ไป๋หยุนเฟยฝืนความเ็ปบนร่างลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า ก่อนจะหันมองไปยังชายหนุ่มดุร้ายเบื้องหน้าด้วยท่าทีสับสน
“จะ...จะเป็เช่นนั้นได้อย่างไร? เมื่อครู่คล้ายว่าข้าไม่ได้ทำอันใด ข้า...ทำอะไร?” กระทั่งยามนี้ไป๋หยุนเฟยจึงค่อยเรียกสติกลับมาอย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเองกระทำต่อหน้าหญิงสาวเมื่อครู่ มันก็แทบไม่กล้าเชื่อว่าตนจะแสดงท่าทีเยี่ยงนั้นได้... คุณชายและคุณหนูทั้งสองนี้มาจากตระกูลร่ำรวย คนอย่างมันล่วงเกินได้หรือ? คนเ่าั้ไม่เห็นชีวิตชาวบ้านทั่วไปอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
คิดได้ดังนั้นไป๋หยุนเฟยจึงฝืนยันกายลุกจากพื้นอย่างยากเย็น มันไม่กล้ามองไปยังคนทั้งสองตรงหน้า จึงได้แต่คารวะอย่างนอบน้อมพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าขออภัย แม่นาง...ข้าไม่ได้ตั้งใจล่วงเกินท่าน หวังว่านายท่านทั้งสองจะให้อภัย...”
“ให้อภัยเ้า? เ้าคนชั้นต่ำ คิดหรือว่าน้องเมิ่งเอ๋อร์ของข้าเป็ผู้ที่เ้าจะแตะต้องได้? ชีวิตต่ำต้อยของเ้าต้องจบสิ้นอยู่ที่นี่ ในบัดดล!” จางหยางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยท่าทีดุร้ายน่าหวาดหวั่น มันจับจ้องไป๋หยุนเฟยราวกับมองคนตาย ขณะก้าวเท้าเข้าหาไป๋หยุนเฟย บนหมัดขวาก็ปรากฏเส้นเืปูดนูนขึ้น แต่ละก้าวที่ย่างเท้าเข้าไป มือขวาของมันกลับขยายใหญ่ขึ้นทีละน้อย
ไป๋หยุนเฟยเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ทว่าทันทีที่สบตากับจางหยาง ศีรษะกลับพลันปวดแปลบราวถูกทิ่มแทง อาการสั่นสะท้านจากส่วนลึกของิญญาแผ่ซ่านไปทั้งร่าง จนมันต้องทรุดนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง ในสายตาของมัน จางหยางที่ก้าวเท้าเข้าหาราวกับแปรเปลี่ยนเป็มารร้ายน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งเข้าหาพร้อมกรงเล็บแหลมคมหมายจะขยี้มันให้ตายดั่งบี้มด
“จางหยางหยุดมือ... ข้าบอกแล้วหรือว่า้าให้มันตาย?” ขณะที่ความรู้สึกของไป๋หยุนเฟยจะพังทลายลง เสียง์พลันดังขึ้น พร้อมกับที่แรงกดดันบนร่างมันผ่อนคลายลงเล็กน้อยทันที
จางหยางชะงักเท้าลงก่อนจะหันกลับไปหาหลิวเมิ่ง จากนั้นจึงกล่าวอย่างลังเลว่า “เมิ่ง... หลิวเมิ่งคนชั้นต่ำนี้ล่วงเกินเ้า ฉะนั้นมันจึงต้องตาย ข้าจะให้บทเรียนแก่มันที่ยั่วโทสะเ้า”
หลิวเมิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่งสายตาไม่พอใจไปยังจางหยางพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่ ‘ของเ้า’ กรุณาระวังคำพูดของเ้าด้วย...” จากนั้นนางจึงปรายตามองไปด้านหลังก่อนจะกล่าวต่ออีกว่า “อีกอย่าง ดูเหมือนคนผู้นี้ไม่ได้เสแสร้งเป็ไม่รู้สึกตัว อย่าว่าแต่ต่อให้มันล่วงเกินข้า ก็ไม่จำเป็ต้องเอาชีวิตมัน...”
ไป๋หยุนเฟยจ้องมองไปยังหลิวเมิ่งด้วยสีหน้าสับสน “นาง... แก้ต่างขอความเมตตาแก่ข้า? ช่างเป็คุณหนูจากตระกูลร่ำรวยที่มีเหตุผลนัก นางเป็ดั่งเทพธิดา...”
“อีกอย่างมันถูกเ้าเตะจนสาหัสแล้ว ถือว่ามันถูกลงโทษแล้วเถอะ” หลิวเมิ่งมองดูถังหูลู่ที่ไป๋หยุนเฟยเพิ่งซื้อมาซึ่งหล่นบนพื้น คล้ายกับว่านางนึกถึงบางอย่างขึ้นได้ ดวงตาจึงพลันทอประกายวูบ ก่อนจะยิ้มให้ไป๋หยุนเฟยอย่างไม่คาดคิด “ฮ่าฮ่า นอกจากนี้มันก็ชดใช้แล้วด้วยถังหูลู่ที่เพิ่งถูกเ้าทำหล่น...”
เมื่อไป๋หยุนเฟยเห็นรอยยิ้มนี้ หัวใจมันกลับเต้นถี่รัวอย่างไม่อาจควบคุม ใบหน้ามันเปลี่ยนเป็แดงซ่าน ขณะที่ความรู้สึกคล้ายเคลิบเคลิ้มล่องลอย “นาง...ช่างงดงามนัก”
เมื่อเห็นหลิวเมิ่งแย้มยิ้มให้แก่ชาวบ้านชั้นต่ำ แววตาของจางหยางพลันทอประกายอำมหิตอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวว่า “พวกเราละเว้นมันง่ายดายเช่นนี้หรือ อย่างน้อยต้องตัดแขนข้างนั้นทิ้ง ข้า...”
“หยางเอ๋อร์!” น้ำเสียงน่ายำเกรงพลันดังขึ้นขัดจังหวะจางหยาง ที่แท้ชายกลางคนที่อยู่ห่างออกไปก็มาถึงตรงหน้าพวกมันแล้ว
“บิดา!”
“ท่านลุง”
จางหยางและหลิวเมิ่งล้วนเรียกหาอย่างนอบน้อม... ชายผู้นี้จะเป็ใครหากไม่ใช่บิดาของจางหยาง นายใหญ่แห่งตระกูลจางนามว่าจางเจิ้นซาน
“เมิ่งเอ๋อร์กล่าวถูกแล้ว ในฐานะผู้ฝึกปรือิญญา ไฉนเ้าต้องดึงดันวิวาทกับคนธรรมดาเยี่ยงนี้ได้? เ้าถึงขนาดจะฆ่ามันกลางถนน หรือเ้าไม่เกรงว่าตระกูลจางจะเสื่อมเสียหน้า?!” ชายกลางคนเอ่ยปากตำหนิ ท่าทีคล้ายไม่พอใจต่อการแสดงออกของบุตรชายเท่าใดนัก
เมื่อครู่ไป๋หยุนเฟยยามได้ยินว่าจางหยางจะตัดแขนข้างหนึ่งของมันจึงพลันขยับล่าถอยออกไป เมื่อได้ยินชายกลางคนกล่าวดังนั้นจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ชั่วขณะที่ชายกลางคนเหลือบมองมา พริบตานั้นไป๋หยุนเฟยกลับรู้สึกราวกับทั้งร่างตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง ต้องสั่นสะท้านถึงก้นบึ้งิญญา พลังกดดันที่เหนือกว่าจางหยางหลายเท่าแผ่ครอบคลุมทั้งร่าง จนแม้แต่จะหายใจยังยากเย็น
โชคดีที่ความรู้สึกเช่นนี้จางหายไปอย่างรวดเร็ว ไป๋หยุนเฟยหายใจอย่างหนักหน่วงราวกับเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส เหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลพรั่งพรูบนใบหน้าไม่หยุด
“มารดาเ้ายังเฝ้ารอการกลับไปของพวกเรา อย่าได้ชักช้า” เห็นบุตรชายยังคงไม่พอใจแต่ไม่กล่าวอันใด จางเจิ้งซานจึงเอ่ยปากด้วยท่าทีปลอดโปร่งว่า “หากโทสะเ้ายังไม่คลาย... ก็ให้บริวารเ้าสั่งสอนมัน”
จางหยางไม่กล้ากล่าวอันใดอีก หลังจากปรายตาส่งสัญญาณให้แก่บริวารด้านข้างแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้จึงเดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังใจกลางเมือง
ทว่ายังมีบริวารสองคนไม่ได้จากไปพร้อมกัน พวกมันวิ่งเข้าหาไป๋หยุนเฟยด้วยท่าทีดุร้าย และไป๋หยุนเฟยเองก็ได้ยินวาจาของจางเจิ้นซานเมื่อครู่ จึงทราบว่าวันนี้มิอาจไม่ถูกทุบตีแล้ว หากขัดขืนรังแต่จะาเ็หนักยิ่งกว่าเดิม มันเมื่อไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ขดตัวป้องกันศีรษะไว้และปล่อยให้ชายทั้งสองทุบตีอยู่พักใหญ่
จางหยางที่อยู่ห่างไกลกลับปรายตามองย้อนกลับไปโดยไม่เป็ที่สังเกต ดวงตามันเปี่ยมล้นด้วยความริษยาชิงชัง ทว่ายามหันกลับมาหาหลิวเมิ่งก็คืนสู่ภาพลักษณ์คุณชายผู้สูงส่งพร้อมกับที่แนะนำเมืองลั่วซีแก่นางอย่างสุภาพ
ไป๋หยุนเฟยค่อยๆ ลากร่างอันหนักอึ้งของตนกลับถึงบ้านก่อนจะผลักประตูที่โอนเอนเปิดออก ภายในบ้านคับแคบนี้มีเพียงเตียงสกปรกหลังเดียว แสงจันทร์สว่างส่องผ่านรูใหญ่โตนับไม่ถ้วนบนหลังคา ภายในบ้านจึงไม่มืดมิดนัก
ทุกอย่างที่ขายได้ล้วนถูกขายไปแล้ว เดิมทีมันยังมีบ้านอีกหลังอยู่ถัดออกไปแต่ก็ถูกขายไปแล้วเช่นกัน
ไป๋หยุนเฟยนั่งลงบนเตียง ดวงตามันจ้องมองหลังคาด้วยสายตาเหม่อลอย มันนวดคลึงร่างกายบริเวณที่ถูกทุบตีจนฟกช้ำ ระหว่างที่นวดเฟ้นน้ำตามันหลั่งไหลไม่ขาดสาย... คับแค้น อัปยศ ไร้กำลัง... แล้วอย่างไร? ไม่มีทางที่มันจะเปลี่ยนแปลงอันใด... ยามไป๋หยุนเฟยลูบคลำจี้หยกที่ห้อยอยู่บนอก น้ำตาของมันก็หยุดไหล นี่เป็จี้หยกขาวรูปก้อนเมฆขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือซึ่งถูกทำขึ้นมาหยาบๆ ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นล้วนต้องบอกได้ว่าไม่ใช่หยกเนื้อดี แต่เพราะแนบชิดกับิัและถูกมันลูบคลำมาหลายปีจึงเรียบลื่นมันวาวจนคล้ายจะสะท้อนแสงจางๆ... นี่เป็ของต่างหน้าเพียงอย่างเดียวที่มารดาของไป๋หยุนเฟยทิ้งไว้ให้
“มารดา... มีเหตุผลใดที่ข้าต้องใช้ชีวิตแบบนี้?” ไป๋หยุนเฟยเอ่ยปากพึมพำขณะที่มองจี้หยกอย่างสับสน
“วันหนึ่งเมื่อหยุนเฟยน้อยของมารดาเติบใหญ่จะเป็ดั่งเมฆขาวบนนภา ล่องลอยอย่างเสรีไร้กังวล...”
คำกล่าวที่เปี่ยมด้วยความรักของมารดาดังอยู่ข้างหูมันอีกครั้ง ไป๋หยุนเฟยปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้าก่อนจะตบหน้าตนเองโดยแรง
“ข้าไม่อาจเป็เช่นนี้ ใกล้จะถึงวันครบรอบวันเกิดของมารดาแล้ว ข้าต้องเก็บออมเงินทองเพื่อซ่อมหลุมศพมารดาและท่านปู่ ข้าไม่อาจให้มารดาเห็นข้าเป็ทุกข์ได้”
หลังจากสูดลมหายใจลึกๆ หลายครา ไป๋หยุนเฟยจึงค่อยสงบใจลงก่อนจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่มันเผชิญในวันนี้
“เกิดกระไรขึ้นกับข้า? บนถนน... ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่ตัวข้า ข้าไปล่วงเกินนายน้อยของตระกูลร่ำรวยได้อย่างไร...”
“แม้ยามนี้ข้ายังเป็ตัวข้า... แต่ก็คล้ายไม่คุ้นเคย มีบางอย่างแทรกเข้ามาในจิตใจข้า... ข้ารู้สึกถึงมันได้แต่ไม่อาจรับรู้อย่างชัดเจน”
“หรืออาจเป็เพราะข้าตรากตรำเกินไปจนเกิดประสาทหลอน? แต่ก่อนหน้าข้าก็ไม่รู้สึกผิดปกติอันใด”
ไป๋หยุนเฟยตบศีรษะตนเองโดยแรงอีกหลายครั้ง ราวกับพยายามจะค้นหาบางอย่างในหัวของตนเอง
“กระบวนการอัพเกรดไอเทม... มันคือกระไร?”
ทันใดเตียงที่นั่งอยู่ก็พลันโยกะเืจนมันแทบจะร่วงลงมา
“โอ๊ะ หลุดอีกแล้วหรือ? เตียงหลังนี้ช่าง...”
ไป๋หยุนเฟยก้มตัวลงมองขาเตียงด้านซ้ายที่สั้นกว่าปกติ เดิมทีใต้ขาเตียงจะมีวัตถุอย่างหนึ่งหนุนเอาไว้ แต่เมื่อครู่เพราะมันขยับเคลื่อนไหวบนเตียงจึงทำให้สิ่งนั้นหลุดออกไป
ไป๋หยุนเฟยหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาจากใต้เตียงก่อนจะเดาะเล่นด้วยมือ... จะเป็สิ่งใดหากไม่ใช่ก้อนอิฐ
เมื่อลุกขึ้นเตรียมจะวางก้อนอิฐรองใต้ขาเตียงอีกครั้ง แถบข้อมูลก็พลันปรากฏให้เห็นในความคิดของมัน
ระดับไอเทม: ธรรมดา
พลังโจมตี: 9
สิ่งจำเป็ในการอัพเกรด: แต้มิญญา 1 แต้ม
ทันทีที่แถบข้อมูลปรากฏให้เห็น มือมันก็สั่นระริกจนก้อนอิฐร่วงสู่พื้น พร้อมกับที่ข้อมูลในความคิดพลันหายไป
ไป๋หยุนเฟยมองไปรอบกายด้วยท่าทางหวาดหวั่น แต่สุดท้ายก็ไม่พบเห็นอันใด กระทั่งผ่านไปเนิ่นนานในที่สุดจึงรวบรวมความกล้าหยิบก้อนอิฐขึ้นมาอีกครั้ง และก็เป็ดังที่คาด แถบข้อมูลพลันปรากฏขึ้น เมื่อวางก้อนอิฐลงกับพื้น แถบข้อมูลในความคิดก็หายไป เมื่อยกก้อนอิฐขึ้นข้อมูลก็ปรากฏอีกครั้ง
“นี่มัน... เป็เื่จริงหรือนี่? แต่การอัพเกรดหมายความว่าอย่างไร?”
“อัพเกรด...”
เพียงแค่ความคิดปรากฏในหัวของไป๋หยุนเฟย มันก็รู้สึกจิตใจว่างโหวง ราวกับบางอย่างลึกลงไปในิญญาหลุดหายไป ช่างเป็ความรู้สึกที่สุดจะพรรณนาได้ แต่เพียงชั่วขณะความรู้สึกนั้นก็หายไป
“อัพเกรดสำเร็จ”
แถบข้อมูลกะพริบวาบในความคิด มันจึงรีบก้มลงมองก้อนอิฐในมืออีกครั้ง
ระดับไอเทม: ธรรมดา
ระดับการอัพเกรด: +1
พลังโจมตี: 9
พลังโจมตีเพิ่มเติม: 1
สิ่งจำเป็ในการอัพเกรด: แต้มิญญา 2 แต้ม
ไป๋หยุนเฟยรู้สึกว่าก้อนอิฐในมือราวกับจะหนักและแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันประสาทหลอนไปเองหรือไม่
“ข้อมูลบางอย่างเพิ่มขึ้น พลังโจมตี... แสดงถึงค่าพลังกระมัง? เมื่อข้าอัพเกรดพลังของมันก็เพิ่มขึ้น นี่มันอะไรกัน? หรือข้าจะฝันไป”
ไป๋หยุนเฟยกดไปยังบริเวณที่าเ็บนสะเอว ก่อนที่มันจะเ็ปแสนสาหัสจนต้องสูดลมหายใจสะท้านถึงสองครา... มันไม่ได้ฝันไป
“นี่... หรือจะเกี่ยวข้องกับที่ข้าทำตัวผิดแปลกไปเมื่อยามสนธยา?”
ไป๋หยุนเฟยเค้นสมองครุ่นคิดหาสาเหตุแต่ก็ไม่อาจปะติดปะต่อเื่ราว สุดท้ายจึงได้แต่จึงหักห้ามความคิด คล้ายว่าตนเองไม่ได้สูญเสียอันใด มันจึงรู้สึกย่ำแย่แต่อย่างใด
“หากข้าอัพเกรดต่อไป...จะเกิดอะไรขึ้น”
ความอยากรู้อยากเห็นนี้ผุดขึ้นในจิตใจของไป๋หยุนเฟยจนแทบไม่อาจห้ามใจ
“อัพเกรด”
ความรู้สึกราวหัวใจจะหยุดเต้นไปครึ่งจังหวะผุดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับที่ไป๋หยุนเฟยรีบก้มลงมองก้อนอิฐในมือ
“อัพเกรดสำเร็จ”
ระดับไอเทม: ธรรมดา
ระดับการอัพเกรด: +2
พลังโจมตี: 9
พลังโจมตีเพิ่มเติม: 2
สิ่งจำเป็ในการอัพเกรด: แต้มิญญา 3 แต้ม
ไป๋หยุนเฟยกวัดแกว่งก้อนอิฐก็รู้สึกราวกับจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
“ลองอัพเกรดอีกสักสองสามครั้งดู...”
จากนั้นไม่นาน...
“อัพเกรดสำเร็จ”
ระดับไอเทม: ธรรมดา
ระดับการอัพเกรด: +6
พลังโจมตี: 9
พลังโจมตีเพิ่มเติม: 6
สิ่งจำเป็ในการอัพเกรด: แต้มิญญา 7 แต้ม
แต่เมื่อไป๋หยุนเฟยอัพเกรดมันอีกครั้งผลลัพธ์กลับต่างออกไป
“อัพเกรดล้มเหลว”
“เอ๊ะ? ล้มเหลว? หมายความว่าอย่างไร?”
มันมองไปที่ก้อนอิฐ จึงได้เห็นระดับการอัพเกรดเปลี่ยนแปลงจาก +6 ไปเป็ +5
“ที่แท้ก็ล้มเหลวได้เช่นกัน... และเมื่อล้มเหลวระดับจะลดลงหนึ่งระดับ”
ในหัวไป๋หยุนเฟยเปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันหลงใหลสิ่ง “น่าสนใจ” นี้ราวเด็กชายได้ของเล่นแปลกใหม่
มันไม่ก้มมองข้อมูลหลังการอัพเกรดแต่ละครั้งอีก แต่กลับจ้องที่ก้อนอิฐในมือพลางเพ่งความคิดในใจไม่หยุด
“อัพเกรด”
“อัพเกรด”
“อัพเกรด”
ไป๋หยุนเฟยตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย แต่ขณะที่มันหมกมุ่นเพ่งความคิดในใจ จู่ๆ ก็พลันรู้สึกสมองเบาโหวงราวกับิญญาถูกสูบออก ความคิดมันกลายเป็เลอะเลือนพร้อมกับที่ล้มตัวลงบนเตียงอย่างแช่มช้า
ชั่วขณะที่จะหมดสติไป มันกลับรับรู้ได้อย่างเลือนรางว่ามีแถบข้อมูลวาบผ่านความคิด
“อัพเกรดสำเร็จ”
ระดับไอเทม: ธรรมดา
ระดับการอัพเกรด: +10
พลังโจมตี: 9
พลังโจมตีเพิ่มเติม: 16
ผลกระทบเพิ่มเติมระดับ +10: เมื่อจู่โจมมีโอกาส 1% ที่จะทำให้เป้าหมายมึนงงเป็เวลาสูงสุด 3 วินาที (เมื่อโจมตีศีรษะโอกาสทำให้มึนงงเพิ่มเป็ 5%)
“…”