ไฟในสายตาราชครูนั้นไม่สวยงามนัก
ความหมายของไฟคือความพินาศ และการดับสูญ
หลังจากเบ่งบานลุกโชนจนถึงที่สุดก็เหลือไว้แต่เพียงเถ้าถ่าน
ราชครูนั้นศึกษาเื่ไฟมาเป็อย่างดี ไม่ใช่เพื่อการละเล่น แต่เพื่อการทำนาย
โดยปกติเปลวไฟจะประกอบด้วยกันสามส่วน แบ่งเป็แกนกลางเปลวไฟ เปลวไฟส่วนใน และเปลวไฟส่วนนอก
แกนกลางเปลวไฟนั้นอุณหภูมิสูงที่สุด จะเป็สีฟ้าอ่อน
ส่วนเปลวไฟส่วนในนั้นเป็สีแดง อุณหภูมิจะสูงกว่าแกนกลาง
ส่วนนอกนั้นเป็ส่วนที่อุณหภูมิต่ำที่สุด ทว่ากลับไม่มีสี
เขารู้ว่าพวกคนที่คุยโวว่าตนััเปลวไฟได้ แล้วเอามือจุ่มกระทะไปนั้นล้วนแต่เป็อุบาย
ทว่าตรงหน้าเขานั้น เ้าเด็กปีศาจนั่นกำลังยืนอยู่กลางวงล้อมเปลวไฟสีฟ้าพร้อมใบหน้าแป้นแล้น
ราชครูเห็นดังนั้นก็แทบคลั่ง
“เ้าไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้” ราชครูแผดเสียงสั่งเด็กหญิง
เฉินโย่วทำหน้าเสียใจขึ้นมา
นี่เป็ครั้งแรกที่นางพาท่านอาจารย์มาเล่นด้วย ไฉนเขาจึงโกรธนางเช่นนี้
นางนั้นกำลังรอเขาตื่นตาตื่นใจแท้ๆ ท่านอาจารย์ไม่ดีใจก็แล้วไปเถิด นี่ยังจะดุนางอีก
นางยามยืนอยู่กลางเปลวเพลิงนั้น ในใจก็พลันรู้สึกน้อยใจขึ้นมา
บนเขานี้ใครก็ล้วนแต่โอ๋นาง ต่อให้นางซนนางดื้อเพียงใดก็ไม่เคยมีใครพูดกับนางด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน
กระทั่งนายท่านใหญ่ที่ดุที่สุดก็ยังดีต่อนาง เขาชอบอุ้มนางนัก ทั้งยังชอบบีบแก้มกับแขนของนางจนรู้สึกอึดอัด
นางรู้สึกชอบท่านอาจารย์จอมหลอกลวงคนนี้ไม่น้อย เพราะทั้งน้าหลัว ทั้งพี่สวินก็ล้วนบอกว่าเขานั้นดีนัก
ทว่าบัดนี้เขากลับดุร้ายต่อนางนัก
เพียงพริบตาดวงตาคู่น้อยของนางก็เอ่อท้นไปด้วยน้ำตา
ราชครูนั้นใจนแทบหยุดหายใจ
ราชครูนั้นอยากจะเข้าไปไกล แต่เปลวไฟนั้นร้อนแผดเผานัก เคราของเขาเพิ่งจะงอกก็แทบจะไหม้หายไปด้วยแล้ว
เ้าเด็กปีศาจนั้นยืนอยู่กลางเปลวเพลิงหยาดน้ำตาค่อย ๆ หลั่งริน ยังไม่ทันได้ไหลอาบหน้าก็พลันถูกความร้อนทำให้ระเหยเป็ไอหมดแล้ว
ดวงตาของราชครูนั้นพลันกลายเป็ถมึงทึง
“ออกมาเถิด อาจารย์ไม่ดุเ้าแล้ว ต่อไปก็จะไม่ดุเ้าอีกแล้ว” ราชครูใช้ควบคุมน้ำเสียงให้อ่อนโยนที่สุด อ้อนวอนให้นางออกมา
ราชครูนั้นแทบอยากจะร่ำไห้
“น่ามองนัก”
ในถ้ำเล็กอันแสนมืดมิดนั้นทันใดก็กลายเป็สีฟ้า
ทั้งูเาและป่าด้านข้างก็มีไฟเช่นนี้ลุกขึ้นมาเช่นกัน
แท้จริงแล้วช่างเป็ฉากที่งดงามนัก
ทว่าตรงใจกลางของเปลวเพลิงนั้นกลับมีเด็กหญิงยืนอยู่ ทำเอาราชครูนั้นแทบจะเป็ลม
เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาของนางค่อยๆ ระเหยเป็ควัน
ราชครูเห็นนางเดินออกมา จากนั้นก็ยื่นมือออกมาจับมืออาจารย์ตนแล้วเดินออกมา
เพียงพริบตาราชครูก็รู้สึกว่าแขนเสื้อของตนนั้นราวกับเผาโดนเผา ส่วนแขนนั้นคงจะถูกไหม้ไปหมดแล้ว
เขาจับมือเ้าเด็กปีศาจ แล้วสูดหายใจเฮือกใหญ่
รู้สึกตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าตอนเขาหนีเอาชีวิตรอดเสียอีก
ทว่าทันใดเขาก็พบว่ามือของเด็กหญิงนั้นช่างเย็นเยียบ
ทว่าบนร่างกายกลับไม่มีรอยแผลโดนไฟไหม้เลยแต่น้อย
ราชครูนั้นจับเด็กหญิงหมุนกายดูทีหนึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายไม่เป็อะไรแม้แต่น้อย ทว่าไฟกองนั้นยามเดินออกมานางก็เดินข้ามมันมาช้าๆ
ราชครูที่ตกอกใมาทั้งวันนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วนั่งลงบนพื้น จากนั้นก็หายใจเข้าเฮือกใหญ่อีกหลายที
เขา้าทบทวนอีกครั้งว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
น้ำตาที่ระเหยหายไปเพราะความร้อน เสื้อผ้าของเขาก็เกือบจะถูกเผา มันย่อมจะต้องเป็ไฟจริงๆ ทว่าเด็กหญิงนั้นกลับไม่เป็อะไรแม้แต่น้อย
“เ้าทำได้อย่างไร” ราชครูถามเด็กหญิงด้วยความฉงน
เฉินโย่วนั่งอยู่บนพื้น สองแขนน้อยๆ กอดขาไว้
“น้าหลัวก็บอกว่าข้าเป็นางฟ้าเช่นกัน” เฉินโย่วน้อยพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ
ราชครูนั้นแทบจะเสียสติ
มีนางฟ้าที่ไหนกัน องค์หญิงก็แค่เล่นสนุกหลอกผู้คนเท่านั้น
ชะตากรรมที่์กำหนดนั้น แน่นอนว่ามีอยู่จริง
ทว่าเมื่อมองท่าทางน้อยใจของเด็กหญิง ราชครูก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากเช่นไร
หนึ่งชายชรา และหนึ่งเด็กหญิงจึงพากันเดินกลับไป
ราชครูนั้นแม้จะรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจ ทว่าเขานั้นเป็คนที่มีคำถามแล้ว หากตอบไม่ได้ก็จะนอนไม่หลับ
เขาจึงพาเฉินโย่วไปส่งคืนให้แม่นางหลัว ชายชรานั้นไม่ได้ทำตัวเช่นอดีตที่รีบจากไปอย่างรวดเร็ว
ครั้งแรกที่เขาเจอสตรีนางนี้ เขายังคิดว่านางนั้นเป็นางสนมมาจากในวัง
เขานั้นไม่ชอบสตรีที่มีรูปโฉมงดงามเกินไปนัก ด้วยเพราะโฉมงามมักจะแฝงด้วยยาพิษ เช่นฮองเฮาจ้าวนั่นปะไร ฝ่าาตกอยู่ในบ่อพิษของนางทั้งกายก็ยังเกษมสำราญได้
แม่นางหลัวนั้นฉลาดนัก เมื่อเห็นท่าทางของท่านอาจารย์ก็รู้ว่าเขาต้องมีเื่อะไรสักอย่าง
แม่นางหลัวในชุดผ้าฝ้ายเห็นเฉินโย่วทำหน้าน้อยใจเดินมา นางจึงโน้มกายลงไปอุ้มเด็กหญิงขึ้นมา
เฉินโย่วลูบจมูกตัวเอง แล้วจึงปาดน้ำตาที่หางตา
“ใครทำให้เ้าโกรธเสียแล้วเล่า ร้องเสียจนขี้มูกโป่งเช่นนี้ ไปเล่นซนมาอีกแล้วใช่หรือไม่”
เฉินโย่วโผเข้าไปกอดคอของแม่นางหลัวไว้ เพราะไม่อยากกล่าวอะไร
นางนั้นตั้งใจปกปิดความผิด ไม่อาจให้น้าหลัวรู้ได้ว่านางไปเล่นไฟมา
ราชครูนั้นตอบขึ้นอย่างอายๆ ว่า “นายหญิง เป็ความผิดของชายแก่อย่างข้าเอง ข้าไม่ได้ดูแลนางให้ดี”
เฉินโย่วโผเข้าซบไหล่ของแม่นางหลัว จากนั้นกล่าวเสียงเบาขึ้น “ไม่ใช่ความผิดของอาจารย์ ข้าแอบเล่นไฟอีกแล้วจึงทำให้ท่านอาจารย์ใ น้าหลัวลงโทษข้าเถิด”
เมื่อได้ยินว่านางเล่นไฟ หลัวอู๋เลี่ยงจึงหันไปมองแววตาซับซ้อนของท่านอาจารย์ พลันรู้ทันทีว่าเกิดเื่อะไรขึ้น
นางตบหลังเด็กหญิงเบาๆ “บอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามเล่นไฟอีก บ่ายนี้ลงโทษให้เ้าคัดหนังสือ ตอนนี้ก็ไปให้เสี่ยวเถาล้างเนื้อล้างตัวให้ก่อน เนื้อตัวมอมแมมอย่างกับลิงตกบ่อโคลน”
แม่นางหลัววางเฉินโย่วลงบนพื้น จากนั้นก็บอกลาท่านอาจารย์อย่างว่าง่าย แล้วจึงเดินตามเสี่ยวเถาไป
ในเรือนจึงเหลือเพียงแปลงผักพระพุทธ ปลาตัวสีดำในบ่อ แม่นางหลัว และราชครู
เดิมทีนั้นยังมีต้นหลิว ทว่าต้นหลิวเมื่อถึงฤดูร้อนจะมีเมล็ดที่มีปุยขาวออกมา ทว่าเฉินโย่วไม่ชอบปุยนั้นเลย ทุกครั้งที่ไปโดนจำต้องเกาหน้าไม่หยุด เช่นนั้นหลัวอู๋เลี่ยงจึงให้คนมาโค่นมันเสีย แล้วปลูกต้นไม้ชนิดอื่น
ตอนนั้นเอาต้นอ่อนที่ไม่รู้ว่าต้นอะไรมาต้นหนึ่ง ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะโตไวนัก ต่อมาจึงได้รู้ว่าคือต้นอู๋ถง
เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง ใบของต้นอู๋ถงก็ค่อยๆ พากันร่วงโรย สีเหลืองทองของมันมองแล้วงดงามนัก เฉินโย่วที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้นั้นเล่นอย่างสุขใจ
ราชครูกระแอมขึ้นทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก “นายหญิง ตาเฒ่าเช่นข้ามีเื่อยากให้ท่านชี้แนะ”
แม่นางหลัวพยักหน้าเบา ๆ
ครั้งแรกที่หลัวอู๋เลี่ยงได้เจอชายชราตรงหน้านั้น นางก็รู้ทันทีว่าเขาคือใคร
นางคือเด็กสาวที่ตระกูลหลัวเตรียมพร้อมไว้เพื่อเข้าคัดเลือกเป็นางใน ยามที่นางยังเป็เด็กก็เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังมาก่อน
นางเคยเห็นราชครูจากไกลๆ มาก่อน
ตอนนั้นท่านราชครูดูมีสง่าราศีนัก ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกประทับใจไม่รู้ลืม
นางนั้นฉลาดเฉลียวั้แ่เล็ก ท่านปู่นั้นชอบนางกว่าใคร และคงจะเป็เพราะเหตุนี้ นางจึงคิดว่าท่านปู่คงจะมาช่วยนาง แต่นางรอเสียจนนางนั้นเลิกรอแล้ว
นางยังจำได้ที่ท่านปู่เคยแนะนำนางเป็พิเศษ เื่สถานภาพและภูมิหลังของราชครู ราชครูนั้นเป็คนตระกูลจ้ง ตระกูลจ้งนั้นจงรักภักดีต่อฮ่องเต้แคว้นเชินนัก
บัดนี้ตรงหน้านางคือราชครูตัวเป็ๆ ที่หนีมายังดินแดนไร้อารยะแห่งนี้
ย่อมต้องมีเื่ใหญ่เกิดขึ้นเป็แน่
กระทั่งนางยังสามารถมาอยู่ในค่ายนี้ได้ ราชครูโผล่มาเช่นนี้ก็ไม่แปลกนัก แม้นางจะแปลกใจไปพักหนึ่ง แต่ไม่นานก็ใจเย็นลง
ดังนั้นนางจึงยืนการให้ชายชราที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ซ้ำยังเป็จอมโกหกคนนี้ให้สอนหนังสือให้เฉินโย่ว
คาดว่าบนโลกนี้คงไม่มีอาจารย์ท่านใดจะมีเกียรติสูงไปกว่าราชครูอีกแล้ว
นางนั้นไม่กล่าวถึงสถานะที่แท้จริงของราชครูให้ใครฟัง
เช่นเดียวกันกับที่นั่งไม่เคยเล่าเื่ตนตัวที่แท้จริงของนางให้ใครฟัง
นางยังยืนอยู่ใต้ต้นอู๋ถงนั้น ใบอู๋ถงยังคงเขียวชอุ่มเต็มต้น มองแล้วสบายตานัก
ต้นของมันนั้นยังไม่สูงมาก ทว่าใบสีเขียวกลับผลิออกเต็มต้น
ต้นไม้เขียว อาภรณ์ขาว ผมสยายยาว ร่างอรชรของสตรี เอวบาง คิ้วเรียวยาว
ราชครูมองไปทางหญิงสาวครั้งหนึ่งก็แหงนขึ้นมองต้นอู๋ถงข้างหลังนาง
เมื่อเห็นต้นอู๋ถง ราชครูก็พลันตะลึง
“เฉินโย่วจะมีชีวิตไม่ถึงวัยปักปิ่น ท่านหมอคนที่รักษาขาให้ท่านเป็คนบอก” สตรีใต้ต้นอู๋ถงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
เพียงแต่ต้นอู๋ถงนั้นใบมันคงจะเขียวเกินไป จึงขับใบหน้าของสตรีตรงหน้าให้ดูขาวยิ่งกว่าเดิม