ิหยวนได้ยินวีรกรรมของคนผู้นั้นั์ตาก็พลันขยาย ทั้งยังแอบยิ้มมุมปาก นับเป็บุคคลที่น่าสนใจไม่น้อย
หม่านหรงเอ่ยพร้อมใบหน้ามั่นใจ “ใครๆ ต่างบอกว่าเขาจะต้องได้เป็ใหญ่เป็โต”
“ยังไม่ได้เป็ใหญ่เป็โตก็ประสบปัญหาใหญ่เสียก่อนน่ะสิไม่ว่า” ิเยี่ยส่ายหัว “ยามอยู่ในเมืองหลวงเขาก็เอาแต่ใช้นามแฝงจนไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาเป็ใคร ยามอยู่ที่ค่ายเป่ยฝู่ก็มีตำแหน่งเป็นายกอง ปีก่อนเป่ยเหยียนอาศัยการสนับสนุนจากเป่ยฉีอย่างลับๆ เพื่อยกทัพมารุกรานทางใต้ กองทัพเป่ยฝู่จึงต้องออกต้านข้าศึกที่แนวชายแดน ทางราชสำนักกลับ้ายกดินแดนส่วนหนึ่งให้ฝ่ายตรงข้ามเพื่อสงบศึก ทว่าพระราชโองการยังมาไม่ถึง เขาก็พากองกำลังเล็กๆ ออกไปซุ่มโจมตีศัตรู กวาดล้างกองกำลังฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังจับแม่ทัพเป็ตัวประกัน เป็เหตุให้แผนการของทางราชสำนักเป็อันต้องล่ม ซ้ำตัวเขายังถูกสอบสวน”
“รบชนะแต่กลับถูกสอบสวน?”
“หาได้เป็เช่นนั้น คิดไม่ถึงว่าหลังถูกนำตัวไปสอบสวนจะพบกับจวิ้นอ๋อง แม่ทัพเซี่ยเห็นว่าเป็เขาก็โกรธมาก สั่งให้กลับเมืองหลวงทันที แต่เขาไม่ยอม ทว่าผู้ใดจะกล้าปล่อยให้เขาเลียเืจากปลายมีด [1] หากเกิดอันใดกับเขาขึ้นมาผู้ใดจะรับผิดชอบไหว แม่ทัพเซี่ยไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องส่งเ้าหน้าที่สวินเจี่ยนมาสอบสวนเขา”
ิหยวน “เ้าหน้าที่สวินเจี่ยนคือผู้ใดหรือ?”
“หน่วยสวินเจียนคือเ้าหน้าที่ตรวจการณ์ มีหน้าที่ตรวจสอบวินัยในกองทัพ ในอดีตหน่วยงานนี้ไม่ได้มีอำนาจมากนัก เป็เพียงตำแหน่งที่รู้จักกันในนามฑูตทหาร กองทัพเป่ยฝู่อ้างว่าพวกตนองอาจน่าเกรงขาม ปกป้องบ้านเมือง เป็ทหารที่อดทนต่อความยากลำบาก ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงได้ตำแหน่งสูงเป็แม่ทัพน้อยใหญ่ต่างติดการพนัน เสพสุขร่ำสุรา บางคนถึงขั้นพาหญิงคณิกาเข้ามาหาความสำราญในค่ายทหารอย่างไม่อายฟ้าดิน แต่พอมีหยางจวินเข้ามาในค่าย ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป อยู่มาวันหนึ่งเขาบังเอิญเจอกลุ่มนักพนันกับหญิงคณิกาในขณะที่ออกตรวจตรา แม้เขาจะมีท่าทีไม่เกรงกลัวต่อผู้ใด แต่ไม่มีผู้ใดคิดว่าเขาจะจัดการเื่นี้อย่างจริงจังโดยไม่สนฐานะและภูมิหลัง นายทหารที่กระทำผิดล้วนถูกลงโทษด้วยการโบยยี่สิบครั้ง เขาก็เหมือนกับคนบ้าบิ่นเจิ้งกวงอี้ แม้แต่คุณชายน้อยตระกูลหวนสายรองก็ยังไม่เว้น แม่ทัพเซี่ยจึงสบโอกาสส่งเหล่าลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงกลับเมืองหลวง ทำให้คนในเมืองหลวงหลายคนไม่พอใจ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าแสดงออกอย่างเปิดเผย แม่ทัพเซี่ยกลัวว่าเขาจะกลับมาที่ค่ายอีก เพราะยังไม่มีพระราชโองการลงโทษทัณฑ์ออกมาอย่างเป็ทางการ เื่ที่เขาทำลายแผนการของราชสำนัก หากเบื้องบนรู้เข้าจะเกิดอันใดขึ้น”
ิหยวนฟังจบก็คลี่ยิ้ม “แต่ข้าว่าไม่เกิดอันใดขึ้นหรอก นี่เป็เพียงแผนการชูสุดแขนแล้วค่อยวางลงอย่างเบามือ”
“เพราะเหตุใด?” หวังอี้จือเอ่ยถามทันที
ทุกคนมองเขาเป็ตาเดียว “เพราะเหตุใดอะไรของเ้า?”
“พวกเ้าไม่รู้หรือ? แม่ทัพเซี่ยพยายามยืนยันหนักแน่นว่ามีพระราชโองการออกมาแล้ว บอกว่าเป็หยางจวินที่หุนหันพลันแล่น ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเขามีแต่จะสร้างอุปสรรคให้กองทัพ แต่ถึงอย่างนั้น หยางจวินก็นับว่าเป็ชายหนุ่มที่มีความกล้าหาญและทะเยอทะยานที่จะปราบปรามข้าศึกปกป้องบ้านเมือง นับเป็โชคดีของแคว้นที่มีคนใจแน่วแน่ จงรักภัคดี และมีความเสียสละอย่างเขา จึงลงโทษด้วยการริบเบี้ยหวัดเป็เวลาหนึ่งปี เรียกตัวกลับเมืองหลวงเพื่อกลับเข้าศึกษาในสำนักศึกษาหลวงและทบทวนความผิดของตน ฝ่าายังทรงพระราชทานดาบแม่ทัพให้เขาอีกหนึ่งเล่ม”
“ถูกเรียกตัวกลับมา? แต่เขาลาออกไปแล้วมิใช่หรือ?”
“เฮ้อ…สำนักศึกษาหลวงสำหรับเขา อยากเข้าก็เข้า อยากออกก็ออก”
ทุกคนไม่เคยได้ยินเื่เช่นนี้มาก่อน วันนี้รู้สึกโชคดีไม่น้อยที่ได้ฟัง
“หยวนเก้อเอ๋อร์ เ้ารู้ได้อย่างไร?”
หม่านสือชีเกิดความสงสัย แม้แต่เฉาอู๋จวี้ก็ยังอยากรู้เช่นเดียวกัน
ิเยี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนที่นั่งอยู่ที่นี่มีแต่คนกันเองทั้งนั้น เ้าวางใจ พูดมาเถิด” เขาเหลือบมองหวังอี้จือพลางขยิบตาให้ิหยวน “แม้วันนี้คำพูดอาจทำให้ผู้ใดขุ่นเคือง แต่ข้ารับรองว่าเ้าจะไม่เดือดร้อน”
“แคก!” ิหยวนสำลักผลไม้ออกมา แต่ถูกิเยี่ยจับมันยัดเข้าปากให้เคี้ยวต่อ
“ข้าแค่เดามั่วๆ ไม่ได้มีความคิดใด” ิหยวนเอ่ยยิ้มๆ ไม่ยอมบอกความจริง
“หยวนเก้อเอ๋อร์ ยิ่งเ้าพูดอย่างนี้ยิ่งดูมีพิรุธ เราแค่พูดคุยกันหลังกินดื่ม ไม่มีผู้ใดได้ยินหรอก” ต่างคนต่างรบเร้าเขาไม่หยุด
ิหยวนเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องยอมอธิบาย “เื่ที่ฉางผิงโหวทิ้งพู่กันหันไปจับดาบ แม่ทัพเซี่ยไม่รู้ไม่เห็นจริงหรือ?”
เกิดความเงียบขึ้นทันที มีเพียงหม่านสือชีที่เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “หรือนี่จะเป็แผนการที่วางไว้แล้ว?”
“ข้าเพียงคาดเดา เพราะได้ยินมาว่าคนผู้นี้เป็คนกล้าหาญ ทะเยอทะยาน อุตสาหะ และเด็ดเดี่ยว เขาไม่ใช่คนโง่ จะกระการใดโดยที่ไม่ได้รับคำสั่งก่อนจริงหรือ?”
“เดาได้ไม่ยาก กองทัพเหนือใต้ต่างฝ่ายต่างแข็งข้อกันมานาน การจะจับตัวแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามมาเป็ตัวประกันนั้นเป็ไปได้ยาก เขาแอบนำทัพซุ่มโจมตีโดยพละการ เป็เหตุให้แผนการของราชสำนักต้องล่มพอดี หากราชสำนักอยากสงบศึก เหตุใดไม่ตัดสินใจั้แ่เนินๆ…”
ทุกคนในที่นี้เป็คนฉลาดจึงเข้าใจได้ทันที หากเกิดการสู้รบ หยางจวินซึ่งมีสถานะสูงส่งคว้าชัยชนะมาได้ ก็จะเป็การสร้างขวัญกำลังใจให้คนในกองทัพ แต่หากเขาพ่ายแพ้จนถึงแก่ชีวิต กองทัพเป่ยฝู่ก็จะมีข้ออ้างในการยกทัพไปแก้แค้น หากทางราชสำนัก้าสงบศึกจริง ความผิดที่เขากระทำการโดยพละการ ไม่รอคำสั่งทหาร ไม่เชื่อฟังพระราชโองการนั้น แค่ลงโทษเขาเพียงลำพังก็พอแล้ว
“ในความคิดของข้า ยามนี้ราชสำนักอาจกำลังตอนรับขับสู้แม่ทัพที่ถูกจับกุมมาก็ได้ เกลี้ยกล่อมเขาสักหน่อย ก่อนจะส่งผ้าไหม ข้าวสาร สาวงามกลับไปพร้อมเขา ขอให้เขาพูดถ้อยคำดีๆ สักสองสามคำก็ใช้ได้แล้ว”
ทันทีที่ิหยวนพูดจบ ทุกคนในโต๊ะต่างหันมองหวังอี้จือด้วยสีหน้าแปลกๆ
“เป็อันใดไป? ที่น้องชายพูดมามันไม่ถูกหรือ?”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบ หวังอี้จือแอบยิ้มพลางรวบแขนเสื้อยกจอกไปทางิหยวน “น้องชายสายตาเฉียบคมยิ่ง ตอนนี้หน้าที่ตอนรับขับสู้แขกที่เ้าเอ่ยถึงเป็ของตระกูลหวัง”
“ไอหย๊า น้องชายเหลวไหลไม่รู้ความ ทำให้ท่านขุ่นเคืองแล้ว” ิหยวนไม่คิดว่าคนที่มีส่วนรู้เห็นจะอยู่ใกล้แค่เพียงตรงหน้าจึงรีบลุกออกมาขอโทษ
“น้องชายอย่าทำเช่นนี้ ข้าเองก็ลำบากใจไม่น้อย” หวังอี้จือกระแทกจอกสุราลงบนโต๊ะ “เราอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยมารยาทพิธีการมากมาย นึกไม่ถึงว่าต้องมาประจบสอพอพวกชนเผ่าป่าเถื่อนไร้อารยะอย่างพวกหมานอี๋!”
“ใช่! หากให้ข้าพูด ในเมื่อท่านป๋อน้อยเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสวยงามถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดเราต้องเจรจาสงบศึก ควรประกาศาถึงจะถูก!”
“ข้าเห็นด้วย หวนกงยกทัพบุกเหนือได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน!”
ิหยวนคิดไม่ถึง เขาคิดว่าแคว้นหม่านขี้ขลาด ไม่คิดเลยว่าจะมีคนหนุ่มจำนวนมากสนใจทำากับดินแดนทางเหนือ
“แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ หากเป็อย่างที่เ้าพูด ราชสำนัก้าเจรจาสงบศึก จึงลงโทษที่เขากระทำการโดยพลการ แล้วเหตุใดเขาถึงพ้นผิด?” บทสนทนาก่อนหน้ายังคงสับสนอยู่ในหัวิเยี่ย เขาเป็คนเช่นนี้เสมอ หากมีข้อสงสัยอันใดจะต้องรีบถาม
“แม้ข้าไม่เคยพบแม่ทัพเซี่ยมาก่อน แต่คนผู้นี้สามารถทำให้หยางจวินเชื่อฟังได้ แสดงว่าเขาจะต้องเป็คนที่มีความสามารถมาก หากเขานิ่งเฉยปล่อยให้ผู้มีคุณธรรมสูงส่งถูกลงโทษ ต่อไปเขาจะควบคุมทัพเป่ยฝู่ได้อย่างไร? อีกทั้งเื่ที่ราชสำนัก้าเจรจาสงบศึกยังเป็ประเด็นที่ต้องหารือกัน หากราษฎรไม่สนับสนุน น้ำทำให้เรือลอยได้ น้ำก็ทำให้เรือจมได้ พวกสัตว์กินเนื้อในราชสำนักควรเข้าใจความจริงข้อนี้”
เฉาอู๋จวี้นิ่งเงียบมาจนถึงตอนนี้ จู่ๆ ก็พูดขึ้น “พี่ชายเองก็เป็คนสนิทของหยางติงเป่ย”
“หยางติงเป่ย? ชื่อรองของคุณชายหยางหรือ?” เขามักจะรู้สึกว่าคำว่า ‘คุณชายฉางผิง’ สี่คำนี้มันติดอยู่ในปากเขา ยากที่จะเอ่ยออกมา
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เป็ชื่อที่แม่ทัพเซี่ยใช้เรียกเขา”
“แม่ทัพหวังสยบทางเหนือ เก้าแคว้นรวมเป็หนึ่ง มีความทะเยอทะยานสูงส่ง” ิหยวนคร่ำครวญ ตัวเขาเป็แค่บัณฑิตยากจน คนอื่นถือดาบควบอาชาสู้รบในสนามรบ จึงอดนึกชื่นชมในใจเสียมิได้
“น้องชายมีชื่อรองหรือไม่?”
“ยังไม่มีขอรับ ท่านอาจารย์บอกว่าไม่ต้องรีบร้อน หมั่นศึกษาและฝึกฝนตัวเอง รอถึงยามสวมกวนก่อน”
หม่านสือชีตบไหล่เขา “มิสู้ให้เราช่วยตั้งให้ดีหรือไม่!”
“ข้าเห็นด้วย! เรามาระดมสมองตั้งชื่อรองให้หยวนเก้อเอ๋อร์กันเถิด!”
“เขาชื่อหยางติงเป่ย เหตุใดไม่เรียกเ้าว่าิอันหนานเล่า?”
“เหลวไหล! ถอยไปๆ”
“ข้าแค่ล้อเล่น!”
ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จู่ๆ ก็มีเสียงทุบผนักห้อง ตามมาด้วยเสียงสบถของคนที่อยู่ห้องข้างๆ “เหลวไหลสิ้นดี! พวกเด็กน้อยยังไม่สวมกวนด้วยซ้ำ กล้าดีอย่างไรมาวิพากษ์วิจารณ์เื่ในราชสำนัก! สรุปว่าบ้านเมืองเป็ของตระกูลเซี่ยหรือของตระกูลเว่ยกันแน่!”
เกิดเสียงดังขึ้นกะทันหัน ทุกคนหยุดชะงัก มองหน้ากันเลิ่กลัก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงส่งคนไปสอบถาม แต่ก็ไม่ได้วิตกมากนัก จะว่าไปแล้วเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ ทุกคนในที่นี้ควรจะต้องหวาดกลัวตัวสั่นและรีบกล่าวขอโทษเพื่อเอาชีวิตรอดแล้ว แต่ในความเป็จริง ใน่แรกของราชวงศ์นี้ กษัตริย์และขุนนางปกครองร่วมกัน ราชวงศ์สถานะไม่มั่นคง อำนาจอ่อนแอ ต้องอาศัยการสนับสนุนจากตระกูลขุนนางใหญ่ไม่กี่ตระกูล อำนาจของราชวงศ์มีน้อยกว่าครึ่ง อำนาจในมือฮ่องเต้มีไม่เพียงพอ ทั้งยังเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ยามนี้เซี่ยไท่ฟู่กุมอำนาจทั้งหมด เกิดความไม่พอใจในหมู่คนตระกูลเว่ย นอกจากคนเ่าั้แล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้ามีปากมีเสียงและถ่วงดุลอำนาจตระกูลเซี่ย บ้านเมืองเวลานี้เป็ที่รู้กันดีว่าไม่ว่าตระกูลเว่ยและเซี่ยนั้นล้วนไม่ต่างกัน กระทั่งเด็กเล็กยังรู้จักคำกล่าวที่ว่า “ฮ่องเต้ในวังสกุลเว่ย ฮ่องเต้ในเมืองสกุลเซี่ย ฮ่องเต้สกุลเว่ยอำนาจน้อย ฮ่องเต้สกุลเซี่ยอำนาจมาก เว่ยเซี่ยปกครองร่วมกัน” การวิจารณ์เื่นี้จึงไม่ใช่เื่คอขาดบาดตายที่ควรหลีกเลี่ยงหรือไม่ควรพูดถึง ในทางกลับกัน เหล่าคุณชายต่างไม่พอใจที่งานเลี้ยงถูกรบกวน เริ่มโวยวายทีละคน เรียกร้องให้คนหยิ่งผยองห้องข้างๆ ออกมาเผชิญกันตรงๆ แทนที่จะมุดหัวเป็คนขี้ขลาด
ิหยวนผู้ระมัดระวังคำพูดอยู่เสมอเอ่ยตอบเสียงดัง “พี่ชายสั่งสอนได้เหมาะสมยิ่ง ฝ่าาทรงเข้มแข็งเด็ดขาด เซี่ยไท่ฟู่ก็เอาใจใส่กิจการบ้านเมือง พวกเราเพียงสนทนาเรื่อยเปื่อยหลังดื่มกิน เพียงแสดงความคิดเห็นเื่ในราชสำนัก ฝ่าาทรงพระปรีชา คงไม่ขุ่นเคืองเพราะเื่เล็กน้อยแค่นี้”
“ใช่ ใช่! นั่นคือสิ่งที่เราจะสื่อ!” ทุกคนในที่นั้นต่างตอบเห็นด้วยเสียงดังพลางหัวเราะคิกคัก
“เ้าเด็กหยาบคาย! กล้าดีอย่างไรมาเยาะเย้ยฝ่าา! กำเริบยิ่งนัก!”
“พวกเรากล่าวด้วยความจริงใจ แต่พี่ชายบอกว่าเราเหน็บแนม เช่นนั้นในความคิดท่าน หากฝ่าาไม่ได้เข้มแข็งเด็ดขาด แล้วฝ่าาเป็อย่างไร?” ิหยวนเกาหัว เขาไม่ได้ตั้งใจจะประชด ทว่าการสนทนาในที่สาธารณะนั้นไม่อาจพูดได้อย่างเปิดเผยว่าฝ่าาเป็เด็กโง่เขลาที่ไม่รู้เื่กิจการบ้านเมืองจนอำนาจในราชสำนักตกอยู่ในมือของเซี่ยไท่ฟู่
“จริงด้วย ฝ่าาในความคิดท่านเป็อย่างไร?”
“รีบตอบมาเถิด ข้ารอความเห็นของท่านอยู่นะ!” พวกเขาะโถามพลางหัวเราะผ่านกำแพงทำให้อีกฝ่ายถึงกับพูดไม่ออก
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อบริกรเฝ้าหน้าประตูให้เขาเข้ามาก็พบว่าเป็ชายร่างสูงหน่วยก้านดี มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็ผู้มีวรยุทธ “นายของข้าอยากพบคุณชายที่โต้ตอบเมื่อครู่”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] เลียเืจากปลายมีด (刀头舔血) หมายถึง เสี่ยงอันตราย สถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่อันตรายมาก