เมื่อเห็นนางหันหลังกลับอย่างเศร้าสร้อย น้ำเสียงยังปนความเสียใจ จ้าวจือชิงก็ทำตัวไม่ถูก
“ชีเหนียง มิใช่ว่าข้าไม่ยอมบอกเ้า ข้ากลัวว่าหากเ้ารู้แล้วจะเป็ห่วง…”
ชีเหนียงยกมือขึ้นห้ามเขา “ไม่ต้องพูด ข้าไม่อยากรู้แล้ว”
“ใช่ว่าข้าไม่อยากบอกเ้า เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา รอผ่านไปสัก่ ข้าจะบอกเ้าเอง...”
เขารีบตามไปอธิบายกับชีเหนียง แต่ไม่ว่าอย่างไรชีเหนียงกลับไม่ยอมมองเขา คนหนึ่งโน้มตัวโก่งและสีหน้าร้อนใจอยากอธิบาย ส่วนอีกคนกลับทำหน้านิ่งและไม่อยากฟัง
ท่าทางนี้ทำให้คนที่เดินเล่นบนถนนเห็นแล้วขบขัน มีคนที่รู้จักพวกเขาเห็นเข้า จึงหยอกล้อ “พี่จ้าวกำลังง้อภรรยาตัวน้อยหรือ ท่านต้องรีบสารภาพอย่างตรงไปตรงมานะ มิเช่นนั้นคืนนี้คงต้องนอนพื้นแล้ว…”
จ้าวจือชิงถลึงตาใส่ผู้ที่แส่ไม่เข้าเื่ ไม่เห็นหรือว่าชีเหนียงกำลังโกรธ หากยั่วมากกว่านี้และนางไม่พอใจขึ้นมา ตนเองคงต้องชดใช้ความผิดด้วยความตายจริงๆ แล้ว
สมัยก่อนเวลาชีเหนียงได้ยินคำหยอกล้อเช่นนี้ มักจะไม่ถือมาใส่ใจ แต่ครั้งนี้กลับถลึงตามองจ้าวจือชิงอย่างดุร้าย จากนั้นก็ไม่ลืมที่จะถลึงตาใส่คนพูดมากผู้นั้นด้วย
“โอ้ พี่จ้าวนี่ทำให้ลั่วเหนียงจื่อโมโหเข้าจริงๆ หรือนี่ ภรรยาแสนดีเช่นนี้ เหตุใดเ้าจึงทำให้นางโมโห”
จ้าวจือชิงผลักเขาออกอย่างไม่ไยดี “ไปไปไป ทางนั้นอากาศเย็น ไปเดินทางนั้น”
พูดจบก็รีบตามไป ตอนนี้เขาไม่ไปที่ว่าการแล้ว การส่งชีเหนียงกลับบ้านต่างหากคือเื่สำคัญ
......
เพียงแต่เมื่อกลับถึงบ้าน ชีเหนียงก็ยังวางสีหน้าไม่ดีกับเขาเหมือนเดิม ทั้งครอบครัวจึงไม่ได้คึกคักเท่าวันอื่นๆ เพราะชีเหนียงเอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวด
หลังมื้ออาหาร จ้าวจือชิงมองดูลั่วจิ่งซี ลั่วจิ่งไหลและหลิงชางไห่ที่นั่งตรงหัวโต๊ะล้อมตนเองไว้ นี่คิดจะตั้งศาลเตี้ยกับตนเองหรือ กระทั่งลั่วจิ่งเฉินที่ปกติไม่ชอบหน้าเขาก็ยังจงใจอยู่ต่อไม่ยอมกลับห้อง
“ว่ามา ตกลงเ้าไปทำอะไรให้ชีเหนียงโกรธ?”
จ้าวจือชิงรีบแสร้งทำมึน “ข้าไปทำให้ชีเหนียงโกรธตอนไหน เหตุใดข้าจึงไม่รู้เื่”
“เหอะ เ้าไม่รู้! คิดว่าพวกข้าตาบอดหรือ” หลิงชางไห่เห็นเขาไม่ยอมรับจึงขู่เขาฟ่อ “เหมือนจะยังมีบางเื่ที่ชีเหนียงไม่รู้แน่ชัด เห็นทีข้าคงต้องไปคุยกับนางสักหน่อยแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้จ้าวจือชิงรู้ว่าหากตนไม่พูดอะไรสักอย่าง เกรงว่าวันนี้คงผ่านไปยาก
“ก็ได้ เพียงแต่หากข้าบอกกับพวกท่านแล้ว พวกท่านห้ามบอกกับชีเหนียงนะ” เขากดเสียงต่ำ คนทั้งหลายก็ขยับเข้ามาใกล้
“วันนั้นที่ข้ากับชีเหนียงกลับช้า แล้วบอกกับพวกท่านว่าระหว่างทางหิมะตกหนัก วัวลื่นล้มตาย จึงทำให้กลับมาช้า อันที่จริงเราเจอกับโจรูเาระหว่างทาง” เมื่อได้ยินคำว่าโจรูเา ทุกคนก็ใ จ้าวจือชิงรีบอธิบายต่อ “ใช่ว่าข้าไม่อยากบอกพวกท่าน แต่ชีเหนียงไม่อยากให้พวกท่านเป็ห่วง”
“แล้วยังมีอะไรอีก เ้ารีบเล่ามา! เ้าอยากให้พวกข้าร้อนใจตายหรือ”
หลิงชางไห่เร่งเร้าให้เขารีบรายงานความจริง เขาจึงเอ่ยต่อ
“โจรูเาเ่าั้จิตใจต่ำช้า ข้าจะปล่อยพวกเขาได้เยี่ยงไร ดังนั้นจึงส่งพวกเขาให้ทางการ คนพวกนั้นมีคนชักใยอยู่เื้ั ่นี้ข้าเที่ยวสืบว่าคนที่อยู่เื้ัเป็ใคร” พูดจบก็ทำตัวไม่ค่อยเป็ธรรมชาติ
“ใครจะรู้ว่ากลับถูกชีเหนียงพบเข้า เ้าไม่อยากให้นางรู้ ดังนั้นชีเหนียงถึงได้โกรธสินะ?” หลิงชางไห่ช่วยเขาเสริมคำพูดหลังจากนั้น
เขากล่าวอย่างอารมณ์เสีย “ใช่แล้ว ยินดีด้วย ท่านตอบถูก แต่ไม่มีรางวัล”
“เหอะเหอะ เ้าก็มีวันนี้ด้วยหรือ” หลิงชางไห่หัวเราะเสร็จก็คิดได้ว่ามันผิดปกติ “ตกลงใครที่คิดร้ายกับชีเหนียง เ้าสืบรู้ชัดเจนหรือไม่!”
จ้าวจือชิงมองดูภายในห้องและส่งสัญญาณให้เขาเสียงค่อย
“ข้ารู้แล้ว ตกลงเ้ารู้อะไรมาบ้าง?” หลิงชางไห่ก้มหน้าต่ำกว่าเดิม จ้าวจือชิงเห็นดังนั้นก็ต้องโน้มตัวเข้าไปหา ส่วนเด็กอีกสองคนก็ขยับเข้าไปใกล้ ชั่วขณะนั้นศีรษะทั้งสี่ก็สุมรวมกัน
ได้ยินเพียงเสียง หา! เอ๋ อ้อ!
“อะแฮ่ม…อะแฮ่ม…”
เพียงเสียงไอของลั่วจิ่งเฉิน ศีรษะทั้งสี่ก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉับพลันก็เห็นร่างของชีเหนียงที่กำลังแอบชะโงกเข้ามาแอบฟังด้วย
เมื่อชีเหนียงถูกจับได้ก็ลุกขึ้นยืนตัวตรง จากนั้นมองลั่วจิ่งเฉินอย่างตำหนิ
เด็กคนนี้เมินเฉยต่อสายตาของนางและแจ้งเตือนคนกลุ่มนี้ เขาไม่ชอบจ้าวจือชิงมิใช่หรือ เื่อะไรถึงเข้าข้างเขา ชีเหนียงแสร้งทำไม่รู้เื่และเดินออกมา ในใจกลับรู้สึกว่าคนเหล่านี้มีเื่ปิดบังตนเอง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไม่ว่านางจะแอบสะกิดอย่างไร ก็ไม่มีผู้ใดบอกนาง นางได้แต่โมโห หากก็ทำได้แค่อดทน
......
ดีที่ใกล้จะปีใหม่แล้ว ชีเหนียงจึงพุ่งความสนใจไปที่อื่น ทุกวันนางต้องคอยยุ่งกับการต้มข้าวต้มล่าปา ดองผักกาดดองเปรี้ยว จากนั้นก็ตระเตรียมของปีใหม่กับคนสกุลโจวอย่างคึกคัก โจวคังเยี่ยกับน้องๆ ก็เริ่มสนิทคุ้นเคยกับเด็กบ้านสกุลลั่ว คนทั้งกลุ่มกำลังเล่นลูกข่างและจักจั่นกันอย่างสนุกสนาน
คืนส่งท้ายปี เด็กๆ ทั้งหลายอยากอยู่ข้ามปีด้วยกัน แต่เพราะอายุยังน้อยจึงทนไม่ไหว เด็กๆ จึงได้ผล็อยหลับกันทีละคน
ชีเหนียงกับคนที่เหลือรีบนำผ้าห่มมาห่มให้พวกเขา โชคดีที่ในห้องมีหลุมดิน มิเช่นนั้นการนอนเช่นนี้คงได้เป็หวัดแน่
......
เช้าวันรุ่งขึ้น ชีเหนียงแจกซองแดงให้กับเด็กๆ รวมถึงโจวย่าอวิ๋นกับภรรยาก็ได้ด้วย กระทั่งหลิงชางไห่กับยายโจวก็ได้รับซองแดง
“นี่เรียกว่าซองแดงข้ามปี มีความหมายว่ายั่งยืนยาวนานและมีแต่โชคลาภวาสนา!”
ชีเหนียงพูดเช่นนี้ ยายโจวก็ไม่อาจปฏิเสธ จึงรับไว้ ในใจคร่ำครวญอีกครั้งว่าตนได้พบเจอกับเ้านายที่ดี
ทั้งครอบครัวแต่งกายด้วยชุดใหม่และนำขนมไปไหว้ตรุษจีนตามแต่ละบ้าน คนสกุลลั่วเติบโตมารูปร่างหน้าตาดี โดยเฉพาะ่นี้ที่ยิ่งตัวขาวอ้วนพี พอออกจากบ้านก็ดึงดูดสายตาผู้คนได้อย่างชัดเจน
ครอบครัวสกุลลั่วมาถึงบ้านผู้ใหญ่บ้านก่อน พี่หลิวที่เก็บกวาดบ้านแต่เช้า ขณะเตรียมไปไหว้ปีใหม่ที่บ้านชีเหนียง แต่กลับเห็นครอบครัวพวกเขาพากันมาถึงก่อนแล้ว
“สวัสดีปีใหม่พี่หลิว”
“สวัสดีปีใหม่ชีเหนียง”
ทั้งสองยิ้มร่าและทักทายกัน คนที่เข้าตาพี่หลิวในแวบแรกคือลั่วจิ่งเฉิน แม้นางรู้ว่าลั่วจิ่งเฉินได้รับการรักษามาตลอด แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตอนที่เด็กหนุ่มยืนได้จะดูมีชีวิตชีวาเช่นนี้
“นี่คือจิ่งเฉินหรือ? อาการดีขึ้นมากแล้วหรือ?”
ลั่วจิ่งเฉินพยักหน้าเล็กน้อย ชีเหนียงมองดูเขาก็ดีใจตื้นตันแทน สิ่งที่คุ้มค่าแก่การฉลองที่สุดในปีนี้ ก็คือการที่ขาของลั่วจิ่งเฉินดีขึ้นมากแล้ว
“หายดีมากแล้ว แม้จะยืนได้ไม่นานมาก แต่ก็สามารถเดินได้วันละเกือบหนึ่งชั่วยามทุกวัน”
ชีเหนียงรู้ว่าลั่วจิ่งเฉินไม่ชอบคุยเื่เหล่านี้นัก จึงอธิบายเอง พี่หลิวเองก็ไม่ถือสาและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานต่อ
ชั่วครู่ผ่านไป ฝูอันก็ออกมา เขาพาผู้ชายสกุลลั่วไปหาผู้ชายในหมู่บ้าน วันนี้พวกเขาจะไปกราบไหว้ศาลบรรพชน ชีเหนียงพูดคุยกับพี่หลิวต่อ อีกเดี๋ยวค่อยไปแวะเวียนไปบ้านอื่นต่อ
่ปีใหม่มักผ่านไปเร็ว พริบตาเดียวก็เริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ
เริ่มฤดูใบไม้ผลิ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องส่งเด็กๆ เข้าเรียน ดีที่ก่อนหน้านี้ได้ติดต่อไว้เรียบร้อย จึงทำเพียงแค่ต้องนำซู่ซิว [1] มาด้วยก็พอ แต่ถึงอย่างไรนี่คือวันแรกที่เด็กๆ ไปเข้าเรียนที่โรงเรียนอย่างเป็ทางการ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยพาพวกเขาไปเยี่ยมเยียนอาจารย์แล้ว แต่วันแรกของการเข้าเรียน ผู้ที่เป็มารดาย่อมไม่อาจพลาดเด็ดขาด
-----
[1] ซู่ซิว 束脩 คำว่า ซิว 脩 หมายถึงเนื้อตากแห้ง และเนื้อตากแห้งสิบชิ้นมัดรวมกันเรียกว่า หนึ่งซู่ 束 ซึ่งธรรมเนียมการมอบ ซู่ซิว เป็สินน้ำใจแสดงความคารวะ มีมาั้แ่สมัยขงจื๊อ การมอบซู่ซิวเป็ของกำนัล นอกจากแสดงถึงการคารวะยังสามารถมอบให้เป็ของตอบแทนแสดงความสำนึกในบุญคุณที่ผู้ป่วยมอบให้กับแพทย์ผู้รักษาอีกด้วย