แววตาของนางบริสุทธิ์ราวกับไม่ได้เข้ามาในวังนาน นอกจากฮั่วเยี่ยนไหวแล้วก็ไม่รู้จักผู้อื่นอีก นางจึงแสดงท่าทีประหม่าออกมา
ฮองเฮามองไปทางโต๊ะของฮั่วเยี่ยนไหวด้วยแววตาลำบากใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไป๋เซี่ยเหอนั่งอยู่ตรงนั้น แววตาก็แปรเปลี่ยนเป็ปลอบโยน
ทำให้ไป๋เซี่ยเหอรู้สึกดีกับนางมากขึ้นเล็กน้อย
การมีบุคคลที่จริงใจอย่างฮองเฮาในสภาพแวดล้อมอย่างวังหลวงเช่นนี้นับว่าหาได้ยากจริงๆ
โหยวพิงถิงทราบว่าฮ่องเต้และฮองเฮาไม่เคยตัดสินใจแทนฮั่วเยี่ยนไหวมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นนางจึงไม่คาดหวัง
นางบิดเอวอันบอบบางเดินมาที่ข้างกายของฮั่วเยี่ยนไหวทีละก้าว คนยังไม่ทันเดินมาถึง น้ำเสียงอันนุ่มนวลและสั่นเครือก็ดังขึ้น ชวนให้ผู้คนรู้สึกสงสาร
“พิงถิงถวายบังคมเซ่อเจิ้งอ๋องเพคะ”
หลังจากกันเมื่อปีนั้น เมื่อนางได้พบเขาอีกครั้งก็ทำได้เพียงทำความเคารพอย่างอ่อนน้อมด้วยความห่างเหิน
นางหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เป็กริชเล่มหนึ่ง
ปลอกของกริชทำจากไม้ ลวดลายบริเวณปลอกเกิดจากการใช้มีดเล่มเล็กๆ แกะสลักอย่างไม่ได้ประณีตนัก กระทั่งบอกได้ว่าดูหยาบเล็กน้อย
บนปลอกที่ทำจากไม้มีคราบเืที่ล้างออกไม่หมด ดูเด่นสะดุดตาอยู่บนปลอกสีเหลืองแกมน้ำตาล
ไป๋เซี่ยเหอสังเหตเห็นว่านับั้แ่กริชเผยโฉมออกมา ความหนาวเหน็บที่แผ่ออกมาจากร่างของบุรุษข้างกายก็เย็นะเืยิ่งกว่าเดิม
เงาร่างที่อยู่เหนือผู้คนของเขา จู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็โดดเดี่ยวและเงียบงัน
แม้กระทั่งแววตายังมืดสลัว ส่วนนิ้วที่วางบนที่รองแขนจิกเก้าอี้แน่นเสียจนข้อนิ้วขึ้นสีขาว
“เ้าคงสบายดีกระมัง?”
เขาถามเสียงเบา แม้ไป๋เซี่ยเหอจะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่านางยืนยันได้ว่าอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างปุบปับของฮั่วเยี่ยนไหวนั้นมีความเกี่ยวข้องกับกริชเล่มนี้
ไป๋เซี่ยเหอไม่ต้องรอคำตอบจากฮั่วเยี่ยนไหว เพราะความสงสัยของนางได้คลี่คลายลงในเวลาต่อมา
โหยวพิงถิงกัดริมฝีปากล่างจนซีดขาว ใบหน้าเล็กที่เดิมทีซีดเซียวอยู่แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็ซีดเผือดในชั่วพริบตา
“นี่คือสิ่งที่สหายร่วมรบของท่านพ่อนำมาคืนข้า เขาบอกว่าท่านพ่อตายได้อย่างน่าสังเวชนักเมื่อปีนั้น แม้แต่เกราะยังพังทลาย ใบหน้าเปลี่ยนไปเสียจนจำไม่ได้เพราะเต็มไปด้วยาแ มีเพียงกริชเล่มนี้เท่านั้นที่ถูกทับไว้ใต้ร่างของเขา...”
“ด้วยสภาพสมบูรณ์”
ราวกับนางได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในการเอ่ยถ้อยคำนี้ จากนั้นนางก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลรินลงมาด้วยความเศร้าโศกจนถึงขีดสุด
ราวกับฮั่วเยี่ยนไหวได้ย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน...
เนื่องจากยามนั้นเขาชนะาติดกันหลายครั้ง และบีบบังคับคู่ต่อสู้ให้ยอมจำนนสิบกว่าเมือง ความบ้าบิ่นในวัยเยาว์ทำให้ไม่เห็นผู้ใดก็ตามอยู่ในสายตา
ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าวันหนึ่งเขาจะถูกบางคนคิดบัญชีในความหยิ่งผยองของเขา!
การรบครั้งนั้นเขาปราชัย เขาได้สูญเสียแม่ทัพเวยอู่ที่เป็ทั้งอาจารย์และสหาย หรือก็คือบิดาของโหยวพิงถิงไป
แม้ว่าเขาจะล้างแค้นอย่างรวดเร็ว ทว่าแม่ทัพเวยอู่ไม่อาจฟื้นคืนชีพได้อีก
หลายปีมานี้เขาแบกรับความรู้สึกผิดบาปเอาไว้ เขาปรารถนาให้คนที่ตายเมื่อปีนั้นเป็เขา
หลอดเืดำข้างจุดไท่หยาง[1]ของฮั่วเยี่ยนไหวปูดออกมา เก้าอี้ใต้ฝ่ามือเกิดรอยร้าว สตรีที่งดงามและบอบบางร่ำไห้อย่างไร้เสียงอยู่กลางท้องพระโรง
บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ ความเงียบงันทำให้ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจอันแ่เบาและเสียงสะอื้นเท่านั้น
เมื่อมีคนปวดใจ ก็ย่อมมีคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
ไป๋หว่านหนิงที่จดจ่ออยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างยิ่ง หน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง
นางแทบจะมองเห็นสภาพอันน่าสังเวชใจของไป๋เซี่ยเหอในตอนที่ถูกหย่าร้างเสียแล้ว
ไม่เพียงแต่ไป๋หว่านหนิงเท่านั้น คนส่วนใหญ่ในที่นี้ต่างก็ชอบดูละคร
คนหนึ่งเป็สตรีแปลกหน้าที่ถูกยัดเยียดให้ อีกคนคือบุตรีโทนของสหายร่วมรบที่เป็ทั้งอาจารย์ทั้งสหาย
นอกจากนี้ ยังได้ยินว่าก่อนที่แม่ทัพเวยอู่จะปกป้องเซ่อเจิ้งอ๋องจนตัวเองต้องสิ้นชีพ เขาเคยฝากฝังบุตรีกับเซ่อเจิ้งอ๋องด้วยตนเอง
สตรีผู้ใดจะสำคัญกว่ากัน ย่อมเห็นได้ชัดเจนในปราดเดียว
“ผู้ใดก็ได้ประคองอันหนิงจวิ้นจู่ไปนั่งที”
น้ำเสียงที่ไพเราะเสนาะหูนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เสียงของฮั่วเยี่ยนไหว สายตาของทุกคนมองไปทางสตรีที่อยู่ข้างกายเขา
ทั้งใจกว้างและสงบนิ่ง
ฮั่วเยี่ยนไหวไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ ออกมา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเขายอมรับในคำพูดของว่าที่ชายาเซ่อเจิ้งอ๋องผู้นี้อยู่กลายๆ
นางกำนัลที่คอยรับใช้ในงานเลี้ยงสองคนก้าวเข้ามาทันที จากนั้นก็ประคองแขนของโหยวพิงถิงขึ้นมาคนละข้าง
โหยวพิงถิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาด้วยท่วงท่าที่สง่างาม จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางๆ ทันที ไฝตรงดวงตาของนางชวนให้หลงใหล “ท่านนี้คือว่าที่ชายาเซ่อเจิ้งอ๋องกระมัง งดงามจริงๆ เ้าค่ะ”
แววตาของนางมีเพียงความชื่นชมและประหลาดใจ
ไป๋เซี่ยเหออมยิ้ม ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ห่างเหินและไม่จงใจตีสนิท “เ้าก็งดงามมากเช่นเดียวกัน”
ทุกคนคิดว่าาไร้เขม่าควันคงไม่เกิดขึ้นเมื่อโฉมสะคราญทั้งสองชมเชยซึ่งกันและกัน
หลังจากโหยวพิงถิงนั่งลงข้างกายของฮั่วเยี่ยนไหวแล้ว งานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้น
การร้องรำทำเพลงที่งดงามและครื้นเครงได้ปัดเป่าบรรยากาศเมื่อครู่ทิ้งไป ทว่าไม่อาจกำจัดแผนการเ้าเล่ห์ในใจของผู้อื่นได้
“ยินดีกับเสด็จอาด้วยที่ทรงมีชายามากมายคอยร่วมแบ่งปันความสุขพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่วิเชินยืนก่อนจะยกจอกขึ้น พลางเปล่งเสียงไม่ดังไม่เบาออกมา ดึงดูดสายตาของผู้คนได้ไม่น้อย
ฮั่วเยี่ยนไหวกระแทกจอกในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง กริชเล่มนั้นที่สอดไว้บริเวณหน้าอกร้อนรุ่มเล็กน้อย
เขาไม่ตอบ ทว่าร่างกายกลับแผ่อำนาจที่ชวนให้ใ อำนาจไร้ลักษณ์กดทับให้ฮั่วิเชินต้องจำใจนั่งลง
ใบหน้าของโหยวพิงถิงเปลี่ยนเป็ซีดเผือดทันที นางดูลุกลี้ลุกลน มือจึงปัดไปโดนจอกสุราโดยไม่ระวัง
“ไท่จื่ออย่าตรัสเหลวไหล เช่นนี้จะทำให้พระชายาเข้าใจผิดนะเพคะ พิงถิงไม่เคยคิดที่จะแทรกแซงความสัมพันธ์ของพวกเขาเลย ในใจของพิงถิงนับถือเซ่อเจิ้งอ๋องเป็เพียงพี่ชายเท่านั้นเพคะ”
เมื่อกล่าวจบนางก็ใช้สายตาอ้อนวอนมองไปที่ไป๋เซี่ยเหอทันที ด้วยท่าทีที่คล้ายกับกระต่ายขาวตัวน้อยก็ไม่ปาน
“พี่สะใภ้หวังเฟย[2]อย่าได้เข้าใจผิดนะเ้าคะ เมื่อปีนั้นยามที่ข้ายังอยู่ที่ชายแดน ข้าเรียกขานว่าพี่อ๋องมาโดยตลอด ตอนนี้ท่านคือชายาเซ่อเจิ้งอ๋อง นับได้ว่าท่านเป็พี่สะใภ้ของข้า ท่านอย่าเข้าใจข้าผิดนะเ้าคะ”
ระหว่างอธิบายก็แทบร่ำไห้ออกมาด้วยความร้อนใจ ทำให้เหล่าชายหนุ่มต่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกบีบหัวใจ
หากไม่รู้เื่รู้ราวก็คงคิดว่าเหตุใดไป๋เซี่ยเหอถึงได้รังแกอีกฝ่ายเช่นนี้
“นางไม่เข้าใจผิดหรอก”
น้ำเสียงอันเฉยเมยของฮั่วเยี่ยนไหวดังขึ้น สังเกตได้ไม่ยากว่ามีเจตนาที่้าจะปกป้องแฝงอยู่ในนั้น
โหยวพิงถิงจึงคลี่ยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ดีเพคะ ขอเพียงพี่สะใภ้เชื่อใจข้า ส่วนคนอื่น เราไม่ต้องไปสนใจหรอกเพคะ”
คำว่า ‘คนอื่น’ นั้น เห็นได้ชัดว่าหมายถึงฮั่วิเชิน
สีหน้าของฮั่วิเชินมืดครึ้มลงทันที ใบหน้าไร้แสง เมื่อสตรีร่างกายอ่อนช้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ อิงแอบเข้ามา ก็ถูกเขาผลักออกไป
ไป๋หว่านหนิงทั้งโมโหทั้งดีใจ
โมโหที่โหยวพิงถิงมีตาหามีแววไม่ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำให้ไท่จื่ออับอายต่อหน้าผู้คน
และดีใจที่ไท่จื่อผลักสตรีข้างกายออกไป
ไป๋หว่านหนิงจดจำใบหน้าของสตรีนางนั้นไว้ในใจ รอให้นางเข้าจวนก่อนเถิด นางจะขับไล่ปีศาจหน้าไม่อายผู้นี้ออกไปเป็อย่างแรก!
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม
ของว่างและผลไม้พร่องไปพอประมาณ การร้องรำทำเพลงเบื้องหน้าไม่อาจดึงดูดความสนใจของผู้คนได้แล้ว
การแสดงลำดับถัดไปกำลังจะเกิดขึ้น
ในอดีตงานเลี้ยงในวังเช่นนี้จะถูกจัดขึ้นเพื่อให้เหล่าคุณหนูจากแต่ละจวนได้แสดงความสามารถของตนเอง
และนั่นก็สามารถดึงดูดให้เหล่าคุณหนูผู้งดงามเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ทุกปี เพียงเพื่อความเป็ไปได้ที่จะก้าวขึ้นสู่์ภายในก้าวเดียว
ไป๋เซี่ยเหอพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าไม่มีความกระตือรือร้นที่จะทำการแสดงเหมือนสตรีอื่นๆ
ศาสตร์ทั้งสี่อะไรนั่นไม่มีความเกี่ยวข้องกับนางสักกระผีก
นางไม่เข้าใจและทำไม่ได้ด้วย
สิ่งที่นางเชี่ยวชาญมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
นั่นคือ สังหารคน
คงไม่มีผู้ใดขอให้นางแสดง ‘วิธีปลิดชีพศัตรูในดาบเดียว’ ให้ทุกคนในงานเลี้ยงได้รับชมหรอกกระมัง
------------------------
[1] จุดไท่หยาง หมายถึง จุดที่อยู่บริเวณหางคิ้วกับหางตา
[2] หวังเฟย หมายถึง พระชายาเอกในอ๋อง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้