจ้าวฉือที่เดินออกมาอย่างรวดเร็วก็รีบห้าม “ฮูหยินสามของข้า เ้าก็ท้องโตขนาดนี้แล้ว จะต้องระวังให้มาก เดินช้าๆ เดินช้าๆ”
จางจ้าวฉือหัวเราะแล้วเอ่ย “ข้าไม่ได้เจอแม่นมลู่มานาน คิดถึงมากเลยเ้าค่ะ ตลอดทางลำบากท่านแล้ว”
แม่นมลู่ตอบ “ไม่ลำบาก ไม่ลำบาก”
สวี่จือกับสองพี่น้องสกุลหลี่ที่อยู่ด้านหลังก็มาทำความเคารพแม่นมลู่ ซึ่งหญิงชราก็รีบเข้ามาจับตัว “ข้าว่าพวกเ้าสามคนตัวโตขึ้นนะ อีกทั้งยังยิ่งงดงามขึ้นด้วย”
จางจ้าวฉือจูงมือแม่นมลู่เข้าไปในเรือน “แม่นม พวกเรากลับเรือนกันก่อนเถิด ข้าได้เตรียมห้องพักให้วีรบุรุษตัวน้อยของสกุลหลี่เอาไว้แล้ว ให้พวกเขาเอาของไปวางไว้ก่อน อาบน้ำอาบท่า แล้วพวกเราค่อยมานั่งกินดื่มไป พูดคุยกันไป ท่านว่าอย่างไรเ้าคะ?”
หลี่เหยียนเลี่ยงถูดจัดให้ไปอยู่กับองครักษ์ทั้งสองคนที่ตามมาจากจวนโหว ส่วนหลี่เหยียนเซี่ยพักอยู่ในห้องเดียวกับชิงเหมี่ยวชิงซุย หลี่เจียเหลียงอยู่กับสวี่ตี้ที่ในเรือนตะวันออกของเรือนหลัง ด้านนอกห้องที่สวี่ตี้พักเองยังมีตั่งอุ่นอยู่ด้านนอกอีกหลัง จึงให้หลี่เจียเหลียงนอนอยู่บนนั้น ซึ่งเขาไม่คุ้นชินกับการอยู่กับคนอื่น โดยเฉพาะผู้ชายคนหนึ่งที่มานอนอยู่บนตั่งอุ่น
รอจนกระทั่งคนสกุลหลี่ทั้งสามมาเข้าพบจางจ้าวฉือแล้ว นางก็เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้สถานการณ์ในเรือนนี้ก็เป็เช่นนี้ ห้องพักไม่เพียงพอ พวกเ้าก็เบียดกันอยู่ไปก่อน รอต่อไปพวกเราเปลี่ยนเรือนหลังใหญ่แล้ว ข้ารับประกันว่าจะให้พวกเ้าหนึ่งคนต่อหนึ่งห้อง”
หลี่เหยียนเซี่ยเดิมทีเป็คนนิสัยร่าเริง ได้ยินจางจ้าวฉือรับประกันเช่นนี้ก็หัวเราะแล้วเอ่ย “เช่นนั้นก็ขอบคุณฮูหยินสามก่อนเลยเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือกำชับชิงเหมี่ยวให้พาไปพักก่อน ส่วนตัวเองก็จูงมือแม่นมลู่ สอบถามว่าตลอดทางเป็อย่างไรบ้าง
แม่นมลู่จึงเล่าเื่หลังจากเข้าเมืองหลวงไปแล้วให้ฟัง ทั้งยังเอาของที่จวนโหวเตรียมไว้ให้ออกมา สิ่งแม่นมลู่นำกลับมานอกจากของที่ฮูหยินผู้เฒ่าฝากมาให้แล้ว ยังมีของที่โหวเย่รบกวนให้แม่นมลู่นำกลับมาด้วย
แม่นมลู่เอากล่องไม้แกะสลักลวดลายดอกไม้ออกมาวางก่อนจะเอ่ย “นี่คือสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าย้ำข้าอยู่หลายรอบว่าจะต้องเอามาให้เ้าให้ได้ เป็ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึง”
จางจ้าวฉือใ “ไอ๊หยา ท่านย่าจะทำอะไรน่ะเ้าคะ หนึ่งหมื่นตำลึง ปกติแล้วในจวนใช้หนึ่งปีก็ยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นเลยนะเ้าคะ”
แม่นมลู่เอาเื่ที่บ้านสวนมาเล่าให้จางจ้าวฉือฟังหนึ่งรอบ นางฟังแล้วก็ใช้มือลูบกล่องไม้ก่อนจะถอนหายใจ “เพื่อแบ่งเบาความกังวลของผู้าุโ เื่นี้พวกเราควรจะทำ ท่านย่าทำเช่นนี้ ทำเอาข้าไม่รู้จะพูดอย่างไรเลยจริงๆ”
แม่นมลู่เอ่ย “ล้วนเป็น้ำใจของฮูหยินผู้เฒ่า คงประมาณว่าเอาเงินให้พวกเ้าแล้ว ในใจของนางก็คงจะสงบลงมากขึ้นกระมัง”
จางจ้าวฉือตอบ “เช่นนั้นก็ได้เ้าค่ะ เงินนี่ข้าจะรับเอาไว้ก่อน แต่ว่าต่อไปจะทำอย่างไรนั้น ข้าจะต้องปรึกษากับคุณชายสามกับสวี่ตี้ก่อนเ้าค่ะ”
แม่นมลู่เอ่ย “เื่นี้มันแน่นอนอยู่แล้ว คนในบ้านสวนมากมายขนาดนั้น ก็ไม่ใช่จะจัดคนให้เรียบร้อยภายในเวลาอันรวดเร็ว”
การกลับมาของแม่นมลู่ ในที่สุดก็ทำให้ทุกคนในสกุลสวี่กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติขึ้นมาก แม้แต่สองพี่น้องสกุลหลี่ที่มาพักอาศัยด้วยก็รู้สึกว่าในใจมั่นคงขึ้นมาก
สวี่จือยุ่งอยู่กับการจัดของให้นาง แม่นมลู่หัวเราะเหอะๆ มองเด็กหญิงที่งานยุ่งจนเหมือนกับผึ้งงานก็เอ่ย “คุณหนูเก้า ไม่ต้องทำเช่นนี้แล้ว ของพวกนี้ก็วางเอาไว้เช่นนี้เถิด รอจนถึงเวลาที่จะใช้ค่อยเอาออกมาใช้ก็ได้”
สวี่จือตอบ “แม่นม ท่านไปกลับใช้เวลาจวนจะสองเดือนแล้วนะเ้าคะ ข้าคิดถึงท่านแทบแย่ ท่านคิดถึงข้าหรือไม่เ้าคะ?”
แม่นมลู่หัวเราะแล้วเอ่ยตอบ “แน่นอนว่าต้องคิดถึงเ้าอยู่แล้ว ตอนกลางคืนจะนอนข้าก็ตื่นมาหลายครั้ง อยากจะดูว่าเ้าได้ถีบผ้าห่มหรือไม่”
สวี่จือฟังแล้วดวงตาก็วาวขึ้นมา พูดด้วยความดีใจ “ข้าเองก็เหมือนกันเ้าค่ะ ตอนกลางคืนข้าจะตื่นขึ้นมาครั้งสองครั้ง ตื่นขึ้นมาก็จะเรียกหาแม่นม พี่ชิงเหมี่ยวมักจะพูดกับข้าว่าแม่นมกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว”
แม่นมหัวเราะเหอะๆ “ต่อไปข้าก็ได้นอนกับคุณหนูที่นี่อีกครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้ากลับไปดูแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าได้เหลือเรือนเล็กๆ เอาไว้ข้างๆ เรือนของนาง บอกว่ารอเ้ากลับไปแล้วก็ให้เ้าไปพักที่นั่น แล้วยังหาสาวใช้มาให้เ้าอีกหลายคน ข้างกายคุณหนูในจวนโหวจะต้องมีคนดูแลหลายสิบคนถึงจะดี”
สวี่จือฟังแล้วก็ถอนหายใจ “แม่นม เช่นนี้จะมีความหมายอะไรเ้าคะ อย่างไรอยู่ที่นั่น กินข้าวพวกนั้น นอนบนเตียง แถมข้างกายยังมีคนเ่าั้ล้อมหน้าล้อมหลัง นอกจากมีหน้ามีตา ยังจะมีประโยชน์อะไรอีกเ้าคะ ข้ารู้สึกว่าพวกเราอยู่ที่นี่ตอนนี้ดีมากเลยเ้าค่ะ เื่ของตนเองก็ทำมันด้วยตนเอง เื่ในเรือนพวกเราทุกคนก็ปรึกษากันได้”
แม่นมลู่เอ่ย “เ้าพูดเช่นนี้คล้ายกับที่ฮูหยินผู้เฒ่าพูด คุณหนูเก้า เ้าเป็คุณหนู่ในจวนของกงโหว สิ่งที่ควรจะมีก็ต้องมี คนอื่นมีทำไมพวกเรามีไม่ได้? ทั้งๆ ที่เป็ลูกหลานสกุลโหวเหมือนกัน พวกเราปกป้องที่นี่ก็เพื่อจวนโหว รออีกเดี๋ยวกลับไปแล้ว จะต้องเอาของที่ควรได้คืนมา ให้คนพวกนั้นได้รู้ว่า ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้อยู่ในจวนโหวตลอด แต่พวกเราก็ไม่ได้น้อยไปกว่าพวกเขา”
สวี่จือจ้องแม่นมลู่ ยิ้มแล้วเอ่ย “แม่นม เหตุใดข้ารู้สึกว่าท่านกลับไปเมืองหลวงคราวนี้ ความมั่นใจของท่านเต็มเปี่ยมเลยนะเ้าคะ”
แม่นมลู่เอ่ย “ข้ากลับไปครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าได้พูดกับข้าแล้ว ถึงแม้พวกเราจะอยู่ไกลถึงเหอซี แต่ว่าจะอย่างไรก็เป็ลูกหลานของจวนโหว คนในจวนโหวมีอะไรพวกเราก็ต้องมี อีกทั้งพวกเรายังต้องดีกว่าพวกเขาถึงจะถูก ฮูหยินผู้เฒ่าอยากให้พวกเราตระหนักว่า พวกเราอยู่ที่นี่เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วพวกเราขาดอะไรไปบ้าง”
ถ้าหากพูดเื่พวกนี้กับเด็กอายุเจ็ดขวบคนหนึ่ง จะฟังออกหรือไม่นั้นก็พูดยาก แต่ว่าสวี่จือฟังเข้าใจแล้ว
สวี่จือพยักหน้า ก่อนจะเอ่ย “ด้านเหตุผลนั้นข้าเข้าใจทั้งหมดเ้าค่ะ แต่ว่าสถานที่ตอนนี้ ถึงในมือจะมีเงินอยู่ อยากจะเอาไปใช้จ่ายก็ไม่ง่ายเลยเ้าค่ะ พวกเราเก็บเงินเอาไว้ก่อนเถิด รอต่อไปสามารถไปทางใต้ได้ พวกเราก็ใช้เงินพวกนี้ซื้อของหายาก ให้ท่านลุงสามส่งมาขายทางเหนือ เป็การหารายได้เพิ่มถึงจะดีนะเ้าคะ”
แม่นมลู่ไม่ได้รังเกียจการค้าขาย การทำการค้านั้นในมือจะมีเงินมากมายให้คว้า อยากจะทำอะไรก็ได้ไม่ใช่หรือ? พวกพ่อค้าใหญ่ๆ ถ่อมตนพวกนั้นใช้ชีวิตดีกว่าขุนนางหลายคนเสียอีก
แม่นมลู่พยักหน้า “พวกเรายังรู้จักการทำการค้าขายหาเงินนะ พอดีเลย ไม่ว่าจะทำอะไรพวกเราก็ต้องทำกันไปอย่างมั่นคง”
สวี่จือตั้งใจฟังเื่ราวที่แม่นมลู่เล่าให้ตนเองฟัง นางรู้ ฮูหยินซื่อจื่อในวันปกติจะพาบุตรสาวสองคนของตัวเองมาจัดการงานในเรือน ทั้งยังเล่าเื่ที่เกิดขึ้นภายในเรือนให้พวกนางฟังอย่างละเอียด เพื่ออะไรน่ะหรือ เพื่อให้พวกนางสามารถเข้าใจเื่การจัดการคน เพื่อสามารถจัดการกับสินเดิมของตนเองให้ดีได้ แล้วก็จัดการเื่ในเรือนได้ดีขึ้นอีกด้วย
แม่นมลู่เปิดสมุดบัญชีที่จดบันทึกประจำวันของคุณหนูทั้งสามคนแล้วพยักหน้าในใจไม่หยุด ลายมือของทั้งสามคนไม่เหมือนกัน แม่นมลู่สามารถมองออกได้เลยว่า ในบรรดาคุณหนูทั้งสามคน สวี่จือเป็คนที่นิสัยซื่อสัตย์ คุณหนูใหญ่ของสกุลหลี่เป็คนนิสัยอ่อนโยน คนเช่นนี้แต่งงานไปในสกุลใหญ่คาดว่าจะต้องลำบากสักรอบก่อนจะสามารถทำเื่นี้ออกมาได้ดี
แต่ว่าโชคดีที่ใต้เท้าหลี่กับฮูหยินหลี่รู้ถึงนิสัยของบุตรสาวคนโตตน ได้ยินมาว่าที่คุยเื่แต่งงานด้วยเป็ครอบครัวเล็กๆ เด็กหนุ่มที่จะแต่งงานกับหลี่เยว่หลินเองก็จะเดินเส้นทางสายขุนนาง ตอนนี้เป็ซิ่วไฉแล้ว เพราะว่าการแต่งงานของสวี่ตี้กับหลี่เยว่ซีได้กำหนดเอาไว้แล้ว ทางนั้นตอนนี้ก็เร่งให้ทั้งสองคนรีบกำหนดเื่แต่งงานเช่นกัน ทางที่ดีที่สุดก็กำหนดวันแต่งงานด้วย แน่นอนว่าใต้เท้าหลี่กับฮูหยินหลี่รู้อยู่แล้วว่าเื่มันเป็มาอย่างไร ตอนนี้เป็ครอบครัวของพวกเขาที่รีบร้อนไม่ใช่ครอบครัวของตนเองแล้ว ฮูหยินหลี่พูดกับครอบครัวลูกเขยในอนาคตเอาไว้แล้วว่า คนในครอบครัวต่างรักลูกมาก อยากจะอยู่กับลูกสาวอีกสองสามปี จะหมั้นเอาไว้ก่อนนั้นได้ แต่ให้แต่งงานภายในปีสองปีนี้ไม่ได้
เื่จึงเป็เช่นนี้ ทางนั้นเองก็ตามติดไม่ปล่อย ยิ่งมีสามีของน้องภรรยาเป็ถึงคุณชายของจวนโหวที่เมืองหลวง ต่อไปสอบขุนนางได้แล้วก็อยากจะไปเป็ขุนนางที่นั่นก็มีคนให้พึ่งพาไม่ใช่หรือ ความสะดวกนี้ผู้ใดก็เห็น
ส่วนในอนาคตจะเป็นายหญิงที่คอยดูแลของครอบครัวนี้ ความจริงแล้วแม่นมลู่ก็ได้ให้การบ้านนางโดยเฉพาะ หลี่เยว่ซีเป็คนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก เดิมทีก็เป็เด็กที่ใจกว้างมากอยู่แล้ว บวกกับ่นี้ได้เรียนหนังสือมากมาย ทำให้ความรู้สึกที่ปล่อยออกมานั้นไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
แม่นมลู่มองตัวหนังสือที่หลี่เยว่ซีเขียนในสมุดบัญชีแล้วก็พยักหน้า จะว่าไปแล้ว จางจ้าวฉือก็ดูคนเป็จริงๆ ถึงได้มาถูกใจหลี่เยว่ซีที่เป็ลูกสาวคนเล็กของอาลักษณ์หลี่ขุนนางขั้นแปดผู้นี้ แม่นมลู่รู้สึกว่าหลี่เยว่ซีเป็หยกน้ำดี ค่อยๆ แกะสลักลงไป ต่อไปจะต้องงดงามเปล่งประกายมากอย่างแน่นอน
แม่นมลู่เอาของขวัญกลับมาให้ทุกคนในครอบครัว จึงถือโอกาสในเวลาว่างก่อนทานข้าวนำของมาแจกทั้งเรือนหน้าเรือนหลัง บ่าวคนใช้หลายคนในเรือนต่างพากันขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ทำเอาแม่นมลู่รู้สึกเขินอายอยู่เล็กน้อย
สวี่เหรารีบกลับมาทานข้าวตอนกลางคืน นี่คือมื้อค่ำเลี้ยงต้อนรับแม่นมลู่ ชิงเหมี่ยวชิงซุยทำโต๊ะหนึ่งโต๊ะที่ด้านนอกห้องพักทางทิศตะวันตกของตนเอง แล้วเชิญหลี่เหยียนเซี่ยกับหลี่เจียเหลียงมากินด้วยกัน ส่วนหลี่เหยียนเลี่ยงก็ไปกินกับองครักษ์สองคนแล้วก็ผู้ช่วยของสวี่เหราอีกสองคน
ป้าเหอเอาความสามารถของตนเองออกมาทำอาหารที่แม่นมลู่ชอบกินสุดฝีมือจนเต็มโต๊ะ ยังดีที่ผักหลายอย่างเด็ดออกมาจากเรือนเพาะชำของสวี่ตี้
แม่นมลู่มองอาหารสีเขียวบนโต๊ะแล้วก็พูดด้วยความเสียดาย จนสวี่ตี้มาลากแม่นมลู่ให้นั่งลง “แม่นม ผักพวกนี้ปลูกมาเพื่อกินไม่ใช่หรือขอรับ? พวกเรากินพวกมันแล้ว พวกมันก็ทำภารกิจของตัวเองเสร็จแล้ว มาๆ ท่านลองมาชิมก่อนว่ารสชาติเป็อย่างไร”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้