หลิวสี่กุ้ยมีบุตรชายและบุตรสาว ย่อมต้องคิดหาหนทางเพื่อความสบายของลูกๆ “ครอบครัวของเรา เ้าเป็คนตัดสิน รอบ้านที่นาทำเสร็จแล้วก็จะเลี้ยงหมู แต่ต้องทำคอกหมูไกลบ้านหน่อยเพื่อปิดบังพ่อแม่ข้า”
สำหรับบิดาและมารดาของเขาเอง เนื่องจากห่างไกลกันหลายปีความรู้สึกจึงจืดจางลงไปไม่น้อย
เขาคุ้นเคยกับครอบครัวมารดาของหลี่ซื่อมากกว่า เนื่องจากตระกูลหลี่ค่อนข้างชอบหลานชายคนโต ด้วยเหตุนี้จึงชอบมาดูแลสั่งสอน พอหลายปีผ่านไป การเรียนของหลิวจื้อเซิ่งจึงดีกว่าลูกศิษย์ทั่วไปประมาณหนึ่ง
“ใช่ เื่เลี้ยงหมูยังไม่รีบ แต่ว่าไก่กับเป็ดกลับไปคงต้องเลี้ยงสักหน่อย ตรงนี้ไม่ได้กำหนดจำนวน เพียงแต่ต้องขวางไม่ให้แม่เ้าไปนับไก่ที่เล้า เพราะถึงอย่างไรนางก็คงไม่รู้ว่ามีเท่าไร” หลิวหลี่ซื่อคำนวณอย่างชาญฉลาด เป็ดไก่มีมากเกินไปก็นับยาก แต่หมูนั้นนับง่ายตามจำนวนและไม่มีทางนับผิด
นางแค่ไม่้าดึงดูดความสนใจของหลิวฉีซื่อ ดังนั้นจึงตั้งใจหลอกล่อให้หลิวฉีซื่อไปยังจวนตระกูลหวง
สำหรับเื่นี้ นางยังวางแผนต่อว่าจะให้มารดาตนเองมาสานสัมพันธ์กับหลิวฉีซื่ออีกด้วย
หลิวสี่กุ้ยไม่รู้ว่านางกําลังคิดอะไรอยู่จึงเอ่ยว่า “รอจนเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ทั้งหมด ข้าจะกลับไปคุยกับท่านลุง บอกให้เขารับซื้อของเหล่านี้เข้าโรงครัว เพียงแต่ต้องเก็บเป็ดไก่ไว้ให้พ่อบ้านคนนั้นก็พอ”
หลิวหลี่ซื่อคำนวณทุกอย่างเสร็จสรรพถึงวางใจ “รู้แล้ว มีรายได้ก้อนนี้ ทั้งปีเราคงมีรายได้เพิ่มมาร้อยตำลึง เซิ่งเอ๋อร์กับเฉี่ยวเอ๋อร์ก็โตแล้ว เดิมทีอยากจะคุยเื่หมั้นหมายโดยเร็ว แต่ข้าทำใจไม่ได้จึงเลื่อนมาตลอด เมื่อเป็เช่นนี้ปีหน้าบ้านเราคงมีเงินหนึ่งร้อยตำลึงเข้ามา ฉะนั้นจะได้ค่อยๆ ทยอยจัดสรรที่นาไว้เตรียมใช้ในงานแต่งงานของลูกๆ เรา”
หลิวสี่กุ้ยสบายใจตาม “ที่ผ่านมาลำบากเ้าแล้ว ที่ต้องทำงานอยู่ในจวน ทั้งปีก็หาเงินได้แค่ไม่กี่สิบตำลึง ดีที่เ้าคิดดูแลทุกอย่างโดยละเอียด ทำให้เราผ่านชีวิตที่ยากเย็นมาได้ ตอนนี้ชีวิตของพวกเรากำลังจะดีขึ้น ข้าต้องคิดหาทุกทางเพื่อพวกเ้าสามแม่ลูก”
หลิวสี่กุ้ยและภรรยาไม่เคยรู้มาก่อนว่าการสร้างบ้านหลังนี้จะได้ผลประโยชน์มากมายเช่นนี้ หากท้ายที่สุดสามารถสร้างได้จริง ก็จะมีรายได้เงินก้อนเข้ามาทุกปี
หลิวเต้าเซียงไม่ทราบว่าหลังจากที่ครอบครัวของหลิวสี่กุ้ยกลับมา พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะปลุกกระแสลมและฝน
มิฉะนั้นนางต้องหัวเราะร่าแน่นอน!
หลังจากฝันดีมาทั้งคืน หลิวเต้าเซียงก็ตื่นขึ้นเพราะเสียงประทัด
เสียงนั้นดังอย่างต่อเนื่อง พวงแล้วพวงเล่า บ้านแล้วบ้านเล่า ร่วมฉลองเทศกาลปีใหม่กันอย่างคึกคัก!
วันส่งท้ายปีเก่าเป็วันไหว้บรรพบุรุษ วันปีใหม่จะไม่ออกจากบ้านกัน
คนตระกูลหลิวเปิดประตูบ้านออกและจุดประทัด ในวันปีใหม่ทุกคนกำลังตั้งวงผิงไฟกัน
ว่ากันว่าเป็ไฟของวันส่งท้ายปีเก่า
เพราะไฟในเตานี้จุดั้แ่คืนวันส่งท้ายปีเก่าที่ร่วมรับประทานอาหารกันทั้งครอบครัว ระหว่างนั้นห้ามปล่อยให้มันดับเด็ดขาด
ในวันแรกของปีใหม่ พวกเขาทั้งหมดต้องพูดคําที่เป็มงคลต่อกัน กระทั่งหลิวฉีซื่อที่ปกติไม่ชอบหน้าคนในครอบครัวฝั่งหลิวซานกุ้ย ในวันนี้ก็จะแจกซองแดงให้แก่สามพี่น้องหลิวเต้าเซียงด้วย เพียงแต่ด้านในมีเพียงหกอีแปะ เพื่อให้เลขหกแทนความหมายเฮงเฮงราบรื่น
ในวันที่สองของปีใหม่ หลิวเหรินกุ้ยและหลิวซานกุ้ยต่างก็พาลูกเมียไปเยี่ยมบ้านแม่ยาย
ทั้งครอบครัวของหลิวเต้าเซียงมาถึงบ้านเฉินซื่อ พวกเขามอบผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดชั้นดีแล้วก็เนื้อเค็มทั้งหลาย และเงินที่จางกุ้ยฮัวเตรียมมาให้เฉินซื่อหนึ่งพวง
“ท่านแม่ อย่าได้ปฏิเสธเลย นี่คือเงินที่ซานกุ้ยหามาได้่ฤดูร้อนปีนี้ ไม่น้อยทีเดียว”
จางกุ้ยฮัวนำเงินพวงนั้นไว้ในอ้อมแขนของเฉินซื่อ นางคำนวณไว้อย่างดี หากว่ามารดาใช้อย่างประหยัด เงินนี้คงเพียงพอสำหรับซื้อเครื่องปรุงได้ทั้งปี
“ก็ได้ๆ เด็กคนนี้ ข้าอยู่คนเดียวจะกินอะไรได้มากมายกัน ครั้งก่อนเงินครึ่งพวงที่พวกเ้าเอามา ข้ายังใช้ไม่หมดเลย!”
นางกําลังพูดถึงเงินที่เอาไปก่อนเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ นั่นคือครั้งแรกที่จางกุ้ยฮัวได้มอบเงินให้มารดาหลังจากที่ได้คลอดหลิวชุนเซียง
หลิวเต้าเซียงมองไปที่ท่าทางของนาง กลัวว่านางจะไม่รับมันจริงๆ
เช่นนั้นไม่ได้เชียวนะ? ซองแดงที่นางและพี่สาวเตรียมไว้ยังไม่ได้ให้เลย
จะปล่อยให้โอกาสดีที่จะอวดเื่ที่ตนเองหาเงินได้หลุดลอยไปได้อย่างไรกัน?
ดังนั้นนางจึงกระโจนใส่ขาของเฉินซื่อแล้วส่ายไปมา “ท่านยาย พ่อข้าคือคนที่หาเงินได้น้อยที่สุดในครอบครัว หากท่านไม่รับ แล้วจะเห็นได้อย่างไรว่าหลานสาวอย่างพวกเราก็หาเงินให้ที่บ้านได้แล้ว?”
เฉินซื่อสับสนเล็กน้อย คำพูดของเด็กคนนี้หมายความว่าอย่างไร?
ฟังดูเหมือนมีเลศนัย
“ใช่ ท่านแม่ ท่านรีบรับไว้เถิด นี่คือน้ำใจเล็กน้อยจากข้ากับซานกุ้ย”
จางกุ้ยฮัวมีความสุขจริงๆ นางแต่งเข้าไปในตระกูลหลิวสิบปี นี่เป็ครั้งแรกที่ได้กำเงินมากมายเช่นนี้ อย่าว่าแต่ตนเองได้เอาเงินให้ท่านแม่เลย ในอดีตที่ผ่านมา มักจะเป็เฉินซื่อที่ต้องให้บุตรสาวที่ไม่เอาไหนอย่างนางมากกว่า
“ใช่แล้ว ท่านยาย ท่านเก็บไว้เถิด หลานสาวอย่างข้าตอนนี้เย็บกระเป๋าเงินกับถุงหอมเป็แล้ว เวลาว่างก็ทำสิ่งเหล่านี้ วันหนึ่งเย็บกระเป๋าได้สองสามอัน กลางคืนท่านแม่ก็จะช่วยข้าเย็บ พอคำนวณดู หนึ่งเดือนข้าหาเงินได้ตั้งเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยอีแปะเชียว”
กระเป๋าเงินของหลิวชิวเซียงถูกนําไปที่โรงเย็บปักถักร้อย ตอนนี้นางสามารถหารายได้ห้าอีแปะต่อหนึ่งชิ้น อีกทั้งนางยังสามารถฝึกเย็บปักผ้าเช็ดหน้าเพิ่มได้อีก และที่ได้จากการช่วยหลิวเต้าเซียงเลี้ยงไก่อีก หนึ่งเดือนรวมๆ แล้วจึงได้จำนวนมากเช่นนี้
หลิวเต้าเซียงโน้มน้าวด้วยอีกแรง “ใช่ๆ ท่านยาย ต่อไปท่านเลี้ยงไก่ไว้เยอะหน่อย ข้าเองก็เลี้ยง ครั้งหน้าข้ากับท่านพี่จะมาหาแล้วช่วยเอาไปขายให้ท่านยายที่ตำบล”
ราวกับกลัวว่าเฉินซื่อจะไม่เชื่อ มือน้อยๆ ที่โอบขาของนางก็ปล่อยออก แล้วหยิบกระเป๋าผ้าในตะกร้าด้านหลังออกมา ยื่นให้เฉินซื่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ที่ผ่านมา ท่านยายรักและเอ็นดูพวกข้ามาก คราวนี้พวกข้าหาเงินเป็แล้ว ย่อมต้องนำมาตอบแทนบุญคุณท่านยาย!”
เฉินซื่อไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป หากตนเองไม่รับเงิน ก็กลัวว่าหลานสาวจะลำบากใจ แต่ก็กลัวว่าหากรับเงินมาแล้วพวกนางต้องกลับไปใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น
หัวใจของบิดามารดาช่างน่าสงสาร!
จางกุ้ยฮัวไม่ใช่คนอกตัญญู หลิวซานกุ้ยเองก็ไม่ได้เป็คนชั่วร้าย
แล้วยังสอนหลานสาวตัวน้อยสองคนของนางได้ดียิ่งนัก
“ท่านยาย นี่คือน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ท่านเอาไปใช้ให้สบายใจเถิด” หลิวชิวเซียงเองก็หยิบกระเป๋าผ้าออกมาจากตะกร้า ผ้าที่สองพี่น้องใช้นั้นคือผ้าหยาบสีฟ้าลายดอกไม้เหมือนกัน
หลิวเต้าเซียงปรึกษากับที่บ้านแล้ว มารดานำเงินออกมาหนึ่งพวง พวกนางที่เป็ผู้าุโน้อยกว่าจึงไม่อาจข้ามหน้าข้ามตาได้ จึงลดลงครึ่งหนึ่ง และเอาเงินออกมาคนละครึ่งพวง
เงินสองพวงถูกมอบไว้ในมือของเฉินซื่อที่อยู่เพียงลำพัง คงไม่ขัดสนนัก
เฉินซื่อเป็หญิงชราที่ฉลาดมาก นางมองไปที่บุตรสาวที่กลับมาปีละครั้ง การแต่งกายก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงเชื่อคำพูดของพวกนาง
ถูกต้อง วันนี้ทั้งครอบครัวสี่คนล้วนสวมใส่เครื่องประดับเงินและเครื่องประดับศีรษะ มีทั้งที่ซูจื่อเยี่ยนำมาให้ และที่เป็ของขวัญที่หลิวเต้าเซียงมอบให้ทั้งครอบครัว กระทั่งบนศีรษะของหลิวซานกุ้ยเองก็มีปิ่นปักผมไม้หอมสีม่วง นางมอบเป็ของแทนคุณ เมื่อสวมเสื้อเหมียนอ๋าวสีฟ้าตัวยาว มองดูแล้ว ราวกับบัณฑิตผู้สง่างาม
เฉินซื่อเห็นว่าบุตรสาวมีความเป็อยู่ที่ดีขึ้นก็ดีใจปลาบปลื้ม จึงรีบไปทำของอร่อยในครัว
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันและพูดคุยกันครู่หนึ่ง หลิวซานกุ้ยกำลังคิดจะพาภรรยาและลูกๆ กลับบ้าน
“นี่ ข้าไม่รั้งพวกเ้าหรอก แต่อากาศเป็ตัวรั้งพวกเ้าต่างหาก รีบดูเร็ว หิมะตกหนักแล้ว พวกเ้าจะไม่คิดค้างคืนที่นี่จริงหรือ?”
ขณะที่พูดเช่นนี้ เฉินซื่อชอบใจยิ่งนัก
กระทั่งฟ้าดินก็ช่วยเหลือนาง เปิดปีใหม่มาก็มีแต่เื่สุขใจ เฉินซื่อรู้สึกว่าปีนี้จะต้องเป็ปีที่ราบรื่นเป็แน่
หลิวเต้าเซียงยื่นศีรษะออกมาจากประตู กะพริบตาปริบๆ แล้วมองไกลออกไป หิมะตกหนักจริงด้วย วันนี้นางรู้สึกหนาวเข้ากระดูก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ วันนี้เราอย่าเพิ่งกลับกันดีกว่า”
กลับไปแล้วก็ต้องไปหาเื่ทรมาน ปรนนิบัติคนทั้งครอบครัวนั้นอีก ไม่เห็นต้องทำเช่นนั้นเลย
จางกุ้ยฮัวหวั่นไหวเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็หันไปมองหลิวซานกุ้ย หากเขาไม่เห็นด้วย นางก็จะไม่เอ่ยอะไร
หลิวซานกุ้ยมองไปที่หิมะข้างนอกเล็กน้อยจนเหม่อลอย รู้สึกว่ามีสายตาจากด้านซ้ายจดจ้องเขาอยู่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องเป็ภรรยาเขาแน่นอน
“เช่นนั้นคงต้องลำบากท่านแม่ช่วยหาเตียงให้สักสองเตียงแล้ว”
เฉินซื่อตอบด้วยใบหน้าที่มีความสุข “ไม่มีปัญหาๆ เดิมทีในบ้านก็มีว่างอยู่สองเตียงพอดี”
เตียงหนึ่งเป็ของจางกุ้ยฮัว อีกเตียงหนึ่งเป็ของจางอวี้เต๋อ
หลายปีมานี้นางอยู่ตามลำพัง แต่เวลาว่างก็มักจะทำความสะอาดเตียง และขอพรให้พระคุ้มครองลูกสองคนของนางให้มีแต่ความสงบสุขและปลอดภัย
ตอนนี้ความปรารถนาของนางเป็จริงครึ่งหนึ่งแล้ว
ในสายตาของนาง หลิวซานกุ้ยเป็เด็กที่ซื่อสัตย์ ในที่สุดก็ตั้งตัวได้ เห็นได้จากบุตรสาวของนางที่อยู่ในตระกูลหลิวเริ่มมีชีวิตที่ไม่ได้ลำบากเหมือนเช่นแต่ก่อน
นี่เป็เื่ที่น่ายินดีสำหรับเฉินซื่อ
วันนี้หลิวเต้าเซียงจึงได้พักค้างคืนที่บ้านของท่านยายแสนดี ได้กินขนมข้าวคั่ว
ขนมข้าวคั่วต้องรอวันที่แดดออกจ้าและมีลม นำข้าวเหนียวต้มสุกไปตากจนแห้ง เมื่อจะกินก็ใส่น้ำมันหมูลงในกระทะก่อน จากนั้นใส่ข้าวเหนียวลงไปคั่วให้สีออกเหลือง แล้วค่อยใส่แบะแซลงไป จนสุดท้ายให้มันเกาะติดกันเป็ก้อน
เฉินซื่อรีบนำข้าวคั่วหวานใส่ลงไปในกล่องไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านล่างทาน้ำมันเคลือบไว้หนึ่งชั้น จากนั้นนำที่นวดแป้งมากดทับบนกล่อง แล้วใช้มีดหั่นให้เป็ชิ้นที่หนากำลังดี เพียงเท่านี้ขนมข้าวคั่วก็ทำเสร็จแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนที่หลิวเต้าเซียงจะกลับบ้าน เฉินซื่ออาศัยจังหวะที่หลิวซานกุ้ยกับภรรยาไม่ทันสังเกต แอบใส่ไว้ในอ้อมอกของสองพี่น้องถุงใหญ่
นางยังแอบขยิบตาให้สองพี่น้อง เพื่อส่งสัญญาณว่าห้ามส่งเสียง จะได้ไม่ต้องให้จางกุ้ยฮัวเห็น แล้วไม่พอใจที่นางตามใจหลานสาวสองคนเกินไป
หลังจากกลับมาจากหมู่บ้านห้าสิบลี้ หลิวเต้าเซียงยังไม่รู้ว่าความสุขนั้นได้มาถึงอย่างกระทันหัน
ตลอดทางกลับมานางยกมุมปากขึ้นสูง เพราะว่าในบ้านยังมีคนมากมายรอใช้งานพวกนางอยู่ เสียงคำสั่งนั้นดังขึ้นราวกับน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย
“ชิวเซียง นำเมล็ดทานตะวันมาด้วย”
“เต้าเซียง รีบขึ้นไปช่วยก่อไฟหน่อย น้ำร้อนในบ้านหมดแล้ว”
“ชิวเซียง ไปช่วยข้ารีดเสื้อผ้า!”
“และของข้าด้วย”
“ของข้าด้วย!”
......
“เต้าเซียง ไปชงชาลู่อันกัวเพี่ยน [1] มาหนึ่งกา” นี่ต้องเป็คำสั่งจากหลิวสี่กุ้ยแน่
มีเพียงเขาที่มักจะแสดงว่าตนนั้นต่างจากพวก จึงจงใจนำชาลู่อันกัวเพี่ยนมาจากจวนตระกูลหวง ชานี้มีเพียงเขา หลิวต้าฟู่ หลิวฉีซื่อ หลิวเหรินกุ้ยและหลิววั่งกุ้ยที่สามารถดื่มได้ คนอื่นรอบข้างไม่มีใครได้รับส่วนแบ่ง
เช่นเดียวกับวันนี้ เมื่อหลิวเต้าเซียงเพิ่งก้าวเข้าประตู
“โอ้ เต้าเซียง เ้ากลับมาเสียที เด็กดี รีบช่วยลุงไปชงชาลู่อันกัวเพี่ยนมาหน่อย ป้าใหญ่กับเฉี่ยวเอ๋อร์ไม่ได้เื่ หากไม่ชงชาจนแก่เกินไปก็คือจืดเกินไป ดื่มแล้วไม่ชุ่มคอ ปู่ของเ้าบ่นั้แ่เช้าว่าเหตุใดเ้าจึงยังไม่กลับมา”
หลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้นหางตาก็ยิ่งเผยความเ็า มีผู้ใหญ่ที่ทำตัวเช่นนี้ด้วยหรือ?
นางไม่เชื่อว่าชุ่ยหลิวที่มาจากจวนตระกูลหวงจะชงไม่เป็! เห็นว่านางทำอาหารเป็ล่ะไม่ว่า
คงคิดว่าจะรังแกครอบครัวของนางได้อย่างง่ายดายจริงๆ อย่างนั้นหรือ!
-----
[1] ชาลู่อันกัวเพี่ยน ชาชนิดนี้เป็ชาเขียวชั้นดีจากมณฑลอันฮุย เมืองลู่อัน มีนามว่า 六安瓜片 ลู่อันกวาเพี่ยน (ชาเม็ดแตงแห่งลู่อัน)มีความหมายว่าชาเม็ดแตงแห่งลู่อัน ที่ได้ชื่อเช่นนี้เพราะลักษณะของใบชาอันคล้ายเม็ดแตง เป็ชาที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณ เป็หนึ่งในสิบสุดยอดชาจีนอันเลื่องชื่อ และเป็ชาเขียวชนิดพิเศษที่มีชื่อเสียงระดับโลก

