Chapter 12
ณ ร้านอาหารที่ Here Sport Club
เด็กหนุ่มที่ดูแล้วน่าจะมีอายุราว ๆ ยี่สิบปีกำลังเดินมุ่งตรงไปเก็บแก้วที่โต๊ะกลม หลังจากลูกค้าเพิ่งลุกออกไป หากคนไม่รู้จักเห็นตี๋ทำงานที่ร้านอาหารงก ๆ แบบนี้ พวกเขาก็คงคิดว่าไอ้ตี๋คนนี้เป็พนักงานในร้านแน่ ๆ แต่ความจริงเขาเป็ถึงลูกชายคนเล็กของเ้าของสปอร์ตคลับเชียวนะ
แต่แล้วยังไง...เพราะพ่อของเขาพูดเสมอว่า ‘อย่าแบ่งแยกว่าเราคือเ้าของกิจการแล้วพวกเขาเป็แค่พนักงาน เพราะถ้าเราไม่มีพวกเขาช่วย กิจการของเราก็ไม่ได้เติบโตมาขนาดนี้ พวกเขาทำงานหนักแค่ไหน เ้าของอย่างเราต้องยิ่งทำงานหนักกว่า และป๊าก็อยากให้ลูก ๆ จำไว้ว่า…ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร พวกเราก็คือคนเท่ากันหมด’
เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ตี๋ก้มหน้าทำงานโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ เขายกถาดสีขาวที่วางแก้วเปล่าสองใบขึ้นมาหลังจากเช็ดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินเอาถาดไปเก็บในครัว แล้วตี๋ก็เห็นพนักงานสาวคนหนึ่งรีบวิ่งมาหา
“คุณตี๋ ให้พี่ช่วยนะคะ”
“ไม่เป็ไรครับพี่”
“เมื่อกี้พี่ไปเข้าห้องน้ำมา ก็เลยไม่ทันเห็นว่าลูกค้าโต๊ะนี้เช็กบิลกลับไปแล้วน่ะค่ะ”
ตี๋รู้ว่าเธอกลัวโดนตำหนิ เขาจึงเอ่ยเพื่อให้เธอสบายใจ “พี่ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ปกติเวลาตี๋ไม่มีเรียน ตี๋ก็ต้องมาทำงานที่ร้านอยู่แล้ว”
“...”
“ช่วย ๆ กันครับ”
พนักงานสาวที่มีอายุมากกว่าเขาพอสมควรเผยรอยยิ้ม ก่อนเอ่ย “ขอบคุณนะคะคุณตี๋”
ตี๋ส่งยิ้มกลับไปให้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินถือถาดแก้วน้ำออกมาจากบริเวณนั้น แต่ทว่าพี่ชายของเขาที่นั่งขมวดคิ้วคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ทำให้ก้าวเท้าช้าลง ตี๋จ้องมองพี่ที่นั่งอยู่ตรงบริเวณเคาน์เตอร์เก็บเงิน
“คุณเฮียเป็แบบนี้ั้แ่คุณบัวออกไปแล้วค่ะ”
ประโยคคำพูดของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเรียกความสนใจจากเขาได้เป็อย่างดี ตี๋ชะงักฝีเท้าแล้วหันไปมองพนักงานสาวที่เดินมาหยุดยืนขนาบข้าง ก่อนเอ่ยถามเสียงแ่เบา
“นายปวีร์เป็แบบนี้ั้แ่ม้าออกไปข้างนอกเลยเหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ นั่งคิ้วขมวดเป็โบมาได้สักพักแล้วค่ะ”
“พี่ครับ...งั้นตี๋คงต้องฝากพี่เอาถาดไปเก็บให้หน่อยแล้วครับ”
“...”
“เดี๋ยวตี๋ต้องขอตัวไปเช็กอาการนายปวีร์ตัวดีก่อน”
“ได้เลยค่ะ”
เขายื่นถาดกลมให้พนักงานสาว ก่อนจะสาวเท้าเดินมาหยุดยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ แต่พี่ชายตัวดีที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไรก็ยังไม่รู้สึกตัว เ้าตัวเอาแต่ขมวดคิ้วพลางทอดสายตามองออกไปนอกร้าน
และระหว่างที่ตี๋มองพี่ชาย เขาก็นึกย้อนถึงแผนการที่ผู้เป็แม่เล่าให้ฟังว่า ‘วันนี้พี่เรียวจะต้องไม่เจอกับนายปวีร์หนึ่งวัน เพราะต้องแกล้งไปรับนะโมที่สนามบิน แล้วพรุ่งนี้พี่เรียวถึงมาหานายปวีร์ ก่อนจะพานายปวีร์กับนะโมไปกินข้าวด้วยกัน’
แผนมันก็ยังดำเนินไปไม่ถึงตอนที่พี่ชายของเขาต้องเจอกับศัตรูหัวใจเลย แล้วทำไมเ้าตัวถึงได้ดูคิดหนักั้แ่วันนี้นะ คนตรงหน้าที่ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนจ้องมองอยู่ทำให้ตี๋ต้องกระแอมกระไอเรียกสติ
“อะแฮ่ม!”
“...”
“อะแฮ่ม!!”
“ตีนติดคอเหรอไอ้ตี๋?” พี่ชายเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะหันมามองเขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์
ตี๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนเอ่ย “ปากดีแบบนี้ คงไม่ต้องเป็ห่วงแล้วสินะ”
“เป็ห่วง?”
“...”
“กูได้ยินไม่ผิดใช่ไหมตี๋?”
“โหยหาคำว่าเป็ห่วงอะไรขนาดนั้นอะ”
“ก็เพราะน้องอย่างมึงไม่เคยพูดแบบนี้กับกูเลยไง”
“อะไรวะ? ...อยู่ดี ๆ ก็ลากเข้าดราม่าเฉย”
“...”
“ไม่เป็ไรก็ดีละ ไปทำงานต่อดีกว่า เดี๋ยวม้ากลับมาแล้วเห็นร้านไม่เรียบร้อยจะโดนบ่นเอา”
“เดี๋ยว ไอ้ตี๋!”
คนโดนเรียกรั้งหยุดฝีเท้า ก่อนจะหันไปสบตากับพี่ชาย “ตี๋...ป๊าตั้งชื่อให้ว่าตี๋ ไม่ใช่ไอ้ตี๋โว้ย”
“เออ ๆ นั่นแหละ” นายปวีร์ที่โคตรกวนบาทาพูดปนหัวเราะ ก่อนเอ่ยต่อ “...กูขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“คำถามละสองแสน โอนเข้าบัญชีมาเลย”
“งั้นไปเลย...เชิญเดินไปสู่ประตูนรกของมึงเลย”
ตี๋หัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ย “เออ...ถามมา”
พี่ชายนั่งเงียบไปชั่วครู่เมื่อเขาเปิดโอกาสให้ถามได้ เ้าตัวดูลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามออกมา...
“ถ้านาย A ชมนาย B ว่าน่ารักที่สุด แต่ชมนาย C แค่ว่าน่ารักดี”
“...”
“มึงว่ามันจะมีสิทธิ์ไหมวะที่วันหนึ่งนาย A จะมองนาย C น่ารักกว่านาย B?”
ขอประมวลผลเป็ความจริงแป๊บ...
พี่เรียวเนี่ย ชมนายปวีร์ว่า ‘น่ารักที่สุด’ แล้วก็ชมนะโมว่า ‘น่ารักดี’
แล้วพี่ของเขาก็กลัวว่าวันหนึ่งพี่เรียวจะมองว่านะโมน่ารักกว่าตัวเอง
โธ่ถัง! พี่กู
เริ่มหวงเพื่อนแล้วสินะ
ตี๋ทำหน้าครุ่นคิด ก่อนเอ่ย “มันก็มีสิทธิ์นะ ถ้าไอ้คนที่น่ารักที่สุดมันอยู่นิ่ง ๆ ไม่ยอมทำคะแนนเพิ่มอะ”
“...”
“ถ้ายังปล่อยให้คนที่ก็แค่น่ารักดีทำคะแนนต่อไป สักวันนาย A ก็อาจจะเปลี่ยนมุมมองใหม่”
“เหรอวะ?”
“ก็...คงอย่างนั้นแหละ”
เฮียขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเอ่ยเสียงดังฟังชัด “ไม่ได้การแล้ว!”
“...”
“ไอ้ตี๋!”
“แค่ตี๋โว้ยย...”
“กูฝากร้านด้วยนะ”
“เฮ้ย! อะไรอะ?! ม้าก็ยังไม่กลับมาเลย แล้วเฮียจะไปไหน?”
“กูจะไปทำคะแนน...” พี่ชายพูดขึ้น แล้วก็เดินออกมาจากเคาน์เตอร์ เ้าตัวยื่นมือข้างหนึ่งมาตบไหล่เขาเบา ๆ “...ฝากร้านด้วยนะ ไอ้น้องรัก”
“ฮะ เฮ้ย! ไม่ได้ดิ...นะ นายปวีร์” ตี๋เอ่ยเรียกพี่ชายอย่างกระอึกกระอัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วก็คิดว่า...
แม่งเอ๊ย!
ไม่น่าให้คำปรึกษาเลย
ไอ้พี่ห่า! โยนภาระให้กูตลอด
ตี๋คิดแบบนั้นจริง ๆ แต่พอมองแผ่นหลังของพี่ชายที่เดินหายไปจากหน้าร้านก็ต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบ ก่อนเอ่ยเสียงแ่...
“ทำคะแนนให้ได้เยอะ ๆ ล่ะนายปวีร์”
“...”
“อย่าให้น้องต้องเหนื่อยเปล่า...” ตี๋พูดกับตัวเองคนเดียว ก่อนจะเดินไปนั่งที่ตำแหน่งเดิมของพี่ชาย “สู้โว้ย!”
ในระหว่างที่ไวพจน์กำลังเดินกลับไปที่ร้านอาหาร หลังจากไปตรวจดูความเรียบร้อยที่สนามฟุตบอลหญ้าเทียมมาสักพัก เขาก็เห็นลูกชายคนกลางกำลังเดินดุ่ม ๆ มา ไวพจน์เดาว่าเ้าตัวคงจะเดินไปเข้าห้องน้ำ เขายกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อทักทายอีกฝ่าย แล้วเฮียก็ยกมือขึ้นโบกทักทายกลับมา
“จะไปไหนลูก?”
เขาเอ่ยถามลูกชายขณะที่เรากำลังเดินสวนกันไปด้วยความรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ไวพจน์ก็ยังเอ่ยถามออกไป...
ก็ตามประสาพ่อลูกแหละเนอะ
ขอให้ได้ถาม ขอให้ได้คุย
“ไปสนามบินครับ”
“เออ...ไปเถอะ”
คนเป็พ่อเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม แล้วก็ยังสาวเท้าเดินเร็ว ๆ เหมือนเดิม ทว่าพอเดินไปอีกไม่กี่ก้าว ไวพจน์ก็รีบชะงักฝีเท้าคล้ายเพิ่งได้สติ ก่อนจะเบิกตาโตด้วยความใแล้วหมุนตัวหันไปมองลูกชาย ครั้นจะเรียกรั้งเ้าตัวไว้ก็คงไม่ทันแล้ว เพราะเขาเห็นเฮียเพิ่งเดินเลี้ยวไปทางประตูทางออก
“ตะ ตายห่าแล้ว เมื่อกี้เฮียบอกว่าไปสนามบินใช่ไหม?”
ไวพจน์เริ่มลุกลี้ลุกลน ล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงพลางกดโทรหาภรรยา ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินไปที่ร้านอาหาร เพื่อถามลูกชายคนเล็กให้แน่ใจว่าเฮียไปไหน
[ฮัลโหล]
“ม้า อยู่ไหนแล้ว?”
[ออกมาจากตลาดแล้ว รถติดมากเลยป๊า…เอ้ออ หลินซื้อส้มโอมาฝากป๊าด้วยนะ แล้วเม้งก็ซื้อปลาอินทรีมาเผื่อป๊าด้วย]
“ม้า ช่างส้มโอกับปลาอินทรีก่อน ตอนนี้เฮียกำลังไปสนามบินแล้ว”
[อะไรนะป๊า? ...สัญญาณไม่ดีเลย]
“โธ่...เกร็งเยี่ยวจะราดแล้วเนี่ย สัญญาณมาหายอะไรตอนนี้”
ไวพจน์ใช้มือข้างที่ว่างอยู่ผลักประตูกระจกเปิดเข้าไปในร้านอาหาร เขาหันไปมองลูกชายคนเล็กที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ไอ้หนู...พี่เฮียไปไหน?”
“สนามบิน ป๊า...นายปวีร์กำลังไปสนามบิน”
“แล้วทำไมตี๋ไม่โทรบอกป๊า?”
“เอ่อ...หนูไม่ทันคิดน่ะป๊า”
ไวพจน์ยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองดัง ‘แปะ’ ก่อนเอ่ยกับปลายสายอีกครั้ง...
“ม้า...ได้ยินป๊าชัดหรือยัง?”
[จ้ะ ๆ ได้ยินชัดแล้วจ้ะ]
“เฮียกำลังไปสนามบิน”
[อะไรนะ?!]
“อะไรเนี่ยม้า ได้ยินไม่ชัดอีกแล้วเหรอ?”
[ไม่ ๆ ครั้งนี้ได้ยินชัดแล้ว...แต่ม้าแค่ใ]
“ถ้าตามแผนก็คือ เมื่อวานเรียวต้องบอกว่าจะไปรับนะโมที่สนามบินใช่ไหม? ...แล้ววันนี้ลูกเราก็ต้องเข้าใจว่าเรียวต้องไปรับนะโมที่สนามบินจริง ๆ”
[ทั้งที่ความจริงไม่มีใครไปสนามบินเลย]
ไวพจน์กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนเอ่ย “ใช่”
[ป๊า...วางสายเดี๋ยวนี้ แล้วไปไลน์บอกทุกคนในกลุ่ม]
“โอเค ๆ”
ไวพจน์รีบวางสายจากภรรยา ก่อนจะกดเข้าแอปพลิเคชันไลน์อย่างเก้ ๆ กัง ๆ เพราะไม่ได้ใช้มันบ่อยนัก คนอายุเข้าเลขห้าอย่างเขาส่วนมากจะชอบโทรคุยมากกว่า แต่เป็เพราะผู้ร่วมขบวนการนั้นมีเยอะจนเกินไป การจะโทรประชุมสายเยอะ ๆ ก็คงไม่สะดวก ดังนั้นการสื่อสารผ่านทางไลน์จึงสะดวกที่สุดแล้ว
คนเป็พ่อใช้ทั้งสองมือจับโทรศัพท์ไว้ แล้วถือห่างจากตัวพอสมควร เพราะไวพจน์สายตายาว เขาต่อว่าตัวเองในใจที่ลืมพกแว่นสายตามาด้วย ก่อนจะพยายามพิมพ์ข้อความว่า ‘แจ้งข่าว...ตอนนี้เฮียกำลังไปสนามบินแล้ว’ แต่ยังไม่ทันจะกดส่งไป ข้อความของใครบางคนก็เด้งขึ้นมาก่อน
R. : เมื่อกี้เฮียโทรมาถามเรียวว่าอยู่ไหน?
R. : เรียวก็เลยตอบไปตามแผนว่ากำลังไปสนามบิน
R. : เฮียเลยบอกว่ากำลังนั่งแท็กซี่ไปสนามบินแล้ว
R. : เฮียอยากไปรับนะโมเป็เพื่อน เพราะกลัวเรียวจะรู้สึกอึดอัด ถ้าต้องอยู่กับคนที่ไม่สนิทแค่สองคน
namo : ตามแผนคือเราไม่ต้องไปสนามบินจริง ๆ ไม่ใช่เหรอครับ?
ม้าบัว : ใช่จ้ะ
ม้าบัว : แต่ม้าว่าพวกเรางานเข้าแล้ว
ใกล้ใจของลูกหมา : ใกล้ว่าพี่เรียวกับนะโมน่าจะต้องไปสนามบินจริง ๆ แล้วแหละครับ
มิต : ป๊าก็คิดแบบใกล้นะเรียว
มิต : เพราะถ้าเรียวกับนะโมไม่ไป เฮียก็จะจับได้ทันทีว่าเป็เื่โกหก
ม้าพิมพ์ : นี่มันผิดจากที่เราคิดกันไว้ใช่ไหมคะคุณบัว?
ม้าบัว : ใช่ค่ะคุณพิมพ์
ม้าบัว : ความจริงที่เราคิดกันไว้คือเฮียจะต้องไม่เจอกับเรียว 1 วัน แล้วค่อยมาเจอกันพรุ่งนี้
ม้าบัว : แต่ไม่รู้เ้าลูกชายคิดอะไรถึงรีบแจ้นไปสนามบินขนาดนั้น
“ป๊า”
ไวพจน์ที่กำลังเพ่งสายตาอ่านข้อความในไลน์ที่ทุกคนพร้อมใจส่งกันมารัว ๆ หันไปมองคนข้างกาย ตี๋ยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา แล้วเอ่ยถาม...
“ตี๋รู้ว่าเป็เพราะอะไรที่เฮียรีบไปสนามบิน ตี๋ขอส่งไลน์ไปบอกทุกคนนะ”
“ได้สิ ตี๋อยู่ในกลุ่มแล้วใช่ไหม?”
“ครับ”
“งั้นก็รีบบอกทุกคนเลย เดี๋ยวป๊าจะรออ่านในนี้ด้วย มันก็เพลิน ๆ ดี พิมพ์ไม่ทันเขากันหรอก อาศัยอ่านเอา”
ไวพจน์พูดแบบนั้น ก่อนจะหันกลับมาจดจ่อกับหน้าจอโทรศัพท์ต่อ แล้วข้อความของลูกชายคนเล็กก็ปรากฏขึ้น...
t. : ตี๋รู้ว่าเป็เพราะอะไรที่ทำให้เฮียรีบไปสนามบินครับ
ม้าบัว : เพราะอะไรตี๋?
t. : ก่อนที่เฮียจะออกไป เฮียมาถามตี๋ว่า ถ้านาย A ชมนาย B ว่าน่ารักที่สุด แต่ชมนาย C แค่ว่าน่ารักดี
t. : แล้วมันจะมีสิทธิ์ไหมที่วันหนึ่งนาย A จะมองนาย C น่ารักกว่านาย B
R. : โคตรน่ารัก
สินกรรมค้าบผม : ใช่เวลามาอวยเขาไหมอะพ่อ @R.
ท้องฟ้าของที่รัก : มึงชมมันว่าน่ารักเหรอ? @R.
R. : เออ ก็มันเป็ไอ้คนน่ารัก กูก็ต้องชมว่ามันน่ารักดิ
LookPeach : ไม่ ๆ เรียว มึงเล่าเื่ทั้งหมดสิ ไม่ใช่ยกมาแค่ประโยคที่อวยอีน้ำแดงอะ
โกโก้ที่เป็คน ไม่ใช่หมาของข้างบ้าน : กิ้ว ๆ
โน่เองค้าบ : เหี้ยโก้ อย่าเพิ่งเล่น ตอนนี้นาทีระทึกอยู่
R. : เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง รอก่อน
R. : ม้าครับ งั้นเรียวกับนะโมคงต้องไปสนามบินนะครับ
ม้าบัว : โอเคจ้ะ
namo : เจอกันที่สนามบินนะพี่เรียว เดี๋ยวนะโมให้พี่ไทไปส่ง
R. : โอเคครับ
ไท : นะโม หนูอย่าลืมเอากระเป๋าเดินทางติดตัวไปด้วยนะ มันจะได้เนียน ๆ หน่อย
namo : แค่กระเป๋าเป้ไม่พอเหรอ?
ไท : เป้ก็ได้อยู่ แต่เรามาอยู่กรุงเทพตั้ง 5 วันนะ เอากระเป๋าเดินทางไปด้วยแหละ
namo : รับทราบครับ
R. : แล้วเจอกัน @ไท @นะโม
โกโก้ที่เป็คน ไม่ใช่หมาของข้างบ้าน: เล่าได้ยังพ่อ?
R. : เออ
R. : เมื่อวานกูไปหาเฮียมาตามแผนแหละ
R. : เพราะต้องไปบอกมันว่าจะไปรับนะโมที่สนามบิน
R. : เฮียก็เข้าใจแล้ว ตอนแรกก็ดูเล่น ๆ ไม่ได้คิดมาก
R. : แต่อยู่ดี ๆ ก็ถามว่านะโมน่ารักไหม
โน่เองค้าบ : ขอเดาว่ามึงหึงที่ไอ้เฮียถามแบบนั้น
R. : เออ หึงจริง
ลูกหมาของใกล้ใจ : สรุปแผนนี้จะทำให้ใครหึงใครกันแน่ 5555
ที่รักของท้องฟ้า : 555
R. : กูก็เลยตอบไปว่าก็น่ารักดี ก็ตามความจริงแหละ
R. : คราวนี้มันก็เหมือนนอยด์ ๆ แล้วก็ถามว่าระหว่างมันกับนะโม ใครน่ารักกว่ากัน
R. : กูก็เลยตอบว่ามันน่ารักกว่า
R. : อันนี้กูก็ตอบตามความจริง
โกโก้ที่เป็คน ไม่ใช่หมาของข้างบ้าน : ฮิ้ว~ ไม่แ่เลยพ่อ
ไวพจน์ที่แอบอ่านข้อความอยู่เงียบ ๆ อดอมยิ้มไม่ได้กับข้อความตรงหน้า ก่อนจะกดสติกเกอร์ที่มีภาษาอังกฤษว่า ‘Very Good’ ส่งไป เพื่อชมว่าที่แฟนของลูกชาย ก่อนจะอ่านข้อความใหม่ที่เพิ่งปรากฏขึ้น...
ม้าบัว : เรียว เพราะทุกอย่างมันผิดแผนไปหมด
ม้าบัว : ม้าว่าเรียวกับนะโมก็ไหล ๆ ไปก่อนนะลูก
ม้าบัว : กลับมาแล้วค่อยว่ากัน
R. : โอเคครับม้า
R. : งั้นเรียวขอตัวไปสนามบินก่อนนะครับ
ม้าบัว : จ้ะ เดินทางปลอดภัยนะลูก
ม้าพิมพ์ : ขับรถดี ๆ นะเรียว
R. : ครับม้า
#รักแท้ของผมคือคุณ
‘อยู่ไหนแล้ว?’
‘ใกล้ถึงสนามบินแล้ว รถติดมาก’
‘บอกให้แท็กซี่มาจอดตรงอาคารสองเลยนะ เดี๋ยวกูยืนรอรับตรงนั้น’
‘โอเค ๆ’
บทสนทนาระหว่างเขากับเพื่อนสนิทที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ววนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง เมื่อรถแท็กซี่เคลื่อนเข้าไปภายในสนามบิน เฮียที่นั่งอยู่เบาะข้างหลังชะเง้อคอมองทางข้างหน้า ก่อนเอ่ยกับคุณลุงคนขับรถ
“ลุงจ๊ะ เดี๋ยวจอดหน้าอาคารสองเลยนะจ๊ะ”
“ได้จ้ะ”
เขาส่งยิ้มให้คุณลุง แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตาม ก่อนที่คุณลุงจะเอื้อมมือไปกดเปิดวิทยุ แล้วทำนองของเพลงเก่าเพลงหนึ่งก็ดังขึ้น ซึ่งเขาเคยฟังเพลงนี้มาก่อน และชอบมันพอสมควร
‘มีใครบางคนให้คำนิยาม ว่ารักคือความทุกข์ แตกต่างกับฉันที่มองว่ารัก คือความสุข อาจจะเหนื่อยบางครั้ง อาจจะเจ็บบางที แต่ก็ยิ้มได้เรื่อยมา อาจจะต้องผิดหวัง ก็ไม่เป็ไร’
รถแท็กซี่คันที่เขานั่งก็เคลื่อนไปจอดเทียบหน้าอาคารสองที่เรานัดกันไว้
‘อย่างน้อยฉันเคยได้รักเธอ รักด้วยการไม่หวังอะไร ก็รู้ฉันเองก็ยังไม่ใช่ ไม่้าอะไรทั้งนั้น อย่างน้อยฉันได้เรียนรู้ ได้เข้าใจ ทุกนาทีที่ฉันมีเธอ รักคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายมากมายจริง ๆ’
‘ความพยายามที่ทำเพื่อเธอ จะขอทำต่อไป แค่มีรอยยิ้มของเธอส่งมา ก็ชื่นใจ หากในวันพรุ่งนี้เธอจะตอบตกลง ก็คงจะคุ้มค่ามากมาย แต่ถ้าต้องผิดหวังก็ไม่เสียใจ’
และเฮียที่มองออกไปนอกกระจกรถก็เห็น ‘เรียว’ กำลังเดินมาหา
พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่มักจะทำให้ใครหลาย ๆ คน ‘ตกหลุมรัก’ ได้ง่าย ๆ
‘อย่างน้อยฉันเคยได้รักเธอ รักด้วยการไม่หวังอะไร ก็รู้ฉันเองก็ยังไม่ใช่ ไม่้าอะไรทั้งนั้น อย่างน้อยฉันได้เรียนรู้ ได้เข้าใจ ทุกนาทีที่ฉันมีเธอ รักคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายมากมายจริง ๆ’
เป็ตอนนี้ที่เพื่อนสนิทเปิดประตูรถให้เขา เฮียยื่นเงินจำนวนหนึ่งที่มากกว่าค่าโดยสารให้คุณลุง ก่อนเอ่ยเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้ฟังเพลงเพราะ ๆ ต่อแล้ว
“ขอบคุณสำหรับเพลงเพราะ ๆ นะจ๊ะลุง”
“ยินดีเลยไอ้หนู”
เฮียส่งยิ้มให้คุณลุงเป็ครั้งสุดท้ายก่อนจะลงมาจากรถ แล้วเมื่อเพื่อนสนิทปิดประตูรถสนิทแล้ว รถแท็กซี่คันสีชมพูก็เคลื่อนออกไปจากหน้าอาคารสอง
“แขกมึงมาถึงหรือยัง?”
“ยังเลย”
“แต่กูมาถึงก่อนแล้วนะ”
เขาสบสายตากับเพื่อนสนิท คนตัวสูงหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินคำพูดของเขา พอเฮียเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้า เขาก็คิดขึ้นมาว่า ‘ตอนแรกกูก็ไม่เข้าใจหรอกว่า...ทำไมถึงต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้เป็คนน่ารักของมึงขนาดนี้ แต่ตอนนี้กูเริ่มเข้าใจแล้ว...คงเป็เพราะมึงคือพระอาทิตย์ดวงเดียวในโลกของกูละมั้ง’
“มาถึงอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว”
“...”
“เราไปรอนะโมกันข้างในเถอะ”
“แขกมึงชื่อนะโมเหรอ?”
“อือ ชื่อนะโม เป็รุ่นน้องเรา”
“อ๋อ โอเค”
หลังจากเอ่ยตอบไปแล้ว เฮียก็เดินตามคนตัวสูงเข้าไปในอาคารผู้โดยสารขาออก เราสองคนเดินมาหยุดยืนรอแขกคนสำคัญของเพื่อนสนิทในบริเวณที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่านมากนัก
เขาหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนข้างกายที่ตอนนี้กำลังก้มหน้ามองโทรศัพท์อยู่ สิ่งที่เฮียเพิ่งคุยกับน้องชายไปเมื่อสักพักใหญ่ ๆ ทำให้เขาไม่สามารถยอมได้เลย เขาไม่อยากกลายเป็คนน่ารักน้อยกว่า ‘เด็กคนนั้น’
เฮียรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำเหมือนคนที่โหยหาการยอมรับจากคนอื่น แต่นั่นไม่ใช่หรอก...เขาไม่ได้้าการยอมรับจากทุกคนบนโลก แต่เขาแค่อยากให้ตัวเอง ‘เป็คนน่ารัก’ ในสายตาของเพื่อนสนิทต่อไปเรื่อย ๆ
ไม่อยากให้สิ่งที่มันยอมรับไปแล้วเปลี่ยนแปลงไป...
นั่นจึงเป็เหตุผลที่ทำให้เฮียต้องพาตัวเองมายืนอยู่ข้าง ๆ เรียวแบบนี้ เพื่อนสนิทเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะหันมามองเขา
“มองไร? ไอ้คนน่ารัก”
“มะ มึงว่าอะไรนะ?”
“ถามว่ามองอะไร?”
“ไม่ใช่ดิ...คำหลังอะ มึงพูดว่าอะไร?”
“ไอ้คนน่ารัก”
ชนะ!
กูชนะเด็กนะโมเห็น ๆ
ไม่มีทางแพ้หรอก!
เฮียที่พยายามกลั้นยิ้มอย่างหนักหันหน้าไปอีกทาง แล้วพอแน่ใจว่าเรียวไม่เห็นใบหน้าของเขาแล้ว เฮียถึงอนุญาตให้ตัวเองยิ้มได้ ก่อนจะขยับปากพูดโดยไม่ออกเสียงว่า ‘บ้าบอ...บ้าบอฉิบหาย’
เดี๋ยวนี้ทำไมไอ้เรียวถึงพูดจาน่ารักเฮีย ๆ แบบนี้วะ?
ถึงแม้เขาจะใจดีที่อนุญาตให้ตัวเองยิ้มได้ แต่เฮียก็ไม่ได้อนุญาตให้หัวใจเต้นเร็วแรงขนาดนี้ เขาสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะกระแอมกระไอออกมา...
“กินน้ำไหม? ...เดี๋ยวกูไปซื้อให้”
“ไม่เป็ไร กูโอเคดี”
เรียวอมยิ้มเล็กน้อยพลางพยักหน้าตอบรับ “...”
คนตัวสูงน้อยกว่าอย่างเขาเงยหน้าขึ้นมองข้างบน มันไม่มีภาพวาดสวยงามตระการตาเหมือนในโบสถ์หรอก แต่เขาก็มองโครงสร้างเหล็กของอาคารอยู่แบบนั้น เผื่อว่าการมองบางสิ่งบางอย่างไปเพลิน ๆ จะทำให้อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเบาลงได้
แต่จะว่าไป...
ไอ้อาการที่เกิดขึ้นพวกนี้
มันก็เหมือนตอนที่กำลังมีความรักใหม่ ๆ เลย...
ถ้าคนข้างกายไม่ใช่เพื่อนสนิทอย่าง ‘เรียว’
ก็คงทำใจยอมรับได้ง่ายขึ้นว่า ‘มันคือการตกหลุมรัก’
เฮียลอบถอนหายใจให้กับความรู้สึกที่ชัดเจน แต่ก็สร้างความสับสนและลังเลใจให้เขา เื่ของหัวใจ...บางทีมันก็อธิบายพร้อมทั้งหาคำตอบได้ยาก และแน่นอนว่า...ไม่จำเป็หรอกที่จะต้องรีบตัดสินใจหรือหาคำตอบให้ได้โดยเร็ว
สุดท้ายแล้วเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป การกระทำ ความรู้สึก และหัวใจที่คอยบอกบางอย่างกับเราอยู่ตลอดจะมอบคำตอบที่แท้จริงให้เราเอง แต่ในตอนนี้ที่รู้ว่าเริ่มรู้สึก...ก็คงต้องปล่อยให้ตัวเองได้ทำตามเสียงของหัวใจก่อน
และเสียงของหัวใจก็บอกว่า...
“นะโมมาแล้ว”
“คนไหนวะ?”
“คนที่ใส่เสื้อสีฟ้าอะ”
มึงแพ้เด็กคนนี้ไม่ได้นะเฮีย
“กูเห็นแล้ว”
โอเค ล็อกเป้า!
เฮียมองเด็กหนุ่มที่ตัวสูงไล่ ๆ กับเขาเดินมาทางเราสองคน ดู ๆ แล้วอีกฝ่ายก็มีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูอย่างที่เรียวชมจริง ๆ เมื่อเ้าของชื่อ ‘นะโม’ ก้าวเท้ามาหยุดยืนตรงหน้า คนที่กระหืดกระหอบคล้ายไปวิ่งร้อยเมตรมาก็ยกมือไหว้สวัสดีเราสองคน
“สวัสดีครับ พี่เรียว พี่เฮีย”
“น้องรู้จักกูด้วยเหรอ?” เฮียหันไปถามเพื่อนสนิท
“เมื่อกี้กูไลน์ไปบอกน้องว่าเพื่อนจะมารับด้วย ชื่อเฮีย”
“อ๋ออ แอบแนะนำไปก่อนแล้ว”
“งั้นก็ไม่ต้องแนะนำกันให้รู้จักแล้วนะ เพราะน่าจะรู้จักกันแล้ว”
“เฮ้ย ไม่ได้ดิ งั้นเดี๋ยวกูแนะนำตัวเองอย่างเป็ทางการอีกรอบก็แล้วกัน...” เฮียเอ่ย ก่อนจะหันกลับไปมองนะโม “...พี่เฮียเองนะ เป็เพื่อนที่โคตรสนิทของพี่เรียว”
“อะ อ๋อ ครับ”
“สนิทอย่างเดียวไม่ได้ด้วยนะ ต้องโคตรสนิทเลย” เรียวพูดปนหัวเราะ
“มันแน่นอนอยู่แล้ว”
คนข้างกายหัวเราะในลำคอ ก่อนเอ่ย “งั้นเราไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่ช่วยถือ...”
“ไม่ต้อง ไอ้เรียว...มึงเดินนำไปที่รถเถอะ เดี๋ยวกูช่วยน้องนะโมเอง”
“แต่...”
“เหอะน่า...” เฮียพูดพลางยกมือขึ้นปัดเบา ๆ เป็เชิงไล่
“อะ เออ”
เรียวตอบด้วยสีหน้ามึนงงเล็กน้อย ก่อนจะเดินนำเราสองคนไป เฮียหลุบตาลงมองกระเป๋าเดินทางใบเล็กของนะโม ก่อนจะก้มลงไปจับหูหิ้วของกระเป๋าเดินทางสีเงิน ในจังหวะที่เขากำลังจะยกขึ้น นะโมที่สะพายกระเป๋าเป้สีดำอยู่ที่หลังอีกใบก็ก้มลงมาจับมือข้างนั้นของเขาไว้
“พี่เฮียครับ นะโมเกรงใจ เดี๋ยวนะโมถือไปเองดีกว่า”
“นะโม เื่แค่นี้เอง ไม่เป็ไรหรอก ไม่ต้องเกรงใจ”
“นะโม...”
“เชื่อพี่นะ”
นะโม...
พี่จะไม่ยอมปล่อยให้เราทำคะแนนนำพี่ไปหรอก
ถ้าเรียวเห็นว่าพี่ดูแลเราดีขนาดนี้ มันจะต้องมองพี่น่ารักมากกว่าเดิมแน่ ๆ
เฮียส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะพยักหน้าเป็เชิงบอกว่า ‘ปล่อยมือออกจากมือพี่เถอะ’ แล้วนะโมก็เหมือนจะเข้าใจ เ้าตัวถึงได้ยอมชักมือกลับไป แต่สีหน้าของเ้าตัวก็ดูเป็กังวลเล็กน้อย เฮียตั้งท่าเตรียมตัวอย่างดีก่อนจะยกกระเป๋าเดินทาง เพราะเขาคิดว่ามันคงมีน้ำหนักพอสมควร
“ฮึบ!”
แต่ทว่าเมื่อยกกระเป๋าเดินทางขึ้น เขาก็ถึงกลับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจ เพราะกระเป๋าเดินทางใบนี้เบาหวิวราวกับปุยนุ่น เฮียกะพริบตาปริบ ๆ ขณะมองกระเป๋าเดินทางสลับกับนะโม
“นะโมไม่ได้ใส่อะไรมาเลยเหรอ ทำไมกระเป๋าเบาจัง?”
“อะ อ๋อ นะโมเอาเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้มาน่ะครับ...” พูดพลางหันตะแคงข้างให้ดูกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ข้างหลัง ก่อนจะหันกลับมาชี้กระเป๋าเดินทางที่อยู่ในมือเฮีย “...ส่วนกระเป๋าใบนี้นะโมพกมาเผื่อเฉย ๆ ครับ เผื่อว่านะโมจะซื้อของฝากกลับไปเยอะ จะได้เอาใส่กระเป๋าเดินทางกลับไป”
“อ๋อออ พี่เข้าใจแล้ว”
“...”
“รอบคอบดีนะเรา”
“แหะ ๆ”
เฮียพยักหน้าเป็เชิงชวนอีกฝ่ายที่กำลังหัวเราะน้อย ๆ อยู่ ก่อนจะสาวเท้าเดินตามเรียวที่นำไปเล็กน้อย ทันทีที่เพื่อนสนิทเห็นเขาถือกระเป๋าเดินทางให้นะโม เ้าตัวก็รีบเดินกลับมาหาเขา
“ส่งกระเป๋ามาให้กู มึงไม่ต้องถือหรอก หนัก”
“หนักมากอะ”
“นั่นแหละ ส่งมาให้กู”
“โอเค...”
เฮียแกล้งเกร็งแขนขณะส่งกระเป๋าเดินทางไปให้เพื่อนสนิท แล้วพอเรียวรับไปถือไว้ก็เบิกตาโตเล็กน้อย เ้าตัวหลุบตาลงมองกระเป๋าเดินทางในมือ ก่อนเอ่ยถาม...
“นะโม นี่เราไม่ได้ใส่อะไรมาเลยเหรอ?”
“เอ่อ...” คนที่เดินมาหยุดยืนข้าง ๆ เขาเอ่ยเสียงแ่
“น้องพกมาด้วยเฉย ๆ เผื่อว่าขากลับจะซื้อของฝากกลับไปเยอะ ก็จะได้เอาใส่กระเป๋าใบนี้”
“อ๋อ...”
“งั้นเอาคืนมาให้กู...เดี๋ยวกูถือให้เอง”
“ไม่ต้อง”
“ทำไมอะ? ...มึงก็รู้แล้วนี่ว่ามันไม่หนัก”
“จะหนักหรือไม่หนักก็ไม่ต้องถือ แค่เดินข้าง ๆ กูก็พอ”
เฮียเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินประโยคคำพูดนั้น แล้วจู่ ๆ คนตัวสูงกว่าก็วาดแขนข้างที่ว่างอยู่โอบรอบคอเขาไว้ ก่อนจะพาเดินไปด้วยกัน
“ไอ้เรียว แล้วน้องอะ”
เรียวเอี้ยวคอหันไปมองแขกคนสำคัญที่ยืนอึ้งอยู่ข้างหลัง ก่อนเอ่ย “นะโม หนูเดินตามมานะ”
“อะ อ่าฮะ”
เ้าของชื่อ ‘นะโม’ เอ่ยตอบ พลางมองรุ่นพี่ที่เดินนำไปกับคนที่ตัวเองแอบชอบ พี่เรียวที่กอดคอพี่เฮียหันมามองเขาอีกรอบ แล้วยักคิ้วให้หนึ่งที นั่นทำให้ภาพความทรงจำในวันประชุมแผนการวนกลับเข้ามาในหัว
พี่เรียวบอกกับทุกคนว่า...
‘เรียวยอมรับเลยตรง ๆ ว่า...กับเฮีย เรียวห้ามใจตัวเองไม่ค่อยได้เลย’
‘...’
‘เวลาอยู่กับเฮียทีไรก็อยากฟัดมันตลอด’
‘…’
‘แล้วเรียวก็ชอบใจอ่อนกับเฮียด้วย ทนเห็นมันหงอยนาน ๆ ไม่ได้หรอก’
‘…’
‘เรียวโคตรกลัวตัวเองทำแผนแตกเลย’
นะโมที่ยืนเท้าเอวมองคนสองคนที่เดินนำไปไกลพอสมควรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วคิดว่า ‘มาถึงตอนนี้แล้ว...นะโมว่ามีสิทธิ์นะ มีสิทธิ์ที่พี่เรียวจะทำแผนแตกน่ะ เฮ้ออ...’
แสดงออกว่ารักเขาขนาดนี้
แล้วจะเอาอะไรมาให้เขาหึงตัวเองล่ะ...
TBC
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้