อูิโยวซ่อนตัวบนต้นไม้ ไม่กล้าแม้แต่ขยับ เพราะกลัวว่าผู้คนที่อยู่ด้านล่างจะสังเกตเห็น ไม่ใช่แค่คนเ่าั้ที่สงสัย แม้แต่ตัวเขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นในถ้ำแห่งนี้ ตัวเขาทำอะไรลงไป
ในที่สุดกลุ่มคนใต้ต้นไม้ก็ตัดสินใจได้ว่าจะทำเช่นไรต่อ พวกเขาก่อกองไฟ นำซากสัตว์ร้ายที่อยู่รอบๆ โยนเข้าไปในเปลวเพลิง
จากนั้นก็พากันขว้างคบเพลิงไปทางถ้ำพร้ะโกน
“ไม่ว่าสัตว์ชนิดใดจะอยู่ในนั้นก็จงลงนรกไปซะ อย่าได้คิดจะทำร้ายผู้คนในหมู่บ้านของพวกเรา!”
ภายใต้เพลิงที่โหมกระหน่ำ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกเผาจนเหลือเพียงความว่างเปล่า
เปลวไฟกองใหญ่อยู่ไม่ไกลจากอูิโยวนัก แม้ไฟจะไหม้กิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆ แต่ตัวเขากลับไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนเลยสักนิด ร่างกายเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งในฤดูหนาว
อูิโยวมองดูมือทั้งสองข้างที่เปื้อนเื เพราะผ่านมานานจึงทำให้เืแข็งตัวกลายเป็สีดำและส่งกลิ่นคาว เขาเอาแต่ถามตัวเองอยู่ในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ทำอย่างไรก็นึกไม่ออก ในหัวมีเพียงความว่างเปล่า
เปลวเพลิงในถ้ำมอดลงแล้ว คนเ่าั้พบว่าในถ้ำไม่มีสิ่งใดจึงโล่งอกและจากไป อูิโยวะโลงจากต้นไม้ พบบ่อน้ำในป่าจึงชำระล้างตัวให้สะอาด
น้ำบ่อในฤดูใบไม้ร่วงนั้นเย็นมาก แต่อูิโยวกลับไม่รู้สึกเลยสักนิด เวลานี้ร่างกายของเขาสูญเสียความรู้สึกต่างๆ ไปจนหมดสิ้น ขณะแช่ตัวอยู่ในน้ำก็พยายามอย่างหนักเพื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ทว่าเหมือนตัวเขาจะสูญเสียความทรงจำ ในหัวช่างว่างเปล่าเหลือเกิน
หลังจากนั้นเขาก็ออกเดินไปบนูเา ไร้ทิศทาง ไร้จุดหมาย กว่าจะรู้ว่าตนเองอยู่ที่ใดก็พบว่าผ่านไปสามวันสามคืนแล้ว
อูิโยวยืนอยู่บนยอดเขา เบื้องหน้ายังมีเขาสูงตระหง่านอีกลูก มองไม่เห็นปลายทางเลยสักนิด เมื่อนึกขึ้นได้ว่ากำลังจะเดินทางไปยังเทือกเขาจู่เสีย ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของดินแดนเจ๋อ ก็สับสนว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ใดกัน ั้แ่ที่ฟื้นขึ้นมาเวลาผ่านไปนานเพียงใดแล้ว
ไม่อาจรู้ได้ว่าสถานการณ์ที่เทือกเขาจู่เสียตอนนี้เป็เช่นไร เขาจึงไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่อีก เพราะเป็ห่วงพี่สาวและคนอื่นๆ มาก จึงรีบะโลงจากหน้าผาแล้วหาทางออกจากป่า
กลุ่มหมอกก่อตัวหนาทึบ อูิโยวเดินหลงอยู่ครึ่งค่อนวัน ในขณะที่ตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัด หมอกเบื้องหน้าก็จางหายไปเล็กน้อย ก่อนจะเห็นอาคารไม้แกะสลักปรากฏขึ้นระหว่างทางขึ้นเขา อูิโยวจึงรีบรุดไปจนถึงด้านหน้าอาคารไม้แห่งนั้น
ภายนอกอาคารดูเก่าแก่ รอบข้างเต็มไปด้วยวัชพืชรกร้าง เหมือนไม่มีใครเข้ามาดูแลสักพักใหญ่แล้ว มีแผ่นหินตั้งอยู่หน้าประตู ซึ่งถูกปกคลุมด้วยต้นหญ้าสูง อูิโยวก้าวไปข้างหน้าและใช้มือแหวกหญ้า จึงเห็นตัวอักษรใหญ่สามตัวเขียนอยู่บนนั้น ฮุ่นตุ้นเตี้ยน
ฮุ่นตุ้นเตี้ยนหรือ
อูิโยวสะดุ้ง จู่ๆ ก็มีชื่อหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว ดินแดนฮุ่นตุ้น!
เขาเคยได้ยินจากบิดาว่านอกจากดินแดนเจ๋อและฮ่วนิหยวนแล้วยังมีอีกแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าดินแดนฮุ่นตุ้น เป็ดินแดนที่ลึกลับยิ่งกว่าฮ่วนิหยวนเสียอีก
ไม่มีใครรู้ว่าดินแดนนั้นตั้งอยู่ที่ใด คำพรรณนาต่างๆ ก็เป็เพียงเื่ที่เล่าลือกันมา เมื่อเห็นว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบไม่ได้มีอะไรพิเศษ อูิโยวก็ไม่แน่ใจว่าที่แห่งนี้คือดินแดนฮุ่นตุ้นที่เล่าขานกันมาไหม
อาคารไม้ชำรุดทรุดโทรมเบื้องหน้ามีชื่อเขียนไว้ว่าฮุ่นตุ้นเตี้ยน แต่ก็ไม่รู้ว่าฮุ่นตุ้นเตี้ยนนี้กับดินแดนฮุ่นตุ้นมีความเชื่อมโยงกันหรือไม่
อูิโยวผลักประตูให้เปิดออก ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปก็ได้ยินเสียงระฆังดังขึ้นด้านหลัง แว่วน้ำเสียงคลุมเครือไม่ชัดเจนของพลังิญญา
มีคนอยู่ที่นี่!
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกด้านหลัง เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ อูิโยวก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็ชายวัยกลางคน บนศีรษะมีปิ่นปักผมไม้ ใบหน้าดูใจดี มีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก เขาสวมเสื้อคลุมสีเทา ด้านหลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่มีฝาปิด ไม่รู้ว่าในนั้นมีสิ่งใดอยู่ นอกจากนี้ในมือยังถือไม้เท้าที่มีกระดิ่งผูกอยู่้า เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่คงมาจากระฆังนี้
การได้พบใครสักคนในที่เช่นนี้ไม่ใช่เื่ง่าย อูิโยวจึงรีบก้าวเข้าไปโค้งคำนับชายผู้นั้น
“ท่านผู้าุโ”
ฝั่งนั้นไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงมองอูิโยวั้แ่หัวจรดเท้า ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา ดูแปลกประหลาดไม่น้อย
“ข้ามีนามว่าอูิโยว ไม่ทราบว่าควรเรียกท่านผู้าุโเช่นไรขอรับ”
ชายผู้นั้นตอบว่า “เรียกข้าว่าซู่ก็ได้”
อูิโยวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ผู้าุโซู่ ขอถามได้หรือไม่ว่าสถานที่นี้คือที่ใด อยู่ห่างจากเทือกเขาจู่เสียมากแค่ไหน”
ผู้าุโซู่ไม่ตอบ แต่ก้าวเข้าไปในฮุ่นตุ้นเตี้ยน
“ผู้าุโซู่...”
“เ้าหิวแล้วใช่ไหม เข้ามาหาอะไรกินสักหน่อยสิ”
ตอนที่ไม่ได้เอ่ยถึงก็ยังดีๆ อยู่ แต่เมื่อพูดเท่านั้นแหละ กระเพาะของอูิโยวก็ส่งเสียงคำรามตอบสนองต่อคำบอกนี้ แม้จะเก็บผลไม้ป่ากินไปมากมาย แต่ผลไม้เ่าั้ก็ไม่ได้ช่วยให้อิ่มสักเท่าไร
เมื่อเห็นว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีท่าทีเป็ศัตรู อูิโยวก็ลังเลอยู่เพียงครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็ขอขอบคุณท่านผู้าุโเป็อย่างยิ่ง!” จากนั้นก็เดินตามเข้าไปในอาคารไม้อย่างรวดเร็ว
ภายนอกของอาคารดูเก่าแก่ ทว่าภายในถูกทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง ไม่มีฝุ่นแม้แต่นิด
ทันทีที่เขาเข้าไปด้านในก็เห็นขาตั้งทองสัมฤทธิ์วางอยู่กลางลานขนาดเล็ก มีธูปยาวสามดอกปักอยู่ในนั้น ควันลอยคละคลุ้ง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เมื่อได้กลิ่นหอมของธูปนี้กลับทำให้จิตใจรู้สึกสงบราวกับผิวน้ำนิ่ง ความร้อนรนใจไร้ซึ่งอดทนก่อนหน้าที่เคยรู้สึกพลันหายไปจนหมดสิ้น
“ไม่ทราบว่าธูปที่ปักอยู่ในกระถางนั้นท่านผู้าุโใช้กราบไหว้ใครหรือขอรับ”
ผู้าุโซู่ยิ้ม “ฟ้าผืนนี้ แผ่นดินผืนนี้ สิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่ง แม้แต่จิตใจของมนุษย์ สิ่งไหนที่สามารถกราบไหว้ก็กราบไหว้ได้ทั้งหมด”
อูิโยวเกาหน้าผากด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ
ผู้าุโซู่ส่ายหัวและถอนหายใจ จากนั้นจึงเดินเข้าห้องชั้นใน อูิโยวยังไม่ได้ก้าวตามไป ยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าขาตั้งทรงสี่เหลี่ยมและหลับตาลงช้าๆ เขารู้สึกว่าการยืนอยู่ตรงนี้ทำให้ความพุ่งพล่านในเืสงบลง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด แต่เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ธูปยาวสามดอกในกระถางเบื้องหน้ายังไหม้ไม่หมด เมื่อมองดูความยาวธูปที่ยังหลงเหลือ อูิโยวก็คิดว่าธูปนี้ช่างเผาไหม้ช้าเหลือเกิน
ผู้าุโซู่นั่งอยู่บนระเบียงไม้ที่อยู่ไม่ไกล ในมือถือถ้วยชาแล้วยกดื่มด้วยท่าทีสบายใจ ข้างกายมีโต๊ะตั้งอยู่ บนนั้นมีอาหารถูกจัดเรียงเอาไว้ ดูเหมือนเพิ่งจะทำเสร็จได้ไม่นานเพราะยังมีไอร้อนลอยขึ้นมาอยู่
อูิโยวก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับเขา
“ผู้าุโซู่ ิโยวเสียมารยาทที่ปล่อยให้ท่านรอนาน”
ผู้าุโซู่ชี้ไปยังอาหาร “กินเถอะ”
อูิโยวหิวโหยมานาน จึงหยิบอาหารขึ้นมาทานทันที ั้แ่แอบออกมาจากหุบเขาไป่หลิง เขาก็ไม่ได้รับประทานอาหารอุ่นๆ เลย แม้อาหารตรงหน้าจะจืดชืดแต่ก็ถูกปากเขามาก
“ขอบพระคุณท่านผู้าุโ!” เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ิโยวก็เก็บจานและตะเกียบจนเรียบร้อย แล้วจึงนั่งลงข้างกายผู้าุโซู่อีกครั้ง
ผู้าุโซู่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกับกล่าว “รัศมีจันทร์เจิดจ้า เปล่งแสงบดบังทุกสรรพสิ่ง อนิจจา คืนนี้คงไม่เหมาะสำหรับดูดาว”
พระจันทร์ส่องสว่างอยู่บนฟากฟ้า ดวงดาวถูกแสงนั้นบดบัง อูิโยวจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดารานั้นคือเมื่อไร จำไม่ได้แม้กระทั่งตอนนั้นอยู่กับใคร
“ท่านผู้าุโช่วยบอกิโยวได้หรือไม่ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด”
อีกฝ่ายยกมือขึ้นรินชาใส่ถ้วย ก่อนจะวางไว้เบื้องหน้าเขา “เ้ามีคำตอบในใจอยู่แล้วมิใช่หรือ เหตุใดยังมาถามข้าอีก”
อูิโยวประหลาดใจ “ที่นี่คือดินแดนฮุ่นตุ้นจริงๆ หรือ”
ผู้าุโซู่กล่าว “นับว่าใช่ สิ่งที่ถูกเรียกว่าเป็ดินแดนฮุ่นตุ้นไม่ได้มีเพียงเทือกเขาชางซานที่ทอดยาวต่อกันเท่านั้น หากพูดให้ชัดเจนขึ้น แดนเจ๋อและฮ่วนิหยวนก็รวมว่าเป็ดินแดนฮุ่นตุ้นด้วย”
เมื่อเห็นอูิโยวขมวดคิ้ว ผู้าุโซู่จึงโบกมือแล้วกล่าวต่อ “ช่างเถอะ ไม่ว่าข้าจะพูดมากแค่ไหน หากเ้าไม่เข้าใจก็ไร้ประโยชน์!”
“ถ้าเช่นนั้นที่นี่อยู่ไกลจากเทือกเขาจู่เสียมากน้อยเพียงใด”
“ไกลเพียงใดน่ะหรือ”
“ขอรับ ไกลเพียงใด” อูิโยวพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“ขอคิดดูก่อนว่าควรจะตอบเ้าอย่างไร”
ผู้าุโซู่จับคางครุ่นคิดอยู่นาน เวลาผ่านไปจนชาในกาเย็นลง แต่ิโยวก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายขยับตัวสักนิด
ในที่สุดเขาก็อดรนทนไม่ไหว จึงะโขึ้น “ท่านผู้าุโ ท่านผู้าุโซู่!”
เขาลุกขึ้นเดินไปยังเบื้องหน้าผู้าุโ ก่อนจะพบว่าคนผู้นี้หลับไปแล้ว
“นี่...” อูิโยวไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในบ้าน หาผ้าห่มผืนบางมาผืนหนึ่งและนำมาห่มให้ผู้าุโ แล้วนั่งลงที่เดิมก่อนจะยกชาขึ้นดื่ม ชาเย็นชืดแล้วทำให้เสียรสชาติไปสักหน่อย
เขาจำได้ว่าทุกครั้งที่ตนอยากดื่มชาที่เย็น หลิ่วไป๋เจ๋อจะเทน้ำชาทิ้งและรินให้เขาใหม่เสมอ ที่แท้รสชาติของน้ำชาที่เย็นแล้วก็จืดชืดเช่นนี้นี่เอง
ิโยวถอนหายใจ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่เทือกเขาจู่เสียในเวลานี้เป็เช่นไร ไป๋เจ๋อ ท่านพี่หญิงและคนอื่นๆ ยังคงปลอดภัยดีหรือไม่
อูิโยวไม่รู้สึกง่วงแม้แต่นิด ตอนนี้ยามใดกันนะ สายลมเย็นพัดผ่าน กระดิ่งบนไม้เท้าของผู้าุโซู่ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
น่าแปลกที่จู่ๆ ดวงตาของอูิโยวก็เริ่มพร่ามัว เขายกมือขึ้นขยี้ตา เมื่อลืมตาขึ้นและมองภาพเบื้องหน้าให้ชัดเจนอีกครั้งก็พบว่ามีบางสิ่งไม่ปกติ
ความยาวของธูปสามดอกที่ปักอยู่ในกระถางธูปทองสัมฤทธิ์นั้นเหมือนจะต่างไปจากเดิม มันควรมอดไหม้จนใกล้จะหมด แต่เหตุใดกลับดูเหมือนจะยาวขึ้น ราวกับเพิ่งถูกเปลี่ยนใหม่อย่างไรอย่างนั้น
เขาหันไปมองผู้าุโซู่ที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่ายยังคงนอนหลับและไม่มีทีท่าว่าจะตื่น หากเป็เช่นนั้นแล้วธูปในกระถางถูกเปลี่ยนั้แ่เมื่อใดและใครเป็คนเปลี่ยน
เพราะไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ อูิโยวจึงไม่สนใจเื่นี้อีก ทิ้งตัวลงนอนบนระเบียงทางเดินไม้ ทอดมองพระจันทร์ที่ส่องสว่างบนผืนฟ้า บางทีอาจจะเป็เพราะกลิ่นหอมของธูปที่ทำให้เขารู้สึกง่วงงุน จึงเข้าสู่ห้วงนิทราไปหลังจากนั้นไม่นาน
“เ้าหนุ่ม ข้าขอถามหน่อยสิ เ้ากลัวอะไรมากที่สุดในโลกนี้”
อูิโยวลืมตาขึ้นมาทันที ผู้าุโซู่ที่อยู่ข้างกายยังคงดื่มชาอยู่เช่นเดิม ชาส่งกลิ่นหอมและยังคงมีไอร้อน เมื่อครู่ผู้าุโหลับอยู่มิใช่หรือ ตื่นั้แ่เมื่อไรกัน
“เ้าหนุ่ม ข้าถามเ้าอยู่นะ!” ผู้าุโซู่เอ่ยย้ำ
“อ๋อ! เอ่อ...” อูิโยวนั่งหลังตรง ทบทวนคำถามของผู้าุโ “กลัวสิ่งใดน่ะหรือ สิ่งที่ข้ากลัวที่สุดคือการถูกครอบครัวทอดทิ้ง สหายพบเจอความทุกข์”
“แล้วถ้าหากทั้งสองสิ่งนั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน และสามารถเลือกได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เ้าจะทำอย่างไร”
อูิโยวยิ้ม “ท่านผู้าุโ คำถามนี้ดูเหมือนจะทำให้ิโยวลำบากใจเกินไป”
ผู้าุโซู่ส่ายหัว “ในโลกนี้มีสิ่งที่ต้องตัดสินใจเลือกมากมาย ขึ้นอยู่ว่าเ้าจะเลือกอย่างไร”
“ข้าหรือ” ิโยวไม่สามารถตอบได้จึงทำเพียงส่ายหัว “ิโยวไม่รู้”
แต่ก็ได้เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ข้า อูิโยว จะไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
ผู้าุโซู่มองเขาแล้วเอ่ย “นี่คือลิขิต์ เ้าจะควบคุมโชคชะตาได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอูิโยวก็หัวเราะออกมา “ลิขิต์อย่างนั้นหรือ ข้าเดินตามทางที่ตนเองลิขิต จะใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับวิถีแห่ง์เสียหน่อย”
ผู้าุโซู่มีท่าทีสงบนิ่ง ไม่ได้แสดงกิริยาใดออกมา
——————————————
