“รีบไปกันเถอะ ขืนชักช้าเดี๋ยวจะไม่ทันได้เห็นละครฉากเด็ด” เฟิงเจวี๋ยหร่านดีดนิ้วดังเป๊าะ ในความมืดมีเงาร่างแวบผ่านไป ในวังหลวงแห่งนี้มีคนของเขาอยู่ อำนาจของบุรุษผู้นี้มิใช่ธรรมดา โม่เสวี่ยถงแอบรู้สึกตื่นตาตื่นใจ
“วางใจได้ ตามข้ามา” เห็นนางตกตะลึง ทว่ามิได้ตื่นกลัว เฟิงเจวี๋ยหร่านก็รู้สึกอารมณ์ดีอย่างยิ่ง เอื้อมมือมารั้งเอวบางแล้วอุ้มขึ้น ขณะที่เสียงร้องใยังไม่ทันหลุดจากริมฝีปาก เขาก็พานางเหาะทะยานไปเบื้องหน้าแล้ว ข้างหูได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเอ้อระเหยของเขา “ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวก็ถึงแล้ว ข้าจะพาไปหาที่นั่งดีๆ สำหรับชมละครด้วยกัน”
เริ่มแรกโม่เสวี่ยถงก็พยายามขัดขืน แต่ก็ดิ้นไม่หลุด พอพบว่าบัดนี้เขากับนางทะยานอยู่บนที่สูง ไหนเลยจะกล้าออกเสียงแม้แต่น้อย จิตใต้สำนึกสั่งให้นางยื่นมือไปกอดคอเขาเอาไว้แน่นๆ พอแอบลืมตามองลงไป พบว่าหลังคาอาคารบ้านเรือนต่างๆ แล่นวูบไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว จึงรีบหลับตาลงด้วยความหวาดกลัว ริมฝีปากเล็กจ้อยสั่นระริก ไม่กล้าร้องแม้แต่คำเดียว
น้ำเสียงทรงพลังที่เจือไปด้วยกลิ่นอายหยิ่งทะนงนุ่มนวลอ่อนโยนกว่าปรกติปลอบนางเบาๆ ข้างหู “อย่ากลัวไปเลย เดี๋ยวก็ถึงแล้ว” เฟิงเจวี๋ยหร่านกระชับอ้อมแขนให้นางรู้สึกปลอดภัย
นับั้แ่กลับชาติมาเกิด โม่เสวี่ยถงยังไม่เคยรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเยี่ยงนี้มาก่อน นางมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่ามีดวงตาคู่หนึ่งคอยสอดส่องและจับตามองอยู่ในที่ลับตลอดเวลา แต่นางกลับไม่อาจฝืนลิขิต ได้แต่คลำทางในความมืดก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว
นางเดียวดายอยู่ในอนธการอันหาแสงสว่างไม่มีแม้แต่น้อย ถึงจะได้ความได้เปรียบในการต่อสู้ก็ยังรู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง แต่เมื่อได้ยินเสียงลมครวญหวิวผสานจังหวะหัวใจอันทรงพลังกับกลิ่นหอมอำพันทะเลอ่อนๆ แผ่ซ่านจากกายของเขา นางพลันรู้สึกปลอดภัยยิ่งนัก
แขนเรียวเล็กของโม่เสวี่ยถงโอบยึดไหล่กว้างอย่างแแ่คล้าย้ารับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา ความอบอุ่นจากเรือนกายที่ถ่ายทอดมาแทรกซ่านซึมลึกเข้าไปถึงหัวใจ คล้ายทุกสิ่งถูกบุรุษผู้นี้ควบคุมไว้สิ้นแล้ว
“เอาล่ะ ถึงแล้ว ดูสิ ที่นี่เหมาะเจาะอย่างยิ่งใช่หรือไหมเล่า” เฟิงเจวี๋ยหร่านปล่อยโม่เสวี่ยถงลง ชี้ไปรอบๆ พูดกับโม่เสวี่ยถงด้วยรอยยิ้ม นางลืมตาขึ้นถึงรู้ว่าตอนนี้พวกเขาลงมาบนพื้นดินแล้ว รอบด้านค่อนข้างมืด แต่ยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง ราตรีนี้แสงจันทร์นวลเย็นตา ที่แห่งนี้คือศาลาบนูเาจำลอง แต่ตั้งฉากกั้นล้อมไว้ทั้งสี่ด้านจึงไม่มีลมผ่านเข้ามาได้
เมื่อมองลงไปด้านล่างจะเห็นศาลาอีกหลังหนึ่งตั้งอยู่บนเขาจำลองฝั่งตรงข้าม พื้นที่แถบนั้นอยู่ต่ำกว่าที่นี่ และอยู่ใกล้กับสถานที่จัดเทศกาลโคมไฟเพียงนิดเดียว ดังนั้นจึงดูพราวพร่างสว่างไสว ยิ่งยืนมองจากที่มืด ยิ่งเห็นที่นั่นได้ชัดเจน
ศาลาแห่งนั้นก็มีฉากกั้นตั้งขวางไว้ เพียงแต่ฉากกั้นมิได้สูงมาก ซึ่งมุมนี้พวกเขาสามารถมองความเคลื่อนไหวภายในผ่านช่อง้า
“ที่นี่เป็อย่างไร ทั้งอบอุ่นและแสนสบาย ยังชมทิวทัศน์ได้ตามใจชอบอีกด้วย ข้าเลือกจุดชมละครสนุกๆ ได้ยอดเยี่ยมไปเลยใช่หรือไม่” เฟิงเจวี๋ยหร่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม สีหน้าดูลำพองใจเป็ที่สุด หนำซ้ำยังแสดงน้ำใจยกเก้าอี้ไม้หนานมู่ตัวใหญ่มาตั้งให้โม่เสวี่ยถงนั่ง ส่วนตนเองก็ไปยกอีกตัวมาวางด้านข้างก่อนหย่อนก้นลงไป
“ท่านรู้อีกแล้ว” โม่เสวี่ยถงชำเลืองมองรอยยิ้มลำพองใจของบุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้าง แสงจันทร์ทอแสงสีเงินยวงทาบไล้ลงมาบนใบหน้าหล่อเหลา ทำให้ดูคล้ายมีรัศมีเปล่งประกาย ดวงตาสุกใสฉายแววอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ดูไม่เหมือนเฟิงเจวี๋ยหร่านคนเดิมที่นางเคยรู้จัก
เมื่อก่อนเขาดูมีเสน่ห์แต่ร้ายกาจ ชอบวางมาดยโสโอหัง ไม่เคยนุ่มนวลอ่อนโยนเช่นตอนนี้เลย ดวงตาดุจโมราสีนิลส่องประกายวาววับคู่นั้นทำให้นางรู้สึกแก้มร้อนวูบวาบ อารมณ์ฉุนเฉียวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ยามนี้บินหายเข้ากลีบเมฆไปเรียบร้อยแล้ว
“ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว ชมละครต้องนั่งในตำแหน่งที่ดีที่สุด โดยเฉพาะฉากคนแอบพลอดรักกัน คนดูย่อมมิได้มีเพียงคนสองคน สำคัญต้องไวและมาให้ถูกจังหวะด้วย”
เฟิงเจวี๋ยหร่านขยิบตาให้นางด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง จากนั้นก็ชี้ไปยังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่นอกศาลา พลันหัวเราะเสียงเบาพลางกล่าวต่อ “ดูๆๆ เ้าดูนั่น คุกเข่าอยู่เสียไกลขนาดนั้น แล้วจะไปเห็นเื่สนุกได้อย่างไร”
โม่เสวี่ยถงมองไปตามทิศทางที่เขาชี้อย่างละเอียด แล้วหันมาหาเฟิงเจวี๋ยหร่านอย่างตกตะลึง ปรกตินางจะวางสีหน้าสงบนิ่งอยู่เสมอ แต่ยามนี้สงบไม่ไหวอีกแล้ว นิ้วมือขยำผ้าเช็ดหน้าแน่น รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ ที่แท้นอกเหนือจากโม่เสวี่ยิ่ยังมีผู้อื่นที่จับตามองนางและเฝ้าดูอยู่ที่นี่นานแล้ว แสดงว่าคนผู้นี้รู้แผนการร่วมมือระหว่างโม่เสวี่ยิ่กับซือหม่าหลิงอวิ๋นทั้งหมด
คนผู้นี้คือใคร เหตุใดต้องมาจับสังเกตหญิงสาวในห้องหอธรรมดาคนหนึ่ง
“อย่าวิตกไปเลย ไม่มีสิ่งใดหรอก แค่ขันทีของตำหนักซูกุ้ยเฟยคนหนึ่งเท่านั้น” ดูเหมือนเฟิงเจวี๋ยหร่านจะััความรู้สึกไม่ปลอดภัยของนางได้ จึงหันมากล่าวปลอบประโลมอย่างนุ่มนวล เมื่อหันหลังให้แสงจันทร์ ดวงตาสุกใสเป็ประกายประดุจดวงดาราบนท้องนภา พอโม่เสวี่ยถงมองเห็นรอยยิ้มในแววตา จึงค่อยเบาใจลง
“เป็คนของฉู่อ๋อง?” เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ โม่เสวี่ยถงจึงเอ่ยถามเสียงเบา
“ย่อมเป็พี่ชายใหญ่ของข้าเอง นับั้แ่พวกเราแอบชมเื่สนุกของเขาวันนั้น พี่ชายใหญ่ของข้าก็จับตามองเ้า ไม่แน่ใจว่าเพราะเขารู้ว่าสตรีในคืนนั้นคือเ้าหรือไม่” เฟิงเจวี๋ยหร่านตอบคำถามพลางยิ้มร้าย เลื่อนตัวไปพิงเสาไม้อย่างไม่นำพา แต่ย่อมไม่บอกให้รู้ว่าเฟิงเจวี๋ยเสวียนเริ่มสนใจนางั้แ่อยู่เมืองอวิ๋นเฉิงแล้ว
ก่อนกลับมาเมืองหลวง เฟิงเจวี๋ยเสวียนส่งคนไปสืบว่าเ้าของดอกกล้วยไม้กระถางนั้นคือผู้ใด
ครั้งก่อนเขามองออกว่าสายตาของเฟิงเจวี๋ยเสวียนเคลือบแคลงว่าสตรีที่ปรากฏตัววันนั้นคือถงเอ๋อร์
แต่แล้วอย่างไร? เขาไม่ชอบให้มีใครมาเฝ้าคิดถึงนาง
“ฉู่อ๋องจำข้าได้หรือ” โม่เสวี่ยถงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ก่อนช้อนตามองด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง หากฉู่อ๋องจับตามองนางอยู่ ต่อไปคิดจะทำสิ่งใดก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น
สาวน้อยผู้นี้มีท่าทางตื่นตัวจริงๆ ด้วย แต่ดูจะเกินเหตุไปหรือไม่ เป็แค่สตรีในห้องหอคนหนึ่งกลับมีความหวาดระแวงอย่างแรงกล้าถึงเพียงนี้ ั์ตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนางเห็นได้ชัดว่าทั้งจริงจังและดุดันกว่าปรกติ ซึ่งไม่เคยเผยออกมาให้เห็น คิดว่าการแสดงออกของนางในยามนี้จึงจะเป็ตัวตนที่แท้จริงกระมัง เฟิงเจวี๋ยหร่านทั้งรู้สึกรักใคร่และชื่นชม
“เขาแค่สงสัยเท่านั้น ไม่มีอันใดหรอก เ้าวางใจเถิด สิ่งใดที่ควรทำก็ทำไป แต่พี่สาวคนโตของเ้าผู้นั้นเป็คนปากว่าตาขยิบ จะให้ข้าช่วยจัดการไหมเล่า”
“ไม่ต้อง เื่ของข้า ข้าย่อมจัดการเองได้” โม่เสวี่ยตอบด้วยวาจาเด็ดขาด นางเบนศีรษะไปอีกด้าน แววตาเปลี่ยนเป็เลื่อนลอยคล้ายมีไอหมอกจางๆ ปกคลุมอีกชั้น สูดหายใจลึกยาว ความแค้นระหว่างตนเองกับโม่เสวี่ยิ่เป็การผูกพยาบาทมาแต่ชาติปางก่อน หนี้โลหิตมากมายเพียงนั้น นางไม่มีคิดยืมมือผู้อื่น ต้องชำระหนี้แค้นด้วยตนเองเท่านั้น จึงจะคลายปมภายในใจได้อย่างแท้จริง โม่เสวี่ยิ่ทำนางเจ็บแสบนัก การทวงหนี้ต้องค่อยๆ ทวงคืนทีละน้อย
แสงโคมที่ส่องสว่างอยู่ด้านล่างกลายเป็ภาพกองเพลิงลุกโชน เห็นตนเองนอนดิ้นตะเกียกตะกายอย่างเ็ปทรมานอยู่ในนั้น เส้นเืผุดที่หัวตา บดบังครรลองสายตาเบื้องหน้าจนหมดสิ้น แต่ยังเห็นซือหม่าหลิงอวิ๋นกับโม่เสวี่ยิ่ยืนหัวเราะพูดจาเสียดสีไม่หยุดปาก พวกเขายิ้มเยาะในความโง่งมและดูถูกว่านางไม่รู้จักเจียมตน
มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อกำหมัดแน่น นางสาบานไว้ หากชาติหน้ามีจริง นางจะต้องล้างแค้นให้ได้ ยามนั้นตนเองเ็ปเพียงใด พวกเขาก็ต้องทุกข์ทรมานเพียงนั้น มีเพียงนรกเป็ที่หมาย นางยินดีลากพวกเขาลงไปพร้อมกัน
“เอาเถิด เ้าจัดการไปก่อน ้าความช่วยเหลือเมื่อใดก็บอกแล้วกัน” เฟิงเจวี๋ยหร่านสีหน้าปั้นปึ่ง ดูเหมือนไม่ค่อยพอใจคำตอบที่ดูห่างเหินของนาง แต่แล้วจู่ๆ ก็พรวดพราดเข้ามาใกล้ เป่าหูนางเล่นเบาๆ หัวเราะพลางกล่าวว่า “ดูนั่น ละครสนุกเปิดฉากแล้ว”
เมื่อลมหายใจอุ่นๆ ที่รดลงข้างหูทำให้หัวใจของโม่เสวี่ยถงพลันเต้นระรัว ใบหน้าแดงซ่าน โชคดี... ที่นี่ค่อนข้างมืด นางจึงรีบเบี่ยงตัวหลบ แล้วมองลงไปข้างล่าง
“พวกเราจะดูอยู่ที่นี่หรือ” ดูอยู่ตรงนี้เห็นภาพชัดเจนมาก เห็นกระทั่งว่าโม่เสวี่ยิ่นอนตะแคงอยู่บนเตียง เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ยามนี้กำลังลูบคลำศีรษะลุกขึ้นมานั่งอย่างช้าๆ ดูเหมือนคนเพิ่งตื่น โม่เสวี่ยิ่จะต้องถูกคนของผู้ที่อยู่ข้างกายนางทำให้สลบแล้วพาตัวเข้าไปแน่นอน
เมื่อนึกถึงความร้ายกาจของโม่เสวี่ยิ่ แม้ตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ โม่เสวี่ยถงก็หาได้ดูเบาอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
จากเหตุการณ์ตอนนี้ หากเป็สตรีคนอื่นๆ ก็ถือว่าจบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่หากโม่เสวี่ยิ่เป็คนรับมือง่ายปานนั้น ชาติที่แล้วนางคงไม่ต้องรอวันตายถึงกระจ่างความจริง แต่นี่ย่อมอยู่นอกแผนที่นางวางไว้ โม่เสวี่ยถงมุ่นคิ้วเล็กน้อย
โม่เสวี่ยิ่จะทำอย่างไรหนอ...
“พวกเราดูอยู่ที่นี่แหละ หรือว่าเ้าอยากเห็นชัดยิ่งกว่านี้? ที่นี่ก็ใช้ได้แล้ว ชัดเกินไปก็ไม่ดี ที่นั่นยังมีบุรุษอีกคนหนึ่ง เ้าเป็สาวเป็นางไม่รู้สึกประหม่าหรือไร คิดจะบุกไปดูให้เห็นกับตาเลยหรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านเลิกคิ้วขึ้น มองตาขวางทีหนึ่ง จงใจกล่าวบิดเบือนความหมายของนาง
เขากล่าวราวกับว่านางอยากลงไปเพราะอยากเห็นบุรุษผู้นั้นให้ชัดเจนเยี่ยงนั้น โม่เสวี่ยถงนึกขุ่นเคืองใจ แต่รู้ว่าไม่อาจระบายอารมณ์ได้ บุรุษผู้นี้ยิ่งโมโหใส่ก็ยิ่งชอบใจ วิธีการที่ดีที่สุดคือเมินเขาซะ จากที่พบเจอกันมาหลายหน แม้ว่ายังไม่เข้าใจเขาทั้งหมดเสียทีเดียว แต่ก็รู้ว่าควรจัดการอย่างไร
นางขบริมฝีปาก แสร้งทำไม่สนใจความหมายหยอกเอินที่อยู่ในคำพูดของเขา ได้แต่มองเขาด้วยแววตาว่างเปล่า แล้วกล่าวเสียงเย็น “ข้าอยากลงไป พี่สาวของข้าหาใช่คนที่ยอมให้ใครจับมัดมือมัดเท้าโดยไม่ต่อสู้”
คนที่ไม่เคยถูกโม่เสวี่ยิ่ทำร้ายย่อมไม่มีวันจินตนาการถึงความร้ายกาจของนางได้ สตรีที่ซ่อนเล่ห์ร้ายไว้ภายใต้หน้ากากที่สุภาพอ่อนโยน และมีความอดทนมากมายถึงเพียงนั้น ย่อมไม่มีทางยินยอมให้ตนเองต้องอับจนหนทางเช่นนี้แน่ โม่เสวี่ยถงมิได้คาดหวังให้เฟิงเจวี๋ยหร่านเข้าใจ แต่อย่างน้อยแค่ให้เขาเพิ่มความระวังและไม่ประมาท แผนการเรียบง่ายเช่นนี้เอาชีวิตสตรีร้ายกาจผู้นั้นไม่ได้แน่นอน ทั้งยังอาจถูกนางกัดไม่ปล่อยอีกด้วย
และผู้ที่จะถูกโม่เสวี่ยิ่กัดไม่ปล่อยย่อมเป็นาง หัวใจพลันรู้สึกหนาวเหน็บอย่างน่าประหลาด
ถูกคนถ่อยกัดหนึ่งคำย่อมเข้ากระดูกสามส่วน[1] อีกอย่างเื่ประเภทนี้ใครไม่เคยััย่อมไม่รู้ซึ้ง โม่เสวี่ยิ่ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แน่นอน
ไม่ได้! ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลงไป ที่นี่อยู่ไกลเกิน นางไม่ได้ยินว่าโม่เสวี่ยิ่พูดสิ่งใดบ้าง แต่เชื่อว่าคนแรกที่อีกฝ่ายต้องคิดว่าเป็ผู้ที่ทำให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากก็คือนาง ยามที่เกิดเื่ในวังครั้งที่แล้วตนเองไม่อยู่ อีกทั้งเพิ่งกลับมาเมืองหลวง ไม่มีความสามารถในการทำเื่ใหญ่ขนาดนั้น หาไม่แล้ว โม่เสวี่ยิ่ก็คงกัดนางไม่ปล่อยั้แ่ตอนนั้น
โม่เสวี่ยิ่ย่อมรู้ว่าเมื่อไรก็ตามที่คิดจะกัดผู้ใด ก็ต้องกัดให้ตายเท่านั้น!
“ก็จริง พี่สาวของเ้าผู้นั้นไม่ธรรมดาเลย ขอร้องข้าสิ... ขอร้องแล้วข้าจะพาเ้าลงไป” เฟิงเจวี๋ยหร่านลากน้ำเสียงเอ้อระเหย ปรายหางตามอง ยกมุมปากกระดกยิ้มคล้ายไม่นำพา เสมือนหมาป่าตัวโตกำลังล่อหลอกกระต่ายน้อยอย่างไรอย่างนั้น น่าโมโหจริงๆ!
“ข้าขอร้อง... พาข้าลงไปเถิดนะ” โม่เสวี่ยถงกล่าวเสียงใส ดวงตากลมใสแจ๋วจ้องมองเฟิงเจวี๋ยหร่าน เบื้องลึกดวงตาฉายแววยอมศิโรราบ ริมฝีปากงามสมบูรณ์แบบหยักยกน้อยๆ แพขนตายาวกะพริบปริบๆ ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา และ้าที่พึ่งพิงเป็ที่สุด มองไม่เห็นโทสะแม้แต่น้อย มีแต่ความอ่อนแอน่าสงสารราวกับถูกรังแก
สายตาเยี่ยงนี้ทำให้เฟิงเจวี๋ยหร่านยอมจำนนอย่างหมดวาจา
………………………………………………………………………………………………………...
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ถูกคนถ่อยกัดหนึ่งคำย่อมเข้ากระดูกสามส่วน อุปมาว่า หากถูกคนชั่วคิดจะเล่นงานผู้ใด ก็จะเอาถึงตาย หากไม่ตายก็ไม่มีวันปล่อย