ผ่านไปไม่กี่วัน ซูจิ้งเถียนกับนางแซ่หลี่ไม่สามารถทนได้อีก ก็เป็เวลาลงมือของนาง
ซางจื่อรายงานทุกการเคลื่อนไหวของซูจิ้งเถียนกับกุ้ยมามาแก่ซูเฟยซื่อทุกวัน
วันแรก ซูจิ้งเถียนไม่ชอบอาหารที่กุ้ยมามาส่งมา รังเกียจว่าไม่อร่อย เป็อาหารสุนัขกิน กุ้ยมามาก็ให้คนจูงสุนัขมาตัวหนึ่ง เอาอาหารทั้งหมดเลี้ยงสุนัขต่อหน้าซูจิ้งเถียน หลังจากนั้นทุกมื้อก็เป็แบบนี้
วันต่อมา ซูจิ้งเถียนค่อนข้างหิว คิดไม่ถึงว่ากุ้ยมามาไม่ถามสักคำก็เอาอาหารให้สุนัขกินทั้งอย่างนั้น ซูจิ้งเถียนโกรธจนเกือบจะร้องไห้ให้รู้แล้วรู้รอด
วันที่สาม ซูจิ้งเถียนทนหิวไม่ไหว ร้องขออาหารจากกุ้ยมามา ทว่าอีกฝ่ายกลับกล่าวว่าอาหารเหล่านี้ไม่อร่อย มีไว้สำหรับเลี้ยงสุนัขเท่านั้น
ว่าแล้วก็เทอาหารให้สุนัขกินต่อหน้านาง
วันที่สี่ ซูจิ้งเถียนหิวจัดกระทั่งสติปัญญาล้วนไม่เหลือ พอเห็นอาหารถูกส่งมา ก็ไม่สนถึงฐานะและตัวตนของตัวเอง ก็วิ่งพุ่งไปแย่งสุนัขกิน นับว่าไม่อาจรักษาภาพลักษณ์ได้อีก
ซูเฟยซื่อฟังไปพลางอดไม่ได้ที่จะหรี่ตา บีบคั้นซูจิ้งเถียนจนถึงขั้นนี้ก็เกือบจะใช้ได้ เป็เวลาที่นางแซ่หลี่จะได้พบหน้ากับนางคราหนึ่งแล้ว
มิฉะนั้นบีบคั้นต่อไป เกรงว่าซูจิ้งเถียนคงเป็บ้าไปเสียก่อน หากเป็เช่นนั้นก็นับว่า นางก็ขโมยไก่ไม่สำเร็จ ทั้งยังเสียข้าวสารอีกกำมือไปอีก
“ซางจื่อ เ้านำเงินเหล่านี้ไปให้กุ้ยมามา บอกว่าวันนี้คงต้องรบกวนนางอีกสักนิด ให้แง้มประตูไว้เล็กน้อย หากมีใครลอบมองก็จงปล่อยผ่าน ให้มีคนไปแจ้งข่าวแก่นางแซ่หลี่ว่าซูจิ้งเถียนได้รับความทุกข์ทรมานขนาดไหน ยามนี้ในเรือนของซูจิ้งเถียนล้วนเป็คนของกุ้ยมามา ข่าวคราวปิดไว้แ่า นางแซ่หลี่คงร้อนใจน่าดู” ซูเฟยซื่อสั่ง
“เ้าค่ะ” ซางจื่อยิ่งฟังยิ่งตื่นเต้น ซูเฟยซื่อวางแผนรัดกุมมานานขนาดนี้ ละครโรงนี้คงยิ่งน่าชม
เป็ไปตามที่ซูเฟยซื่อคิด หลังจากนางแซ่หลี่ได้รับข่าวก็เร่งรุดไปถึงเรือนของซูจิ้งเถียน แล้วยังจ่ายเงินพิเศษเพื่อซื้อคนเฝ้าประตู
นางไม่รู้ว่าคนเ่าั้ได้รับคำสั่งจากซูเฟยซื่อให้ปล่อยนางผ่านเข้าไปั้แ่แรกแล้ว
“เถียนเอ๋อร์” นางแซ่หลี่ดูซูจิ้งเถียนผมยุ่งกระเซิงนั่งอยู่บนพื้น ก็รู้สึกปวดใจอย่างอดไม่ได้
ลูกสาวสุดที่รักของนาง คุณหนูสี่ของจวนอัครมหาเสนาบดีผู้หยิ่งผยองนางนั้น ไม่เจอเพียงไม่กี่วันก็กลายเป็แบบนี้
ซูจิ้งเถียนได้ยินเสียงนางแซ่หลี่ยังคิดว่าตนหูแว่ว แต่เมื่อหันไปเห็นนางแซ่หลี่จริงๆ น้ำตาก็ไหลพรูลงมาอย่างไม่อาจอดกลั้น “ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย ข้าเกือบจะถูกยายเฒ่านั่นรังแกจนตายแล้ว”
นางแซ่หลี่กอดซูจิ้งเถียนในอ้อมอกไว้แน่น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้าโศก “เื่นี้เป็สิ่งที่นายท่านเห็นพ้อง ต่อให้เป็แม่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ต้องโทษซูเฟยซื่อนังสารเลวนั่น ถ้าไม่ใช่เพราะนางยื่นข้อเสนอเหลวไหลเช่นนี้ ไหนเลยให้เ้าต้องมาทนทุกข์”
“ใช่ เป็เพราะนาง เป็นางที่คิดทำร้ายข้าให้ตายอย่างสิ้นเชิง” ซูจิ้งเถียนบอกเื่ที่เกิดขึ้นใน่ไม่กี่วันมานี้ ั้แ่ต้นจนจบให้นางแซ่หลี่ฟัง
นางแซ่หลี่ฟังจบก็โกรธจนเกือบะเิ คิดอยากพุ่งไปบีบคอซูเฟยซื่อให้ตายเสียตอนนี้
“ท่านแม่ ั้แ่น้อยจนเติบใหญ่ ลูกสาวของท่านไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อน ท่านต้องคืนความยุติธรรมให้ข้านะ” ซูจิ้งเถียนกล่าวจบก็ถลาเข้าไปในอ้อมอกของนางแซ่หลี่ ร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาไหลเป็ทาง
นางแซ่หลี่แค้นใจจนเกือบเผลอกัดริมฝีปากของตน สาวน้อยตัวเล็กๆ คนหนึ่งกล้าทำความอัปยศให้ลูกของนางเช่นนี้ จะให้นางยอมได้หรือ!
“เถียนเอ๋อร์ อดทนอีกหน่อยเถิด พรุ่งนี้แม่จะไปหาท่านพ่อ” นางแซ่หลี่ตบแผ่นหลังของซูจิ้งเถียน ปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
ได้ยินวาจานี้ เสียงร้องไห้ของซูจิ้งเถียนนับว่าเบาลงเล็กน้อย “จริงหรือเปล่า? ท่านแม่ ท่านต้องบอกท่านพ่อนะ มิฉะนั้นขืนเป็แบบนี้ลูกต้องถูกพวกนางทรมานจนตายแน่ๆ”
“อย่าพูดเหลวไหลอย่างนั้นเลย มีแม่อยู่ ต้องไม่มีวันปล่อยให้พวกนางทำร้ายลูกเด็ดขาด” นางแซ่หลี่ปลอบใจซูจิ้งเถียนสักพัก จึงจากไปอย่างไม่เต็มใจ
ทันทีที่นางออกไป ซางจื่อก็รายงานทุกการเคลื่อนไหวแก่ซูเฟยซื่อ
ซูเฟยซื่อเพียงคลี่ยิ้มน้อยๆ “ดูไปแล้ว พรุ่งนี้คงมีละครสนุกให้ดูแล้ว”
เช้าวันรุ่งขึ้น นางแซ่หลี่ก็มารออยู่นอกเรือนของแม่น้ารอง
หลังจากที่นางถูกซูจิ้งเซียงใช้ยาปลุกกำหนัดใส่ร้าย ซูเต๋อเหยียนก็ไม่ยอมัันางอีก แล้วมานอนที่เรือนของแม่น้ารองทุกคืน
เดิมนางคิดว่านิสัยแม่น้ารองเป็คนเงียบๆ ไม่แยแสต่อเื่ทางโลก ไม่มีใจละโมบต่ออำนาจยิ่งใหญ่ของจวนอัครมหาเสนาบดี แต่นางก็สามารถควบคุมฝ่ายในของจวนอัครมหาเสนาบดีได้อย่างมั่นคง
ไม่คิดว่าซูเฟยซื่อปรากฏตัวเช่นเฉิงเหย่าจินแบบนี้ นี่แทบทำให้นางโกรธ
“นายท่าน” นางแซ่หลี่เห็นซูเต๋อเหยียนออกมา รีบดาหน้าเข้าไป
ซูเต๋อเหยียนเห็นนางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ใบหน้าที่เดิมดูดีพลันมืดครึ้มไปหลายส่วน “มายืนทำอะไรตรงนี้ั้แ่เช้าตรู่เล่า?”
นางแซ่หลี่ถูกซูเต๋อเหยียนมองด้วยสายตาตำหนิก็คับข้องใจไปบ้าง แต่เพื่อซูจิ้งเถียนแล้ว นางได้แต่อดทน
คิดถึงตรงนี้ นางรีบเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา “นายท่าน เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันทั้งครอบครัวมาตั้งนานแล้ว ก็ใช้โอกาสวันนี้ดีไหม ข้าเข้าครัวทำอาหารเอง ทั้งครอบครัวชุมนุมด้วยกันดีๆ คิดเห็นเป็อย่างไร?”
เดิมซูเต๋อเหยียนคิดปฏิเสธ แต่เมื่อคิดได้ว่า ตนไม่ค่อยมีโอกาสสร้างความสัมพันธ์กับซูเฟยซื่อดีๆ สักที หากครอบครัวกินข้าวด้วยกัน ก็จะสามารถเล่นบทบาทพ่อเมตตาลูกสาวกตัญญู ทั้งยังอาจทำให้ซูเฟยซื่อยิ่งซื่อสัตย์กับเขามากขึ้น
หลังจากดีดลูกคิดรางแก้วเสร็จสรรพ ก็เอ่ยปากตอบรับนิ่งๆ
นางแซ่หลี่ไม่ทราบจุดประสงค์ของซูเต๋อเหยียน ก็คิดไปเองว่าซูเต๋อเหยียนซาบซึ้งในความคิดนี้ของนางยังคิดว่าเขาถูกตนทำให้ซาบซึ้งใจแล้ว ก็ไปเตรียมการทุกอย่างด้วยใจที่เต็มไปด้วยความยินดี
เมื่อซูเฟยซื่อได้รับข่าว ก็รีบให้ซางจื่อไปเฝ้านางที่ห้องครัว
นางแซ่หลี่เพิ่งเห็นซูจิ้งเถียนก็เสนอให้กินข้าวด้วยกันทั้งครอบครัว ต้องมีเจตนาไม่บริสุทธิ์แน่นอน
ถ้าเพียงคิดขอความเมตตาให้ซูจิ้งเถียนอย่างซื่อๆ เท่านั้น นางก็แค่ทำอาหารกินกับซูเต๋อเหยียนชุดหนึ่ง นั่นไม่ง่ายกว่าหรือ?
เชิญนางไปด้วย? กลัวก็แต่จะเป็เพียงพอนเหลืองมาเยี่ยมระกาวันปีใหม่[1] จะหาความปรารถนาดีได้หรือ!
“คุณหนูสาม นายท่านเชิญไปกินอาหารที่ห้องโถงด้านหน้า” จือฉินเข้ามาในห้องกล่าวด้วยความเคารพ
ซูเฟยซื่อพยักหน้าแล้วลุกขึ้นจะเดินออกนอกประตูไป กลับพบซางจื่อกลับมาพอดี
ซางจื่อลอบส่ายหน้าหลายครั้งให้ซูเฟยซื่ออย่างไม่ทันให้คนอื่นสังเกต เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่พบสิ่งผิดปกติ
ไม่พบสิ่งผิดปกติ? เป็ไปได้อย่างไร? หรือนางจะเข้าใจผิด?
ตามเหตุผล ซูจิ้งเถียนถูกนางบีบคั้นจนกลายเป็แบบนี้ นางแซ่หลี่จะไม่มีความเคลื่อนไหวเลยงั้นหรือ แต่คำพูดของซางจื่อย่อมเชื่อถือได้ จุดไหนกันแน่ที่ผิดปกติ
ซูเฟยซื่อขมวดคิ้วแล้วโยนเื่นี้ทิ้งไปเสียก่อน รอจนกระทั่งไปถึงห้องโถงด้านหน้าแล้วค่อยว่ากันใหม่
เมื่อมาถึงห้องโถงด้านหน้า คนอื่นต่างก็มาถึงแล้ว ซูเฟยซื่อสังเกตเห็นว่า แม้แต่แม่นางรองที่ปกติไม่ค่อยได้มากินข้าวกับพวกเขา ก็ไม่คาดว่าจะมาด้วย
ดูไปแล้วไม่เพียงนางแซ่หลี่เท่านั้น กระทั่งแม่น้ารองยังแปรพักตร์พุ่งเป้ามาทางนางแล้ว
เมื่อนางแซ่หลี่เห็นซูเฟยซื่อเข้ามา ประกายดุร้ายสายหนึ่งวาบผ่านไป ซูเฟยซื่อ วันนี้เป็วันตายของเ้า
“เฟยซื่อ มาแล้วหรือ มาสิ มานั่งข้างพ่อ” ทันทีที่ซูเต๋อเหยียนเห็นซูเฟยซื่อ ก็โบกมือให้นางอย่างขยันขันแข็ง
เห็นแบบนี้ นางแซ่หลี่ก็โกรธจนร่างสั่นเทิ้ม แต่ก็ต้องอดทนเพื่อซูจิ้งเถียน อดทนไว้…
“นายท่าน ข้าไม่ได้เห็นเถียนเอ๋อร์มาหลายวันแล้ว ในเมื่อล้อมวงกินข้าวด้วยกันทั้งครอบครัว ก็ควรเรียกนางมาด้วยดีกว่าไหม?” นางแซ่หลี่ระงับความโกรธในใจไว้ หัวเราะกล่าวพลาง
เดิมทีที่นางวางแผนไว้ก็เป็แบบนี้ ซูเฟยซื่อกลอกตาพูดทันที “ท่านพ่อ ทานอาหารพร้อมหน้ากันเช่นนี้ จะขาดน้องสี่ไปได้อย่างไรเล่า”
……
[1] เพียงพอนเหลืองมาเยี่ยมระกาวันปีใหม่ เป็สำนวนที่หมายถึงคนเ้าเล่ห์หยิบยื่มความปรารถนาดีมาให้ย่อมมีเจตนาร้ายแอบแฝง เพียงพอนเหลืองเป็สัตว์กินเนื้อขนาดเล็กรูปร่างเพรียว ขาสั้นหางสีน้ำตาลเหลือง ขนหลังสีน้ำตาลเทา ออกหากินเวลากลางคืน ชาวจีนสมัยโบราณมักมองว่ามันเป็หัวขโมยลักกินของตามบ้านเรือน