รถม้าจอดสนิท หนิงมู่ฉือวิ่งหนีออกมาราวกับลี้ภัย
“กลับมาประเดี๋ยวนี้ เ้าจะรีบร้อนด้วยเหตุใด หากไม่มีซื่อจื่ออย่างข้าคอยนำทาง จนฟ้ามืดเ้าก็ไม่มีทางได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้เป็แน่”
จ้าวซีเหอคว้าคอเสื้อด้านหลังของหนิงมู่ฉือเอาไว้ หนิงมู่ฉือทำท่าวิ่ง แต่ไม่อาจเคลื่อนไปข้างหน้าได้ จึงถูกจ้าวซีเหอลากเข้าวังราวกับหิ้วไก่ตัวหนึ่ง
หนิงมู่ฉือยังไม่ทันได้พบหน้าคนที่สั่งฆ่าล้างสกุลนาง...จ้าวเจี้ยนเจิน กลับถูกขันทีผู้หนึ่งพาไปยังห้องครัวเสียก่อน
“ฮ่องเต้มีรับสั่งว่า นอกจากขาหมูเย็นแล้ว ให้เ้าทำอาหารอย่างอื่นอีกสิบห้าอย่าง และต้องไม่ซ้ำกัน”
หนิงมู่ฉือรับคำสั่งอย่างว่าง่ายก่อนจะเริ่มเตรียมวัตถุดิบ ขณะมองวัตถุดิบสมองนางปรากฏความคิดมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็ต้องทำอย่างไรถึงจะสังหารฮ่องเต้สุนัขได้โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ทว่าเมื่อคิดถึงว่าตอนนี้นางคือคนของตำหนักอ๋องเป่ยเยียน นางออกอาการลังเล นางต้องโทษปะาก็ไม่เป็ไร แต่ถ้าทำให้ตำหนักอ๋องต้องมาเดือดร้อนไปด้วย นางคงจะรู้สึกผิดมหันต์ไปตลอดชีวิต!
ขบคิดไปมา ท้ายสุดจึงละทิ้งโอกาสที่จะได้แก้แค้นในครั้งนี้ ทว่านางก็ไม่อยากให้ฮ่องเต้สุนัขได้ชิมอาหารเลิศรสของนางเช่นกัน นางจึงตั้งใจทำออกมาให้แย่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ฮ่องเต้สุนัขได้เสวยรอบหนึ่งแล้วไม่อยากเสวยอีกเป็รอบที่สอง
เมื่ออาหารถูกนำขึ้นโต๊ะ นางถูกพาตัวไปด้วย นางคาดเดาว่า คงเป็เพราะอาหารรสชาติแย่มาก ฮ่องเต้จึงจะสั่งลงโทษนาง
นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจิน เป็บุรุษหน้าตาหล่อเหลา ทว่าคิ้วยังคงมีความน่าเกรงขามเยี่ยงราชันย์
เพียงแค่เหลือบมองแวบเดียว นางรู้สึกหวาดกลัวจนแทบจะรับไม่ไหว ไม่กล้าทำเื่บุ่มบ่าม
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินหาได้สนใจไม่ ครั้นลองทานอาหารอย่างอื่นจนครบ รีบลองชิมขาหมูเย็นอย่างอดใจรอไม่ไหวอีกต่อไป
เมื่อนำเข้าปาก ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินมีสีหน้าประหลาด หากก็ไม่ได้พ่นออกมา หลังจากกลืนลงคอถึงค่อยหันไปทอดพระเนตรหนิงมู่ฉือที่ยังคงก้มหน้าอยู่ที่เดิม
“เราได้ยินว่าในตำหนักท่านอามีแม่ครัวที่มีฝีมือล้ำเลิศ ดูท่าเราคงไม่มีวาสนาได้ชิมสินะ”
หนิงมู่ฉือตัวแข็งทื่อ กำลังจะเอาผิดนางแล้วใช่หรือไม่
“เ้าชื่อหนิงมู่ฉือใช่หรือไม่ หนิง สกุลหนิง ทำให้เรานึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่าเ้าเคยได้ยินชื่อแม่ทัพใหญ่หนิงจื้อหย่วนหรือไม่ น่าเสียดาย ทั้งๆ ที่มีความดีความชอบมากมาย กลับต้องถูกฆ่าล้างสกุลเพียงเพราะทำให้การศึกล่าช้า”
เดิมหนิงมู่ฉือยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง หากพอได้ยินประโยคหลัง มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำหมัดแน่น จนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ
ความเจ็บที่ได้รับเป็เพียงสิ่งเดียวที่ยังคงทำให้นางประคองสติได้ ไม่พุ่งเข้าไปสังหารศัตรูที่อยู่ตรงหน้า
“เราได้ยินว่า…”
“ฝ่าา ฝ่าาช่างน่าสนใจดีแท้ ยังไม่ทันถึงเวลาเสวยพระกระยาหารเที่ยงเลย หรือทรงหิวแล้ว ทั้งยังให้คนไปนำสาวใช้ข้างห้องของกระหม่อมมาที่นี่อีก นางผู้นี้ไม่ค่อยมีกฎระเบียบสักเท่าใด คงมิได้ล่วงเกินฝ่าาใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้เอง จ้าวซีเหอก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาคว้าตัวหนิงมู่ฉือเข้าไปกอด ท่าทางประหนึ่งอันธพาล
“ซีเหอ นับวันเ้ายิ่งทำตัวไร้กฎระเบียบขึ้นทุกวัน แม้เราไม่ถือสาหาความกับเ้า แต่เ้าก็ควรให้ความเคารพเราในฐานะฮ่องเต้สักหน่อย กอดสาวต่อหน้าเราเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน”
มือข้างหนึ่งของจ้าวซีเหอเลื่อนไปจับมือของหนิงมู่ฉือเอาไว้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย บังคับประสานนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน เพื่อให้หนิงมู่ฉือผ่อนคลาย
“ฝ่าา กระหม่อมมิได้เพิ่งหลงนางสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างในห้องนี้ไม่มีคนนอก ฝ่าาอย่าถือสากระหม่อมเลยนะพ่ะย่ะค่ะ คนฝ่าาก็ได้เจอแล้ว พระกระยาหารก็ได้เสวยแล้ว เช่นนั้นกระหม่อมพานางไปได้หรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าปกป้องนางเสียจริง”
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งรับสาวใช้ข้างห้องนางนี้เข้ามา ทั้งยังทำอาหารได้อีก กระเพาะของกระหม่อมไม่อาจขาดอาหารฝีมือนางได้พ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวซีเหอพูดคุยสัพเพเหระกับฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินอีกสองสามประโยคถึงค่อยพาหนิงมู่ฉือออกจากวัง
เดินมาถึงรถม้า จ้าวซีเหอที่ไม่สนใจอาการดิ้นรนของหนิงมู่ฉือ เขาอุ้มนางขึ้นรถม้าก่อนจะตามขึ้นไป
รถมาออกวิ่ง จ้าวซีเหอกดนางไว้กับเบาะนุ่ม
จมูกของทั้งสองห่างกันเพียงแค่คืบ ต่างฝ่ายต่างรับรู้ได้ถึงลมหายใจอันร้อนผ่าวของกันและกัน
“เ้านี่ช่างดื้อรั้นเหลือเกิน ข้าเคยเตือนเ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าได้เกิดความคิดที่ไม่ควรคิดอีก หรือรังเกียจที่ตัวเองมีชีวิตยืนยาวเกินไป”
“บ่าวไม่เข้าใจว่าซื่อจื่อหมายถึงอันใดเ้าค่ะ”
“เฮอะ! กล้าแกล้งทำเป็ไม่รู้เื่ต่อหน้าข้าเชียวหรือ แผนของเ้านั้น อย่าว่าแต่ข้าที่ดูออกเลย แมวหมาที่ไหนก็เดาได้ทั้งนั้น”
หนิงมู่ฉือได้ยินประโยคนี้ทำให้รู้สึกไม่ยินยอมยิ่ง ตาจ้องจ้าวซีเหอเขม็ง
จ้าวซีเหอไม่รู้ว่าเป็อารมณ์ชั่ววูบจากที่ใด เขารู้สึกว่าจู่ๆ หญิงสาวตรงหน้าเหมือนมีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาด ทำให้เขาเกิดความคิดอยากจะจุมพิตนางขึ้นมา
ซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องเป่ยเยียนคือผู้ที่ขึ้นชื่อว่าไม่มีเื่ใดที่ไม่กล้าทำ ไหนเลยจะคิดมาก อยากจูบก็จูบ ไม่เปิดโอกาสให้หนิงมู่ฉือได้ปฏิเสธ
หนิงมู่ฉือถูกเอาเปรียบ คิดจะอ้าปากร้องปฏิเสธ หากนั้นเท่ากับเป็การเปิดโอกาสให้จ้าวซีเหอแทรกลิ้นเข้ามา
ริมฝีปากทั้งคู่ต่อสู้พัวพันกันเนิ่นนาน กระทั่งหนิงมู่ฉือหายใจไม่ออก จ้าวซีเหอถึงยอมปล่อยให้เป็อิสระ
“รสชาติของเ้าหวานยิ่งกว่าสุราร้อยบุปผาที่ข้าเคยดื่มเสียอีก”