เล่มที่ 2 บทที่ 42
หลังจากแม่นมฟางได้รับคำตอบจากมู่หรงฉิง นางก็หมุนตัวหันหลังและออกจากห้องไปหายวี้เอ๋อร์ให้มาดูแลรับใช้นายหญิง
ใน่เวลานี้ทุกครั้งที่มู่หรงฉิงมองยวี้เอ๋อร์ นางแทบจะอยากก้าวไปข้างหน้าเพื่อฉีกยวี้เอ๋อร์เป็ชิ้นๆ อย่างอดทนไม่ไหว เพียงแต่มันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม มากไปกว่านั้น นางไม่อาจเผยความแตกต่างในการปฏิบัติตัวต่อยวี้เอ๋อร์ได้
คล้อยหลังแม่นมฟางแล้ว แม่นมจิ่นคิดว่าในห้องอากาศค่อนข้างร้อน ดังนั้นจึงเดินไปที่มุมห้องเพื่อดูว่าก้อนน้ำแข็งใกล้ละลายหมดแล้วหรือไม่ ฝ่ายมู่หรงฉิงถือชามและดูเหม่อลอยอยู่หลายส่วน นางรู้สึกเหมือนมียุงบินผ่านใบหู นางถึงได้ยกมือขึ้นปัดมันออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่ด้วยความไม่ได้ตั้งใจ นางจึงทำต่างหูยาวสีเงินบนใบหูตกลงไปในชาม
ทีแรกมู่หรงฉิงก็ไม่สนใจอะไรมากนัก ขณะเดียวกันแม่นมจิ่นเห็นว่าก้อนน้ำแข็งเหลือไม่มากพอที่จะทำให้ภายในห้องเย็นลง นางก็รีบสั่งสาวใช้ให้ไปนำก้อนน้ำแข็งมาใหม่
ในจังหวะที่แม่นมจิ่นออกจากห้อง สายตาของมู่หรงฉิงกลับถูกดึงดูดโดยต่างหูในชาม
นางไม่ชอบแต่งตัวมากเกินไป ในบรรดาเครื่องประดับที่เรียบที่สุดของนางคือเครื่องเงินชิ้นนี้ มันมีสีสดใสสะอาดและสวยงาม แต่ไม่หรูหราเมื่อเทียบกับทองคำซึ่งมีประกายแสงเรืองรอง นางชอบความเรียบง่ายของเงินมากกว่า แน่นอนว่า มู่หรงฉิงชอบเครื่องประดับหยกด้วยเช่นกัน
เพียงแต่การที่มู่หรงฉิงหยุดสายตาดูไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่ว่านางชอบต่างหูชิ้นนี้ แต่เป็เพราะต่างหูกลายเป็สีดำหลังจากตกลงไปในชามบนเนื้อแตงโม
แตงโมมีพิษ
ข้อสรุปนั้นทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกเ็า
นี่เป็แตงโมที่แม่นมสองคนไปซื้อด้วยตัวเอง แตงโมจะมีพิษได้อย่างไร?
นางใมาก ครั้นได้ยินเสียงว่ามีคนเข้ามาก็รีบหยิบต่างหูซ่อนไว้ใต้หมอน ก่อนเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นแม่นมจิ่นถือก้อนน้ำแข็งกลับมา
แม่นมจิ่นวางก้อนน้ำแข็งก้อนใหม่ลงในอ่างเงิน จากนั้นเดินเข้ามาหามู่หรงฉิงและช่วยวีพัดเพื่อกำจัดความร้อน “อากาศร้อนมากจริงๆ ด้วยอากาศเช่นนี้ก้อนน้ำแข็งที่เพิ่งวางในตอนเช้าก็เกือบจะละลายหมดแล้ว”
มู่หรงฉิงยังคงใกลัวเนื่องจากแตงโมมีพิษ เมื่อเห็นแม่นมจิ่นเดินเข้าใกล้คล้ายกับวันปกติด้วยความสงบ มิหนำซ้ำยังหยิบพัดขึ้นมาโบกวีให้มู่หรงฉิงพร้อมชวนคุย ความสงสัยในใจของนางก็ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น
หยิบหนังสือบทกวีที่วางไว้ด้านข้างขึ้นมาด้วยท่าทางคล้ายไม่ได้ใส่ใจอะไร “ก็ใช่ อากาศร้อนใน่นี้ร้อนมากจริงๆ วันข้างหน้าแม่นมก็อย่าไปซื้อแตงโมด้วยตัวเองเลย สั่งให้บ่าวทำให้ก็ได้”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้” ครั้นได้ฟังแม่นมจิ่นก็มองสภาพแวดล้อมรอบๆ อย่างวิตกกังวลใจทันที หลังจากมองออกไปยังด้านนอกหน้าต่าง นางได้หันมากระซิบบอกว่า “บ่าวมักรู้สึกว่าในจวนเฉินไม่มีคนดีอยู่เลย อาหาร ของกินพวกนี้บ่าวไปซื้อเองจะดีกว่า จะได้สบายใจด้วย”
สบายใจหรือ? มู่หรงฉิงนึกใ นี่อาจไม่เป็ความจริง
นางพลิกหนังสือไปอีกหน้าทว่าในใจของมู่หรงฉิงกลับต่างไปจากเดิม ถึงกระนั้นก็ยังเปล่งเสียงเชิงเห็นด้วย “ก็จริงนะ แม่นมเป็คนรอบคอบจริง” พูดจบ นางจึงทอดมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เห็นดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงจ้าด้านนอกหน้าต่าง มองดูก็รู้สึกแสบตา นางถึงถอนสายตาเลื่อนไปมองแม่นมจิ่น “ยวี้เอ๋อร์ เ้าเด็กคนนั้นลำบากแทนข้าแล้ว แตงโมนี้ขาดยวี้เอ๋อร์ไม่ได้เป็แน่”
“คุณหนูใหญ่ก็ตามใจเ้าเด็กคนนั้นเกินไป” แม่นมจิ่นแสร้งทำเป็เตือน แต่น้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความใจดีอย่างมาก “ทันทีที่ยวี้เอ๋อร์เ้าเด็กคนนั้นกลับมา นางบังเอิญเห็นบ่าวกับแม่นมฟางกำลังถือแตงโมคนละลูก นางก็เหมือนแมวตะกละเข้ามาหาพร้อมสายตาเป็ประกาย แม้ว่าตอนนี้นางยังไม่ได้กิน แต่นางก็เป็คนถือแตงโมและแช่เย็นให้”
หลังจากฟังคำบอกเล่า มู่หรงฉิงถึงกับพูดพึมพำในใจ ปรากฏว่าเป็ไปตามที่คาดคิดไว้ ยวี้เอ๋อร์เป็คนลงมือทำจริงๆ ด้วย
เพียงแต่ยวี้เอ๋อร์ลงมือทำได้อย่างไร? นางใส่ยาอะไรลงไปในแตงโมหรือ? หลังจากเข้ามาในจวนเฉิน ยวี้เอ๋อร์ก็ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดว่านางคงจะรีบร้อนมาก มิหนำซ้ำตอนนี้ยวี้เอ๋อร์ยังวางยาให้นางกินโดยตรง อีกฝ่าย้าจะทำอะไรหรือ?
มู่หรงฉิงย้อนนึกถึงถ้อยคำกลับถูกเป็ผิดของยวี้เอ๋อร์ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า ถัดจากนั้นก็เปลี่ยนตาข่าย ในการลงมือคราวแรก มันไม่มีอะไรมากไปกว่า้าให้นางเสียหน้าในจวนเฉิน เพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินมีอคติต่อนาง ส่วนการลงมือคราวที่สองย่อมไม่มีอะไรมากไปกว่า้าให้จ้าวจื่อซินหยุดปกป้องนาง
เมื่อแม่ใหญ่ที่มีอำนาจในจวนสองคนมีอคติต่อนาง กอปรกับจ้าวจื่อซินไม่ปกป้องนางอีกต่อไป นั่นจะมีประโยชน์อะไรสำหรับยวี้เอ๋อร์?
ย้อนกลับไปพิจารณาถึงประเด็นแรก ถ้ามู่หรงฉิงไม่ได้เป็ที่ยอมรับในจวนเฉิน นางจะต้องรู้สึกไขว้เขวอย่างแน่นอน แต่งกับสามีโง่งม ซ้ำร้ายถ้าไม่คลุ้มคลั่งก็โง่งม และทุกครั้งที่คลุ้มคลั่งขึ้นมายังอาจถึงขั้นปลิดชีวิตคน ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็ใครก็ตาม ย่อมต้องมีความขุ่นเคืองในใจ หากถูกแม่ใหญ่ที่มีอำนาจในจวนสองคนรังเกียจอีก ย่อมต้องรู้สึกน้อยใจระคนเสียใจอย่างมหันต์
แต่หากนึกถึงอากัปกิริยาเป็ห่วงระคนวิตกกังวลของแม่รองเฉินในวันนั้น มู่หรงฉิงก็เข้าใจในทันที
ใช่แล้ว! หากก้าวแรกสำเร็จลุล่วง นางจะต้องได้รับการช่วยเหลือจากแม่รองเฉินอย่างแน่นอน เพียงแต่ แผนการแรกถูกเฉินเทียนหยูทำลายไปเสียก่อน จากนั้นยวี้เอ๋อร์ก็เคลื่อนไหวครั้งที่สอง โดยหวังจะใช้ประโยชน์จากจ้าวจื่อซิน
ชายผู้นั้นไม่ชอบใกล้ชิดกับผู้หญิง ส่วนเมื่อคืนนางเกือบจะถูกเฉินเทียนหยูทุบตีตาย ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีความคิดอันชัดเจน นางคงจะรีบไปหาจ้าวจื่อซินขณะที่เสื้อผ้ายังไม่เรียบร้อยเป็แน่แท้
อนุหลายคนในอดีตที่ผ่านมากลายเป็ิญญาภายใต้ดาบก็ด้วยสาเหตุที่พวกนางไปหาจ้าวจื่อซิน แต่อย่างไรก็ดี ตอนนี้นางเป็ภรรยาเอกของเฉินเทียนหยูซึ่งแตกต่างจากอนุที่ไม่มีสถานะเ่าั้ และอย่างน้อย นางก็ยังเป็บุตรสาวของขุนนาง จ้าวจื่อซินจะคิดฆ่านางตามใจ้าได้อย่างไร
ดังนั้นแม้ว่าจ้าวจื่อซินจะไม่ฆ่านาง แต่เขาย่อมทำให้นางใช้ชีวิตอย่างลำบากอยู่ดี หากมีคน ‘บังเอิญ’ พบเห็นนางไปหาจ้าวจื่อซินในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย และนำไปรายงานให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบ ถึงเวลานั้นนางจะต้องสูญเสียทุกอย่างจริงๆ
หากเป็กรณีนั้นสถานะของนางในจวนเฉินย่อมต้องลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยสาเหตุข้างต้นถ้าแม่รองเฉินเข้ามาปลอบโยนนาง เกรงว่านางจะต้องตกอยู่ในการควบคุมของแม่รองเฉิน
ความคิดเ่าั้ทำให้มู่หรงฉิงฉุกคิดขึ้นมาได้อีกหนึ่งสิ่ง ทุกการกระทำของยวี้เอ๋อร์ไม่ใช่เพราะ้าผูกนางไว้กับแม่รองเฉินหรือ แต่ทำไมยวี้เอ๋อร์ถึงต้องทำเช่นนั้น? เนื่องจากอนุหนิงได้วางยาพิษนางไปแล้ว ถ้านางไม่ได้พบกับหมอเทวดา นางก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว บางทียวี้เอ๋อร์อาจจะรู้เหตุผล เ้าตัวถึงได้รีบร้อนเป็อย่างมาก อีกฝ่ายเริ่มดำเนินแผนการในวันที่สองหลังจากที่นางแต่งงานเข้ามาในจวนเฉิน
เพียงแต่ทำไมอนุหนิงจะต้องมัดนางเข้ากับแม่รองเฉินด้วยล่ะ? หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง แม่รองเฉิน้าให้นางทำอะไรที่ซ่อนเร้นหรือไม่?
มู่หรงฉิงรู้สึกว่า นางจำเป็ต้องไปพบกับแม่รองเฉิน บางทีข้อสงสัยทั้งหมดอาจได้รับคำตอบจากแม่รองเฉิน
เพียงแต่ว่านี่ไม่ใช่เวลาในการแก้ปัญหา สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือ แตงโมมีพิษชนิดใด? ั้แ่กินแตงโมจนถึง ณ เวลานี้ นางก็ไม่มีอาการต้องพิษแม้แต่น้อย หรือมันไม่ใช่ยาพิษ? แต่ถ้าไม่ใช่พิษ ทำไมต่างหูนั่นถึงเปลี่ยนเป็สีดำได้ล่ะ?
มู่หรงฉิงกำลังถือหนังสืออยู่ในมือ แต่จิตใจของนางกลับไม่ได้อยู่ที่หนังสือแม้แต่เศษเสี้ยว นางแทบไม่มีกะจิตกะใจที่จะอ่านหนังสือ แต่นั่นกลับทำให้แม่นมจิ่นหัวเราะคิกคัก “ยวี้เอ๋อร์เ้าเด็กคนนั้นให้คำสาบานที่น่าเชื่อถือว่า ในเวลานี้อากาศร้อนมาก หากคุณหนูใหญ่ได้กินแตงโมเย็นฉ่ำ คุณหนูใหญ่จะต้องรู้สึกสดชื่นและงีบหลับยามกลางวันได้สบายอย่างแน่นอน ทว่าในเวลานี้บ่าวก็ยังเห็นว่าคุณหนูดูเต็มไปด้วยพลัง”
คำพูดของแม่นมจิ่นทำให้มู่หรงฉิงตาสว่าง ยวี้เอ๋อร์บอกว่า ถ้านางกินแตงโม นางจะงีบหลับสบายๆ หรือว่ายาพิษในแตงโมจะเป็ยาพิษที่ทำให้นางง่วงนอนและตื่นยาก?
คิดได้ดังนั้น มือของมู่หรงฉิงดูเหมือนจะไม่สามารถถือหนังสือกวีที่เบาหวิวได้อีกต่อไป หนังสือจึงตกลงไปที่พื้น และแม่นมจิ่นก็ปรี่เข้าไปช่วยประคองมู่หรงฉิง “เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูใหญ่? คุณหนูใหญ่ไม่สบายตรงไหนหรือ?”
มู่หรงฉิงโบกมือด้วยท่าทางเหนื่อยล้า “ไม่เป็ไร แค่อ่านแล้วก็รู้สึกว่าเปลือกตาหนักมากขึ้น เป็เื่ยากที่จะอ่านต่อไปแล้ว”
ครั้นฟังคำพูดเ่าั้ แม่นมจิ่นก็รีบวางพัดไว้ด้านข้าง ก่อนช่วยประคองมู่หรงฉิงให้นอนราบบนเก้าอี้ยาว “ดูเหมือนว่ายวี้เอ๋อร์เ้าเด็กคนนั้นพูดถูกแล้ว เวลานี้เป็เวลาที่ดีสำหรับการงีบหลับจริงๆ”
“ใช่...” มู่หรงฉิงตอบเบาๆ ก่อนเอนตัวลงนอนตะแคงโดยหันหน้าเข้ากำแพงและหันแผ่นหลังออกด้านนอก ก่อนลมหายใจของนางจะค่อยๆ สงบลง
แม่นมจิ่นเห็นว่ามู่หรงฉิงผล็อยหลับไปในไม่ช้า ก็ถอนหายใจอย่างลำบากใจ นางหยิบพัดขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะโบกพัดเบาๆ ให้มู่หรงฉิง
หลังจากเวลาผ่านไปถึงสี่เค่อถึงได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ มาจากนอกบ้าน จากนั้นยวี้เอ๋อร์ก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นมู่หรงฉิงนอนหลับอยู่บนเก้าอี้ยาวอย่างสงบ แววตาของนางจึงเป็ประกาย นางเดินไปหาแม่นมจิ่นและพูดด้วยเสียงเบา “วันนี้แม่นมเหนื่อยมากแล้ว แม่นมไปพักผ่อนก่อนเถอะ ทางนี้เดี๋ยวข้าจะดูแลเอง"
แม่นมจิ่นหันไปมองมู่หรงฉิงผู้ซึ่งนอนหลับอย่างสงบอยู่ด้านข้าง จากนั้นหันมองยวี้เอ๋อร์ผู้ใสซื่อ ก่อนพยักหน้าพลางตอบด้วยเสียงเบา “เ้าดูแลก่อนเถอะ ข้าจะไปเตรียมอาหาร ข้าจะทำข้าวต้มใบบัวสดสำหรับอาหารค่ำ วันนี้อากาศร้อน เกรงว่าความอยากอาหารของคุณหนูจะไม่ค่อยดี”
“แม่นมช่างคิดได้รอบคอบจริงๆ” ยวี้เอ๋อร์หยิบพัดพร้อมกับพูดประจบสอพลอแม่นมจิ่น หลังจากแม่นมจิ่นพูดว่า “เ้าคนฉลาด” หญิงสูงวัยจึงยิ้มแย้มและเดินออกจากห้องอย่างแ่เบา
ครั้นแม่นมจิ่นเดินห่างออกไปไกลแล้ว ยวี้เอ๋อร์ก็วางพัดลง ในตอนแรกนางเดินไปดูที่หน้าต่างด้านข้าง จากนั้นจึงปิดบานหน้าต่างไว้โดยที่ไม่ลงกลอนแต่อย่างใด ก่อนจะเดินกลับไปที่เก้าอี้ยาว และกระแอมไอไปทางด้านนอกหน้าต่าง
ภายในห้องมีหน้าต่างอยู่สองบาน หน้าต่างบานที่ยวี้เอ๋อร์เพิ่งปิดโดยไม่ได้ลงกลอนนั้นหันไปทางเรือนด้านนอก ในยามที่แสงแดดสว่างจ้า เหล่าสาวใช้จะไม่ออกมาตากแดดให้ตัวเองกลายเป็ปลาแห้ง นอกจากนั้นบริเวณที่มู่หรงฉิงนอนหลับอยู่ หันไปทางหน้าต่างของสวนด้านหลังเรือนซึ่งมีต้นไม้สูงตระหง่าน และไม่ไกลนักก็คือลานสนามหญ้ากับวงเวียนของลานสนามหญ้าเป็สระหิน
แม้ว่าห้องพักผ่อนสำหรับบ่าวจะอยู่ทางสวนด้านหลังแต่ห่างไกลจากลานนี้มาก หากมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง จะเห็นเพียงหินกองอยู่เหนือน้ำที่ไหลริน และบางครั้งจะเห็นปลาไนลอยอยู่ใต้ใบบัว ทำให้เกิดระลอกคลื่น
ยวี้เอ๋อร์กระแอมไอออกมา จากนั้นชายในชุดคลุมสีเทาก็ปรากฏตัวออกมาจากทางด้านหลังก้อนหิน ชายผู้นั้นมองไปทางซ้ายและทางขวาด้วยท่าทางหลบๆ ซ่อนๆ หลังจากรับรองได้ว่าไม่มีใคร เขาก็เดินเข้ามาด้วยความว่องไว
มู่หรงฉิงนอนตะแคงอยู่บนเก้าอี้ยาวครั้นได้ยินเสียงไอของยวี้เอ๋อร์ นางรู้ทันทีว่ายวี้เอ๋อร์พร้อมที่จะลงมือทำอะไรอีกหน จากนั้นจึงรู้สึกว่ามีเงาพุ่งลงมา ถึงแม้นางอยากจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กระนั้นนางก็ไม่กล้าที่จะลืมตาเนื่องจากกลัวว่าจะเป็การแหวกหญ้าให้งูตื่น
“คุณชายหานเปี่ยวเข้ามาในห้องก่อน อย่ายืนน้ำลายสออยู่ตรงนั้นเลย” เมื่อเห็นผู้มาเยือนนั่งยองๆ อยู่ที่หน้าต่างพร้อมจ้องมองมู่หรงฉิง ยวี้เอ๋อร์จึงรีบก้าวไปข้างหน้าและดึงให้คนะโเข้ามาในห้อง ก่อนจะปิดบานหน้าต่างพร้อมลงกลอนอย่างแ่า
มู่หรงฉิงใทันทีที่ได้ยินคำพูดของยวี้เอ๋อร์ คุณชายหานเปี่ยว? ซูมู่หานหรือ? เป็เขาได้อย่างไรหรือ? เขาเข้ามาได้อย่างไร?
“ยวี้เอ๋อร์คนดี คราวนี้รับรองได้แล้วว่าจะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่? อย่าให้คนเข้ามาก่อกวนจนเสียงานเสียการเหมือนคราวที่แล้วเชียวล่ะ” คราวที่แล้วเขาถูกเฉินเทียนหยูชกจนได้รับาเ็ ซูมู่หานรู้สึกว่ามันไม่คุ้มอย่างมาก
“ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เฉินเทียนหยูคนนั้นถูกจ้าวจื่อซินพาออกจากจวนไปแล้ว ส่วนคนที่เหลือไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็เพียงผู้หญิง คุณชายหานเปี่ยวกลัวพวกผู้เฒ่าเ่าั้หรือ?”
จบคำถามของยวี้เอ๋อร์ ซูมู่หานก็เหยียดแผ่นหลังตรงทันที “ผู้หญิงพวกนั้นเป็ตัวอะไรเชียว? ต่อให้พวกนางมาที่นี่ เปิ่นซ่าวแหย่ก็ไม่กลัว ถึงแม้ว่าตระกูลเฉินจะได้ชื่อว่าเป็ตระกูลทำ ‘กิจการหลวง’ แต่นายท่านในจวนของพวกเราก็ดำรงตำแหน่งเป็ช่างชูประจำกรมโยธาธิการ มีคำกล่าวที่ว่า คนจนไม่ต่อสู้กับคนรวย และคนรวยก็ไม่ต่อสู้กับขุนนาง ถ้าฉิงเอ๋อร์อยู่ในจวนกวงลู่ซื่อชิง ข้าย่อมต้องคิดให้มาก ถึงอย่างไรก็เป็ญาติกันโดยการแต่งงาน แต่เมื่อมาถึงจวนเฉิน นั่นคือสิ่งที่ทำให้เปิ่นซ่าวแหย่ได้ทำตามที่ปรารถนา”