หลังกินมื้อเย็น ผูหยางชิงหลันก็อำลากลับไปก่อน กลับมาถึงเมืองหลวง เขามีธุระต้องสะสางอีกหลายเื่
เหลียนเซวียนส่งพวกเขาศิษย์อาจารย์ที่หน้าประตู
"ศิษย์พี่ เสด็จพ่อรับสั่งให้ท่านเข้าวังหลังกลับมาถึงเมืองหลวง" เหลียนเซวียนเอ่ยเสียงเบาประโยคหนึ่ง
ผูหยางชิงหลันเข้าใจความหมายของเขา จึงให้อวี๋เฟิงหยางกลับไปก่อน ถึงกดเสียงต่ำเอ่ยถาม "พระอาการพระองค์ไม่ดีหรือ?"
"ไม่ดีนัก พิษจากยาลูกกลอนทำให้พระองค์ย่ำแย่ลงทุกวัน" เหลียนเซวียนเตือนเขา "พระอารมณ์หงุดหงิดง่าย ได้ยินว่า่นี้อาละวาดใส่ราชอาลักษณ์ถวายงานไปหลายคนแล้ว ศิษย์พี่ต้องระวังให้ดีเล่า"
ถึงแม้ผูหยางชิงหลันจะมีสถานะพิเศษ แต่ถ้าไปยั่วโทสะอู่เซวียนตี้ เกิดพระองค์ไม่เห็นแก่ไมตรีขึ้นมา ก็จะเป็อันตรายอย่างมาก
"อื้อ ข้ารู้แล้ว" ผูหยางชิงหลันพยักหน้า สายตามองไปยังหมู่ดาราระยิบระยับบนนภา
โอรส์พิโรธ ธารโลหิตหลั่งพันลี้ เหตุผลนี้เขาย่อมเข้าใจดี
"อย่างไรเสียก็ต้องระวัง บางคำพูดก็อย่าเถรตรงเกินไปนัก เมื่อก่อนยามอาจารย์มีชีวิตอยู่ ยังเกลี้ยกล่อมพระองค์ไม่ได้ ท่านก็อย่าไปดึงดัน พยายามทำให้ดีที่สุดก็พอ ผลลัพธ์จะเป็เช่นไรก็ไม่ใช่ความผิดศิษย์พี่"
เหลียนเซวียนกลัวว่าเขาทำเหิมเกริมจนชิน ควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่อยู่
"เอาน่า ข้ารู้จักขอบเขตอยู่หรอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เข้าวังเสียหน่อย เ้าก็อย่าวิตกนักเลย"
ผูหยางชิงหลันโบกมือ เดินไปด้วยสีหน้ารำคาญ
จำนวนครั้งที่เข้าวังั้แ่เล็กใช่น้อยเสียเมื่อไร จะไม่เข้าใจอารมณ์ของอู่เซวียนตี้ได้อย่างไร อาจารย์ยังเกลี้ยกล่อมไม่ได้ เขาเองก็ไม่ใช่คนเขลา
เมื่ออู่เซวียนตี้ยังไม่ใส่พระทัยกับชีวิตพระองค์เอง เขาจะไปเ้ากี้เ้าการอะไรได้
ให้ชะตากำหนดเป็ตายของพระองค์ก็แล้วกัน
เหลียนเซวียนมองเขาเดินเข้าประตูใหญ่บ้านข้างเคียงไปแล้ว ถึงหมุนตัวกลับไปโถงหน้า
ยามนี้เซวียเสี่ยวหรั่นกำลังเบิกตากว้างมองสาวใช้สามสี่คนยกอาหารออกไป
พอเห็นเขากลับมา ก็เดินเข้าไปหาพลางกระซิบถาม "ท่านพาสาวใช้มากมายเหล่านี้มาทำไม
เหลียนเซวียนก้มมองนาง พลันรู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง คิ้วสวยๆ ของนางมุ่นขมวด ริมฝีปากยื่นออกมาน้อยๆ เห็นชัดว่าไม่อยากใช้งานสาวใช้ที่เขาพามาด้วย
เฮ่อ... ช่างเป็แม่นางที่เอาใจยากและดื้อรั้นยิ่งนัก
ขณะทอดถอนใจอยู่เงียบๆ สมองกลับคิดหาเหตุผลอย่างรวดเร็ว
"หงกู พาพวกเสี่ยวเหล่ยกับหลันฮวาไปพักผ่อนก่อนเถอะ"
รอจนสาวใช้เก็บโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เหลียนเซวียนถึงสั่งให้คนออกไป
ในห้องโถงเหลือเพียงเขาและนางสองคน เหลียนเซวียนบอกเป็นัยให้นั่งลง
"มีอะไรหรือ?" เซวียเสี่ยวหรั่นมองเขาด้วยความสงสัย แต่กลับยังนั่งลงตามที่เขา้า
"เสี่ยวหรั่น เรือนหลังนี้ของเ้าไม่นับว่าเล็ก เ้าคิดว่า อยู่กันเพียงสามคน กลางค่ำกลางคืนอุ่นใจได้หรือ" เหลียนเซวียนเรียบเรียงคำพูดก่อนเริ่มเกลี้ยกล่อมอย่างละมุนละม่อม
เซวียเสี่ยวหรั่นทำตาปริบๆ มองท้องฟ้ามืดสนิทนอกระเบียงกว้าง ก่อนจะเม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
ก็ใหญ่จริง หากพวกนางอยู่กันแค่สามคน เสี่ยวเหล่ยยังไม่โตเป็หนุ่ม อยู่คนเดียวในเรือนหน้ากว้างใหญ่ ต่อให้มีอาเหลยเพิ่มเข้ามา ก็ยังไม่น่าวางใจเท่าไร
นางกับอูหลันฮวาอยู่เรือนด้านหลัง แม้จะมีคนอยู่เป็เพื่อน แต่ก็อยู่ด้านหลัง ซ้ำยังมีสวนดอกไม้กับห้องเก็บของ กลางคืนมืดสนิท นึกๆ ดูแล้วหนังศีรษะก็เริ่มชาอยู่บ้าง
พอเห็นนางกลืนน้ำลายอย่างเคร่งเครียด เหลียนเซวียนก็พยายามข่มรอยยิ้มลงไป
แม่นางผู้นี้เป็โรคกลัวความมืด เป็การเบิกทางตรงจุด
"เรือนหลังใหญ่ขนาดนี้ หากเ้าไม่เพิ่มคนเข้ามาบ้าง ใครจะรักษาความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูในแต่ละวัน ถ้าจะให้อูหลันฮวาทำคนเดียว ต่อให้เหนื่อยจนแทบพิการก็ยังทำไม่หมด
เหลียนเซวียนทำสีหน้าจริงจัง พูดต่อไป
"แล้วก็อีกอย่าง หากพวกเ้าจะออกไปข้างนอก ก็้าสารถีบังคับรถ หรือเ้านึกว่าฝึกบังคับรถแค่สองวันก็สามารถบังคับรถม้าเองได้แล้ว?"
"หรือบางทีเ้าอาจใช้สองเท้าเดินไปไหนต่อไหน แต่เมืองหลวงมิอาจเทียบกับเมืองเล็กๆ ระยะห่างระหว่างตะวันออกกับตะวันตกของเมืองไม่ใช่ใกล้ๆ นั่งรถม้ายังต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยามกว่าถึงจะไปถึง อาศัยแค่สองเท้า เดินั้แ่เช้ายันค่ำถึงจะวนในเมืองได้สักรอบ"
เซวียเสี่ยวหรั่นกะพริบตาถี่ๆ แม้ถ้อยคำของเขาจะมีเหตุผล แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างทะแม่งๆ อยู่นะ
"ยามพวกเ้าออกไปข้างนอก หากแม้แต่บ่าวหญิงเฝ้าประตูก็ยังไม่มี จะออกไปอย่างสบายใจได้หรือ เกิดขโมยขึ้นบ้าน ก็สามารถเดินหน้าสลอนออกไปได้เลยสิ"
ยิ่งฟังเซวียเสี่ยวหรั่นก็ยิ่งรู้สึกว่าหากตนเองไม่เพิ่มคน ก็คงอยู่เรือนหลังนี้ต่อไปไม่ไหว
เช่นนั้นท่านคิดว่าข้าควรเพิ่มสักกี่คนล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นหาใช่คนที่ไม่รู้จักการปรับตัว เมื่อมาถึงเมืองหลวง ก็ต้องทำตัวให้กลมกลืนกับที่นี่
บ้านทุกหลังล้วนมีสาวใช้ทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็ก หากทำตัวผิดแผกจากผู้อื่นเกินไป อาจสร้างความเคลือบแคลงสงสัยได้
กว่าจะพูดให้แม่นางหัวดื้อผู้นี้ยอมอ่อนลงได้ไม่ง่ายนัก เหลียนเซวียนลอบนึกยินดีอยู่ในใจ แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม
"หงกู เรียกคนทั้งหมดเข้ามา"
ไม่ช้า หงกูก็สั่งให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่โถงหน้า
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นคนสิบกว่าคนยืนอยู่เบื้องหน้า ก็อึ้งงันไปชั่วขณะ
เยอะขนาดนี้เชียว? เปลือกตาของเซวียเสี่ยวหรั่นกระตุกอย่างแรง
"คุณหนู นี่คือชิงเยว่กับชิงหนิง ชิงเยว่ชำนาญเื่การทำผมและแต่งหน้า ชิงหนิงก็รู้จักเหล่าสตรีในเมืองหลวงเป็อย่างดี"
หงกูแนะนำหญิงสาวที่แต่งชุดสาวใช้สองคน ท่าทางอายุสิบหกสิบเจ็ด หน้าตาจัดอยู่ในระดับปานกลาง กิริยางดงาม คารวะให้นางอย่างมีมารยาท
เซวียเสี่ยวหรั่นยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง หงกูก็แนะนำต่อไป "คุณหนู นี่คือหญิงปักผ้าหลินเหนียงจื่อ นี่คือแม่ครัวฟางเหนียงจื่อ ส่วนนี่คือผู้ดูแลม้า..."
ขณะที่นางกำลังแนะนำ เซวียเสี่ยวหรั่นก็มองตาค้าง
คนเหล่านี้ล้วนคารวะเธอ รอยยิ้มของเซวียเสี่ยวหรั่นแข็งค้างไปเล็กน้อย
หลังแนะนำจบ หงกูก็พาคนออกไป
เซวียเสี่ยวหรั่นถลึงตาใส่ใบหน้าแฝงแววเอ้อระเหยลอยชายของเหลียนเซวียน "ต้องใช้คนมากเช่นนี้ที่ไหนกัน"
เหลียนเซวียนรู้สึกว่าไม่เยอะ เขาคิดว่าน้อยไปด้วยซ้ำ "อ้อ เ้าคิดว่าคนไหนเกินจำเป็เล่า?"
"เอ่อ... คนไหนหรือ? ข้าทำอาหารเองได้ จะเอาแม่ครัวไปทำไม" เซวียเสี่ยวหรั่นคิดก่อนพูด
เหลียนเซวียนหัวเราะ "หรือเ้าคิดจะตื่นแต่เช้า เพื่อมาทำอาหารเลี้ยงคนมากมาย ยังมีมื้อกลางวันและมื้อเย็นอีกนะ"
นางเป็คนไม่ชอบตื่นเช้า จะขยันขันแข็งเพียงนั้นหรือ
เซวียเสี่ยวหรั่นอึ้งงัน จริงด้วยสิ คนเยอะขึ้น ดูเหมือนจะเป็ปัญหาใหญ่จริงๆ
"แล้วหญิงปักผ้าเล่า?"
"เ้ากับอูหลันฮวาไม่ค่อยคล่องงานเย็บปักถักร้อยมิใช่หรือ ฝีมือการทำกระเป๋าสะพายหลัง ก็ยังไม่ค่อยดีนัก หญิงปักผ้าย่อมสามารถช่วยได้มาก" เหลียนเซวียนมีเหตุผลเพียงพอ
เซวียเสี่ยวหรั่นครุ่นคิด "เหตุใดถึงต้องมีบ่าวชายสองคนด้วยเล่า"
"คนหนึ่งไว้เฝ้าประตู อีกคนไว้เป็สหายร่วมเรียน [1] ของเสี่ยวเหล่ย เ้าคิดว่าเหมาะสมหรือไม่" เหลียนเซวียนสีหน้าไม่แ่ลงไป
ท้ายที่สุดเซวียเสี่ยวหรั่นก็รู้สึกเหมือนตนเองตกหลุมพรางที่เหลียนเซวียนขุดดักรอไว้อย่างไรอย่างนั้น
...
[1] สหายร่วมเรียนในที่นี้หมายถึงเด็กรับใช้ชายที่ติดสอยห้อยตามเ้านาย คอยฝนหมึก เตรียมอุปกรณ์การศึกษา และร่วมเรียนหนังสือไปด้วย
